ชาวเกาหลีถือป้ายที่กรุงโซล หนุนม็อบนศ.ไทยชู 3 นิ้ว จี้รบ.เลิกส่งออกรถฉีดน้ำสลายม็อบ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5194837
สมาชิกองค์กรภาคประชาสังคมเกาหลีออกมาประท้วงที่จตุรัสควังฮวามุน กรุงโซล สนับสนุนม็อบนศ.ไทยชู 3 นิ้ว จี้รบ.เลิกส่งออกรถฉีดน้ำสลายม็อบ
เพจ K-dramath เคดราม่า โพสต์เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า วันนี้สมาชิกองค์กรภาคประชาสังคมเกาหลีออกมาประท้วงที่จตุรัสควังฮวามุน กรุงโซล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีระงับการส่งออกรถฉีดน้ำให้กับรัฐบาลไทยและประเทศอื่น ๆ เนื่องจากมันสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลเมืองได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้สมาชิกองค์กรภาคประชาสังคมเกาหลียังประกาศว่าพร้อมที่จะให้การสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศไทย
พวกเขาประณามการส่งออกรถฉีดน้ำ เนื่องจากตำรวจเกาหลีเคยใช้รถฉีดน้ำสลายการชุมนุมจนทำให้คุณแบคนัมกีต้องเสียชีวิตในปี 2015 ทำให้ปัจจุบันกรมตำรวจเกาหลีแบนการฉีดน้ำสลายการชุมนุมอย่างถาวร (อ่านข่าว
นักสิทธิฯ ชี้ รถฉีดน้ำสลายม็อบ ใช้ผิด-อันตรายถึงชีวิต มีให้เห็นที่เกาหลี)
คุณ
แบคโดราจี ลูกสาวของคุณแบคนัมกี ซึ่งเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม กล่าวว่า
"เทคนิคการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์และระบบป้องกันอาชญากรรม เราสามารถจัดหาให้กับประเทศอื่น ๆ ได้ แต่การส่งออกอาวุธร้ายแรงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ฉันไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรมแบบครอบครัวของฉันอีกแล้ว ดังนั้น รัฐบาลและตำรวจต้องหยุดการกระทำที่น่าอับอายเหล่านี้ทันที"
แหล่งข่าว:
https://www.edaily.co.kr/news/read?newsId=02505926625935872
http://www.ohmynews.com/NWS_Web/OhmyPhoto/2020/at_pg.aspx?CNTN_CD=A0002686576
'แอมเนสตี้' ชี้สลายม็อบ! ไทยเหนื่อยเวทีการค้าโลก
https://www.dailynews.co.th/article/803210
โดย UNHRC เรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้นักเรียน นักศึกษา กลุ่มผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และประชาชนกลุ่มอื่น ๆ สามารถจัดการชุมนุมประท้วงได้โดยสันติ และแบ่งปันความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี ทั้งในโลกออนไลน์และในโลกแห่งความเป็นจริงโดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และขอให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมโดยไร้เงื่อนไข
วันนี้ทีมข่าว “1/4 Special Report” มีโอกาสพูดคุยกับอีกหน่วยงานหนึ่งอย่าง “แอมเนสตี้” โดย น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ถึงบทบาทขององค์กรสิทธิมนุษยชนที่ทำงานในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ว่าคนธรรมดาอย่างเราสามารถลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อสิทธิได้แค่ไหน
ผู้สื่อข่าว : บทบาทและหน้าที่ของแอมเนสตี้?
น.ส.ปิยนุช : แอมเนสตี้เป็นการรวมสมาชิกระหว่างประเทศเพื่อสิทธิมนุษยชน ถือกำเนิดเมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มคนทั่วโลกเกือบ 8 ล้านคน ในสมาชิก 120 ประเทศ เนื่องจากมีคนถูกจับ เพราะเห็นต่างจากรัฐ จนเกิดเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เราเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนที่ถูกละเมิดสิทธิ ร่วมมือกับรัฐเพื่อผลักดันกฎหมายและนโยบายที่คุ้มครอง ไปจนถึงสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้กับเยาวชนและคนในสังคม ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกหนึ่งในนั้น โดยมีนโยบายเป็นหนึ่งเดียว คือการปกป้องคุ้มครองสิทธิว่าด้วยปฏิญญาสากลสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) และไทยต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
ผู้สื่อข่าว : มองเรื่องสิทธิการชุมนุมกลุ่ม “ราษฎร 63” อย่างไรบ้าง?
น.ส.ปิยนุช : ปัจจุบันการเมืองไทยแบ่งฝ่าย แบ่งขั้วกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ สำหรับเราไม่ได้บอกว่าฝ่ายไหนถูกผิด แต่สิ่งที่ถูกต้อง คือสิทธิของเราขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าใครมาละเมิด เราจะพูดไปตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในภาคีให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ว่าทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก
สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซงและที่จะแสวงหารับและส่งข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็นไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ โดยไม่คำนึงถึงเขตแดน ตอนนี้รัฐบาลไทยได้ปฏิบัติตามแล้วหรือยัง?
โดยเฉพาะการชุมนุมที่สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ส่งตัวแทน “
อาสาสมัครสังเกตการณ์การชุมนุม” เพื่อสังเกตการณ์และบันทึกข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุม โดยใช้หลักการที่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล เมื่อดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นที่รัฐบาลและตำรวจบอกว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลก่อนการสลายการชุมนุมล่วงหน้าไว้แล้ว
แต่แอมเนสตี้มองว่าถ้าจะสลายการชุมนุมเมื่อเกิดจากสถานการณ์รุนแรง หรือก่อให้เกิดจลาจล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็นเด็ก ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การฉีดน้ำผสมสารเคมีใส่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ควรเกิดขึ้น เมื่อมองกลับไปยังหลักสิทธิของการชุมนุม รัฐบาลควรจะเอื้ออำนวยโดยไม่ให้เกิดความรุนแรงด้วยซ้ำ แต่นี่กลับมาก่อให้เกิดความรุนแรงเสียเอง
ผู้สื่อข่าว : หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้จะเกิดผลอย่างไร?
น.ส.ปิยนุช : ต้องยอมรับว่าไทยได้เป็นภาคี หรืออนุภาคี กฎหมายระหว่างประเทศเยอะแยะมากมาย มีข้อผูกมัดกับหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (UN) มีการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทุก 4 ปี รัฐบาลไทยต้องไปตอบคำถามกับนานาชาติว่าได้ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้แล้วหรือเปล่า โดย 4 ปีที่แล้วไทยก็เจอข้อเสนอแนะมากมายจากนานาชาติในเรื่องสิทธิของการชุมนุม แล้วรัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้น แต่กลับทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แต่กลับมาละเมิดสิทธิเด็กเสียเอง ทราบว่าทางผู้รายงานพิเศษของ UN คอยจับตาดูโดยตลอด เชื่อว่าต่อไปรัฐบาลจะต้องถูกกดดันจากประชาคมโลก อาจจะกระทบสิทธิทางการค้าที่มีข้อผูกมัดกันเอาไว้ จนทำให้เกิดการถูกกีดกันทางการค้าในอนาคตได้ ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพัง.
JJNY : ชาวเกาหลีหนุนม็อบนศ.ไทย/'แอมเนสตี้'ชี้ไทยเหนื่อยเวทีการค้าโลก/ขอคืนไม่ขอทานนอนรอตู่/สหภาพแรงงานขสมก.ร้องระงับนำรถ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5194837
สมาชิกองค์กรภาคประชาสังคมเกาหลีออกมาประท้วงที่จตุรัสควังฮวามุน กรุงโซล สนับสนุนม็อบนศ.ไทยชู 3 นิ้ว จี้รบ.เลิกส่งออกรถฉีดน้ำสลายม็อบ
เพจ K-dramath เคดราม่า โพสต์เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า วันนี้สมาชิกองค์กรภาคประชาสังคมเกาหลีออกมาประท้วงที่จตุรัสควังฮวามุน กรุงโซล เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีระงับการส่งออกรถฉีดน้ำให้กับรัฐบาลไทยและประเทศอื่น ๆ เนื่องจากมันสามารถละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลเมืองได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้สมาชิกองค์กรภาคประชาสังคมเกาหลียังประกาศว่าพร้อมที่จะให้การสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศไทย
พวกเขาประณามการส่งออกรถฉีดน้ำ เนื่องจากตำรวจเกาหลีเคยใช้รถฉีดน้ำสลายการชุมนุมจนทำให้คุณแบคนัมกีต้องเสียชีวิตในปี 2015 ทำให้ปัจจุบันกรมตำรวจเกาหลีแบนการฉีดน้ำสลายการชุมนุมอย่างถาวร (อ่านข่าว นักสิทธิฯ ชี้ รถฉีดน้ำสลายม็อบ ใช้ผิด-อันตรายถึงชีวิต มีให้เห็นที่เกาหลี)
คุณแบคโดราจี ลูกสาวของคุณแบคนัมกี ซึ่งเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม กล่าวว่า "เทคนิคการสืบสวนทางวิทยาศาสตร์และระบบป้องกันอาชญากรรม เราสามารถจัดหาให้กับประเทศอื่น ๆ ได้ แต่การส่งออกอาวุธร้ายแรงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ฉันไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรมแบบครอบครัวของฉันอีกแล้ว ดังนั้น รัฐบาลและตำรวจต้องหยุดการกระทำที่น่าอับอายเหล่านี้ทันที"
แหล่งข่าว:
https://www.edaily.co.kr/news/read?newsId=02505926625935872
http://www.ohmynews.com/NWS_Web/OhmyPhoto/2020/at_pg.aspx?CNTN_CD=A0002686576
'แอมเนสตี้' ชี้สลายม็อบ! ไทยเหนื่อยเวทีการค้าโลก
https://www.dailynews.co.th/article/803210
โดย UNHRC เรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุญาตให้นักเรียน นักศึกษา กลุ่มผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และประชาชนกลุ่มอื่น ๆ สามารถจัดการชุมนุมประท้วงได้โดยสันติ และแบ่งปันความเห็นทางการเมืองได้อย่างเสรี ทั้งในโลกออนไลน์และในโลกแห่งความเป็นจริงโดยไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และขอให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมโดยไร้เงื่อนไข
วันนี้ทีมข่าว “1/4 Special Report” มีโอกาสพูดคุยกับอีกหน่วยงานหนึ่งอย่าง “แอมเนสตี้” โดย น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ถึงบทบาทขององค์กรสิทธิมนุษยชนที่ทำงานในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ว่าคนธรรมดาอย่างเราสามารถลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อสิทธิได้แค่ไหน
ผู้สื่อข่าว : บทบาทและหน้าที่ของแอมเนสตี้?
น.ส.ปิยนุช : แอมเนสตี้เป็นการรวมสมาชิกระหว่างประเทศเพื่อสิทธิมนุษยชน ถือกำเนิดเมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มคนทั่วโลกเกือบ 8 ล้านคน ในสมาชิก 120 ประเทศ เนื่องจากมีคนถูกจับ เพราะเห็นต่างจากรัฐ จนเกิดเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เราเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนที่ถูกละเมิดสิทธิ ร่วมมือกับรัฐเพื่อผลักดันกฎหมายและนโยบายที่คุ้มครอง ไปจนถึงสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้กับเยาวชนและคนในสังคม ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกหนึ่งในนั้น โดยมีนโยบายเป็นหนึ่งเดียว คือการปกป้องคุ้มครองสิทธิว่าด้วยปฏิญญาสากลสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) และไทยต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
ผู้สื่อข่าว : มองเรื่องสิทธิการชุมนุมกลุ่ม “ราษฎร 63” อย่างไรบ้าง?
น.ส.ปิยนุช : ปัจจุบันการเมืองไทยแบ่งฝ่าย แบ่งขั้วกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ สำหรับเราไม่ได้บอกว่าฝ่ายไหนถูกผิด แต่สิ่งที่ถูกต้อง คือสิทธิของเราขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าใครมาละเมิด เราจะพูดไปตามนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในภาคีให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ว่าทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก
สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซงและที่จะแสวงหารับและส่งข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็นไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ โดยไม่คำนึงถึงเขตแดน ตอนนี้รัฐบาลไทยได้ปฏิบัติตามแล้วหรือยัง?
โดยเฉพาะการชุมนุมที่สี่แยกปทุมวัน เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ส่งตัวแทน “อาสาสมัครสังเกตการณ์การชุมนุม” เพื่อสังเกตการณ์และบันทึกข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุม โดยใช้หลักการที่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล เมื่อดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นที่รัฐบาลและตำรวจบอกว่าได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลก่อนการสลายการชุมนุมล่วงหน้าไว้แล้ว
แต่แอมเนสตี้มองว่าถ้าจะสลายการชุมนุมเมื่อเกิดจากสถานการณ์รุนแรง หรือก่อให้เกิดจลาจล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ร้อยละ 90 เป็นเด็ก ชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การฉีดน้ำผสมสารเคมีใส่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ควรเกิดขึ้น เมื่อมองกลับไปยังหลักสิทธิของการชุมนุม รัฐบาลควรจะเอื้ออำนวยโดยไม่ให้เกิดความรุนแรงด้วยซ้ำ แต่นี่กลับมาก่อให้เกิดความรุนแรงเสียเอง
ผู้สื่อข่าว : หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้จะเกิดผลอย่างไร?
น.ส.ปิยนุช : ต้องยอมรับว่าไทยได้เป็นภาคี หรืออนุภาคี กฎหมายระหว่างประเทศเยอะแยะมากมาย มีข้อผูกมัดกับหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งองค์การสหประชาชาติ (UN) มีการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทุก 4 ปี รัฐบาลไทยต้องไปตอบคำถามกับนานาชาติว่าได้ทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้แล้วหรือเปล่า โดย 4 ปีที่แล้วไทยก็เจอข้อเสนอแนะมากมายจากนานาชาติในเรื่องสิทธิของการชุมนุม แล้วรัฐบาลไทยได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้น แต่กลับทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ขึ้น
นอกจากนี้รัฐบาลไทยเป็นประเทศแรก ๆ ที่อยู่ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แต่กลับมาละเมิดสิทธิเด็กเสียเอง ทราบว่าทางผู้รายงานพิเศษของ UN คอยจับตาดูโดยตลอด เชื่อว่าต่อไปรัฐบาลจะต้องถูกกดดันจากประชาคมโลก อาจจะกระทบสิทธิทางการค้าที่มีข้อผูกมัดกันเอาไว้ จนทำให้เกิดการถูกกีดกันทางการค้าในอนาคตได้ ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก เพราะรัฐบาลไทยไม่สามารถอยู่ได้เพียงลำพัง.