ขอเรียกร้อง ขอให้การเมืองสงบกว่านี้สักหน่อยเถิด (จากแม่คนหนึ่ง)

ดิฉัน ในฐานะแม่คนหนึ่ง เลี้ยงลูกชายมานานกว่า 20 ปี พยายามสั่งสอนให้เขาเป็นคนดี พยายามสั่งเสียเขาให้เรียนตั้งแต่อนุบาลมาจนจะเรียนจบ ป.ตรีแล้วในปีนี้ ความจริง ดิฉันควรจะต้องดีใจที่ลูกชายของดิฉันได้เรียนจบและสามารถมีงานการทำได้และจะได้สร้างครอบครัวไปด้วย เพิ่งแต่ว่าตั้งแต่ต้นปีมา เกิดสภาวะการระบาดของโควิด 19 ทำให้ลูกชายดิฉันยังไม่ได้มีงานทำเลย และเพิ่งย้ายจากหอกลับมาอยู่บ้าน หลังจากที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นได้หลายเดือน จู่ๆ ช่วงเดือน ก.ค. ก็เกิดการประกาศการชุมนุมขึ้น ลูกชายของดิฉันขอร้องดิฉันไปชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมา ในตอนแรกดิฉันมั่นใจว่าเขาแค่จะไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง ดิฉันเลยไม่ได้สนใจอะไรมากและเห็นพ้องกับสามียินยอมให้เขาไป แต่พอดิฉันเริ่มได้ยินเรื่องราวและข่าวที่ไม่ค่อยดีมาจากการชุมนุม ดิฉันพยายามขอร้องให้เขาไม่พยายามก้าวก่ายไปถึงตรงนั้น ลูกชายดิฉันรับปากและสัญญาว่าจะขอเรียกร้องแค่เรื่องที่พอเหมาะพอควรจริงๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ จะไม่ขอยุ่งด้วย ดิฉันจึงยินยอมให้เขาไปตลอดทุกครั้งเพราะคิดว่าต้องการให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ก่อน ดิฉันได้ยินเรื่องรถฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม ดิฉันรู้สึกกังวลความเป็นห่วงของลูกชายมากมาย พอลูกชายดิฉันกลับมา เขาบอกว่าเขาไม่ได้โดนฉีดน้ำแต่เขารู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ ดิฉันพยายามเรียกร้องขอให้เขาไม่ไปอีกแต่เขายังยืนกรานไปว่าเขาต้องไปอีกเพื่อแสดงพลัง พร้อมทั้งกำชับว่าเขาจะพยายามป้องกันตัวเองดีกว่านี้ ดิฉันจึงยอมให้เขาไปชุมนุมเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ก็เกิดเรื่องปะทะกันเองของผู้ชุมนุม 2 ฝ่ายอีก ดิฉันก็ไม่อยากพูดอะไรเพราะกลัวคำตอบจากลูกชาย ในภายนอก ดิฉันพยายามแสดงสีหน้านิ่งเฉย ไม่รู้สึกใดๆ เวลาพูดคุยกับเขา แต่ใจจริงดิฉัน รู้สึกเริ่มเสียใจ ดิฉันเริ่มร้องไห้ทุกวันโดยที่ไม่อยากให้สามีหรือลูกๆ คนไหนเห็น ใจอยากจะกอดลูกไม่อยากให้ไปเพราะกลัวว่าจะต้องเจออะไรที่ไม่ดีไปกว่านี้ ดิฉันร้องไห้ทุกวัน ท้อใจทุกวันว่าถ้าเขาพลาดไปทำอะไรขึ้นมาหรือไปเจออะไรขึ้นมาแล้วส่งผลต่ออนาคตของเขา ดิฉันกับสามีก็คงไม่กล้ามองหน้าใครได้แล้ว

ดิฉันไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่การเมือง ตัวดิฉันได้อ่านและผ่านเรื่องราวทางการเมืองมามาก (ตั้งแต่กลุ่มพันธมิตร เสื้อแดง กปปส) ดิฉันรู้ดีว่าลูกโตแล้วและพยายามอยากเรียนรู้ชีวิตจึงไม่ได้ห้ามเขาเลยสักครั้ง แต่ในใจดิฉันคิดว่าเขาอาจจะมีอะไรที่ไม่ได้บอกดิฉันเพื่อไม่ให้ดิฉันไม่สบายใจก็ได้ ดังนั้น ดิฉันจึงรู้สึกกังวลมากถึงมากที่สุด และเข้าใจหัวอกของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง รวมถึงครอบครัวของผู้ชุมนุมทุกคนที่ไปชุมนุม ตัวดิฉันเองไม่ได้มองว่าการเมืองในหลายปีที่ผ่านมา (หลังปี 57) จะส่งผลใดๆ ต่อชีวิตดิฉันเลย (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ส่วนเศรษฐกิจนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยจากโลกภายนอกด้วย แต่ดิฉันคิดว่า การลงมาชุมนุมเดินถนนยิ่งจะทำให้เหตุการณ์บานปลาย เพราะที่ผ่านมา เหตุการณ์ทางการเมืองที่ต้องลงเอ่ยถึงขั้นเดินถนน ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยหรือไม่ก็ประสบความสำเร็จแค่ทางการเมืองเท่านั้น แต่ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม มีการสูญเสียอยู่ตลอดทั้งชีวิต ทรัพย์สิน ซึ่งดิฉันไม่ได้ปรารถนาให้เกิดขึ้นในปีนี้และต่อจากนี้อีก เพราะมันจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย เป็นตราบาปในประวัติศาสตร์

ดิฉันขอเรียกร้องขอให้ทุกฝ่ายพยายามไม่ให้ประชาชนหรือเยาวชนคนใดต้องเดินลงถนนอีก ดิฉันเสียเงินเพื่อให้ลูกไปเสี่ยงมามากพอแล้ว และดิฉันก็ไม่อยากจะร้องไห้มากกว่านี้แล้ว ดิฉันต้องการให้เขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีอนาคต มีการงาน มีครอบครัว และหวังอยากให้เขามีบั้นปลายชีวิตที่สงบสุข ดิฉันอยากอุ้มหลานที่เป็นลูกของเขา หลายๆ คน อาจจะอยากให้มีการเดินลงถนนเพื่อให้การเมืองในวันข้างหน้าดีกว่านี้และรู้สึกกังวลกับสิ่งที่รัฐบาลทำ ดิฉันเข้าใจดีว่าหลายๆ คน อาจจะยังมองท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในทางลบอยู่ ด้วยมุมมองทางการเมืองเท่าที่ดิฉันเห็น ดิฉันได้แต่หวังว่า ฝ่ายท่านนายกรัฐมนตรีจะเข้าใจและเห็นใจต่อสถานการณ์ในตอนนี้ที่กำลังจะเริ่มเสี่ยงต่อความแตกแยกมากขึ้นและอาจจะรุนแรงมากขึ้นได้อีก ในขณะที่อยากให้ฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุม เห็นใจต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง พยายามใช้วิธีอื่นในการต่อสู้ดีกว่าให้คนอื่นต้องมารับเคราะห์กรรมอีก เพราะดิฉันกังวลต่อความปลอดภัยและความรู้สึกต่อผู้ชุมนุมทุกคน รวมถึงการเคลื่อนไหวในต่างจังหวัด ก็อยากให้หยุดลงก่อนด้วย ดิฉันไม่ได้พิมพ์เพราะไม่ต้องการให้ใครต่อต้านรัฐบาล เพียงแต่ว่าเรื่องราวต่างๆ ขอให้เป็นไปตามกลไกที่ถูกต้องกว่านี้ และต้องพยายามให้ประชาชนไม่รู้สึกว่าการเมืองอยู่เหนือชีวิตหรือควบคุมชีวิตใครมากเกินไป 

ดิฉันหวังว่า ทุกๆ ฝ่าย จะสามารถคิดทบทวนถึงผลดีผลเสีย และทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย เพราะถ้าเกิดอะไรกับลูกดิฉัน คนที่ดิฉันจะไม่ยอมให้อภัยที่สุดก็คือดิฉันเอง ดิฉันอยากจะห้ามแต่ก็รู้ว่าเขาโตแล้ว ดิฉันขอใช้เวลาช่วงเช้านี้ขอเขียนข้อความเพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายได้เห็นใจถึงความรู้สึกของดิฉัน และขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่