รปภ.รอรัก

กระทู้สนทนา


             หลายวันมาแล้ว ที่เพื่อน ๆ เห็นบุญสมวิ่งไปมารอบ ๆ หมู่บ้าน แทบทุกครั้งที่มีเวลาว่าง  ไม่รู้ว่าวิ่งเพราะอะไร ชายหนุ่มหน้าซื่อเข่าห้องพักอยู่ใกล้ ๆ กับสถานที่ทำงาน ซึ่งก็รวมทั้งบรรดาเพื่อนหลายคน ที่มีอาชีพเดียวกัน ทุกวันนี้งานหายาก เศรากิจตกต่ำ ค่าครองชีพสูง สถานการณ์บ้านเมืองปั่นป่วน หนูเล็กเด็กแดงพากันออกมาต่อต้านไม่ยอมซื้อใบแมงลัก 

             ทุกคนรู้จักบุญสมในฐานะผู้ชายขยันขันแข็ง แม้ว่าจะไม่เคยเห็นขายหนุ่มไปขันแข่งกับไก่ตัวไหน บางคนบอกว่าเขากินเจ แต่เขาเองก็เคยอธิบายเรื่องนี้ให้คนอื่นทราบว่า เขาไม่ได้กินเจ แต่เพราะเนื้อมันแพงต่างหาก เขามีความจำเป็นจะต้องเก็บเงินไว้ทำอะไรสักอย่าง บุญสมไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เขาอธิบายเรื่องนี้ว่าเหล้าไม่ใช่อาหารห้าหมู่ ไม่มีโปรตีนหรือกลูโคส บุหรี่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อโลก เขาเกิดมาเพื่องาน และงานเท่านั้น  แต่พักหลังมีการวิ่งเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง กลับมาจากเข้ายามกลางคืน เขาจะหาเวลาวิ่งอย่างตั้งใจ ราวกับจะวิ่งเพื่อให้บรรลุอะไรสักอย่าง

             นั่นทำให้เป็นหัวข้อในการอภิปรายกัน ในร้านกาแฟลุงโก๊ะปากซอย เมื่อเห็นบุญสมวิ่งผ่านหน้าร้านไป วันละหลายรอบ

             “ข้าว่ามันจะวิ่งแบบฟอร์เรสท์สะ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานุ่ม”  ลุงคิดบอกกับวงกาแฟอย่างมั่นใจ ลุงคิดเป็นลุงของชิดชัยลูกยายแก้ว  ตำแหน่งมัคนายกของวัดละแวกนี้ ทำให้แกได้รับความเชื่อถืออยู่เป็นอันมาก

             “แล้ววิ่งแบบฟอร์เรสท์สะ กัมพ์ อัจฉริยะปัญญานุ่ม มันเป็นยังไง” ตาผุย คนชุมแพ ถามขึ้นอย่างคนไม่รู้เรื่อง หลายคนหัวเราะให้กับคนไม่รู้เรื่องอย่างแก

             “หรือมันจะวิ่งไปหา เจ้าแม่ช่อมะขาม คนงามของบ้านป่าโมกข์”

            “ข้าจะไปรู้เหรอ”  ลุงคิดตอบหน้าตาย ก่อนยกแก้วกาแฟขึ้นละเลียดอย่างมีมาด ก่อนอธิบายขยายความต่อไปว่า “ข้าเคยเห็นมันวิ่งตอนหนังมาฉายงานวัด ไม่รู้ว่ามันวิ่งทำไม  แถมหนังอะไรแนวไหนก็ไม่รู้ ข้าดูไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ามันวิ่งก็แล้วกัน”

             “ข้าว่ามันวิ่งแบบน้องตุ่น วงบอดี้สลัมมากกว่า”  ลุงผุยค้านขึ้นมาบ้าง แกเป็นคนเดียวในวงที่ไม่ดื่มกาแฟ แต่จิบเหล้าขาวแทน “ ข้าว่าน้องตุ่นยังวิ่งแบบมีเหตุผลมากกว่าเจ้า ก้ำ ๆ กึ่ม ๆ  อะไรนั่นอีกนะ”

             “แกจะไปรู้อะไร  คนทำอะไรแบบไม่รู้เรื่องนั่นละมันดูดี มีคนสนใจ” ลุงคิดยังไม่ยอมแพ้ ซึ่งการปะทะวาทีของสองเฒ่าเป็นเรื่องธรรมดารู้กัน ถึงคัดค้านกันอย่างไรก็ไม่เคยทะเลาะกันรุนแรง เหมือนพวกในสภาตำบล ที่เต็มไปด้วยพวกผู้แทนจำหน่าย

             “ถ้าแกอยากให้คนสนใจ ลองทำอะไรสักอย่าง ที่ไม่แกรู้เรื่องดูสิ รับรองแกจะมีคนสนใจติดตามกดไลท์ให้เป็นแสน  เผลอ ๆ มีคนบริจาคให้เป็นล้านเชียวนะโว๊ย”
 
             “ข้าว่าไม่จริงว่ะ  ทีข้าเมาไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นมีใครกดไลท์บริจาคเงินให้เลย บริจาคแต่บาทา และวาจาเจริญพรทางลบให้ทั้งนั้น”

              วงสนทนาพากันขำครืน กับคำพูดของสองคู่หู  การได้มานั่งสนทนาเวลาเช้าในร้านกาแฟ เป็นกิจกรรมของกลุ่มสูงวัยทั้งหลาย ได้พบปะพูดคุยกัน และคุยได้ทุกเรื่อง ยิ่งเป็นการบ้านการเมืองยิ่งรู้ดีเป็นพิเศษ  ป้าแช่ม แม่ค้าส้มตำปูดอง ร้านอยู่ข้างกาแฟได้ฟัง ก็ทำหน้าอยากมีส่วนร่วมในวงสนทนา เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านส้มตำของแก พอได้จังหวะก็เดินมายืนคุยด้วย ทุกคนหันไปมองอย่างหวาดระแวง เพราะปกติป้าแช่มมักจะด่านำหน้ามาก่อนเสมอ

             “พวกแกไม่รู้อะไร” ป้าแช่มเปิดฉาก ยืนเท้าสะเอวอยู่หลังตาผุยชุมแพ

             “ไม่รู้อะไรเหรอป้า”  ลุงคิดมองหน้าแล้วถาม

             “เรื่องเจ้าบุญสมนะสิ ที่มันวิ่งเป็นบ้าเป็นหลัง พวกแกน่าจะรู้นะว่าเพราะอะไร”

             “แล้วอะไรละป้า”

             “อะไรละ ที่มีพลังขนาดทำให้คนดี ๆ คนหนึ่งเหมือนผีบ้า บ้าพลังไปได้”   ป้าแช่มย้อนถามด้วยสีหน้าเร้นลับพิสดาร ไม่มีใครตอบในทันที เพราะคุณป้าแกเล่นเอาหลักวิชาขั้นสูงมาถาม ถ้าด้านความรอบรู้เชิงปรัชญา ทุกคนต้องยอมรับในตัวป้าแช่ม ว่ากันว่า แกอยู่กับครกและไม้ตีพริก ตำส้มตำปูดอง นานมากจนบรรลุสัจธรรม แต่ก็มีคนแอบค้านว่า แกไม่ได้บรรลุอะไร  เป็นวิญญาณปูดองสิงสู่มากกว่า

             “แล้วมันคือพลังอะไรล่ะป้า”  ลุงคิดหลุดปากถาม

             “มันก็คือพลังแห่งรักยังไงละ”

             “โอ....”  เสียงอุทานแตกตื่นทันที ป้าแช่มหัวเราะหึหึ ในลำคอ ประกายตาเปลี่ยนแปลงเป็นภาคภูมิใจในคำพูดของตัวเอง

             “ยังจะมีอะไรที่เป็นแรงจูงใจทรงพลังมากไปกว่า พลังแห่งรักอีกละ มันทำได้ทั้งการสร้างสรรค์ และทำลาย”

             “มีสิป้า พลังแห่งกรรมไง พระท่านว่า  นตฺถิ กมฺมํ สม พลํ แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรมไม่มี อะเห้ย”   ลุงคิดเอาทางพระเข้าสู้ทันที ในฐานะมัคนายกผู้ดำรงตำแหน่งมาเนิ่นนาน ซึ่งก็ได้ผล ป้าแช่มหันขวับมามอง ชี้หน้ามัคนายก สีหน้าทางทางกราดเกรี้ยวอำมหิต เต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟัน

             “ไอ้คิด  บังอาจมาขัดคอ เดี๋ยวก็ไล่ไปอยู่แดนศิวิไลซ์กับไอ้ชิดชัยลูกยายแก้วเสียหรอก นี่มันทางโลก ไม่ใช่ทางธรรม ปั๊ดเหนี่ยว...”

             “อย่าทะเลาะกัน โปรดเถิดดวงใจ โปรดได้ฟังเพลง นี่ก๊อนน...”  ลุงผุยรีบลุกขึ้นชวางทางรัก ในฐานะกาวใจผู้ประสานสิบทิศ  “ไอ้คุณคิดคงมิได้เจตนาขัดคอแม่นางแช่มหรอกครับ  มันเมากาแฟ  เดี๋ยวข้าจะจัดการให้เองนะจ๊ะ แม่นางผู้สง่างาม ราว หวี อันอัน”  

             จากนั้นหันไปทางลุงคิด ทำหน้าดุใส่ กรีดนิ้วยกมือชี้หน้าแบบลีลายี่เก   “นี่ไอ้คิด  คุณจะขอโทษแม่นางแช่มไหมขอรับ ถ้าไม่ขอโทษ ผมจะเตะ ว่าไง จะให้กูเตะปากคุณหรือจะขอโทษ”

             “เออ อย่าเตะผมเลยครับ  กูกลัวคุณแล้ว ขอโทษก็ได้”   ลุงคิดรับมุก หันไปประสานมือแก่ป้าแช่มทันที เอ่ยปากคารวะสามจบ สีหน้าป้าแช่มดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้มาจากคำว่า แม่นางหวี อันอัน ด้วยส่วนหนึ่ง

             “ป้าแช่มไม่เอาเรื่องก็ได้ค่ะ นี่ ๆ แช่มอันอันจะบอกความจริงให้นะคะว่า ทำไมพ่อบุญสม ถึงได้วิ่งจะเป็นจะตายยังนั้น  ทุกคนจำน้องลูกนกได้ไหม ลูกนกสุภาพรคนที่ทำงานอยู่ในโรงงานแถวนี้ พักอยู่ในซอยนี้ละ จำได้ไหมคะ”
 
             ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ทันที  และแล้วก็พากันทำหน้าเหมือนเริ่มจะนึกได้ น้องลูกนก คนงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าส่งนอก  อายุเกือบยี่สิบขวบ รูปร่างหน้าตาค่อนข้างดีตามวัยสดใส เห็นมาพักมาทำงานอยู่สามสี่ปีแล้วก็หายไป ถึงจะไม่ค่อยคุ้นเคยมากนักก็พอจำได้ เคยเห็นมานั่งกินส้มตำร้านป้าแช่มบ่อย ๆ ด้วยท่าทางเรียบร้อยพูดน้อย 

             พอเห็นทุกคนเริ่มจำได้ ป้าแช่มก็เริ่มบอกเล่า ความลับระดับโลกทันที บูญสมกับลูกนกคบหาเป็นแฟนกันแบบเงียบ ๆ ตามนิสัยของคนทั้งคู่ ซึ่งป้าแช่มเองก็พอจะรู้ข้อมูล เพราะบ้านของแกอยู่ข้างห้องพักของลูกนกนั่นเอง  แต่เมื่อลูกนกกลับบ้านต่างจังหวัด ก็ไม่หวนกลับคืนมาอีกเลย ราวนกน้อยมีโอกาสโผผินบินออกจากรวงรัง ระเริงหลงไปกับฟากฟ้าไกลและสายลม

             หลังจากนั้นบุญสมก็เริ่มต้นวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งไป....
 

             “ลูกเขยฉัน มันต้อง นายร้อย ตำรวจ หรือสีกากีเท่านั้น”

             คำพูดพ่อของลูกนกยังก้องกังวานสะท้านหัวใจ บุญสมรู้สึกเจ็บแปลบร้าวระริกลงไปในความรู้สึกทุกครั้งที่นึกถึง วันนี้หลังจากกลับมาจากการดูแลเฝ้าอาคารแห่งหนึ่ง เขาเลิกงานเวลาหกโมงเช้า แต่เขายังนอนไม่ได้ นึกถึงหน้าคนรัก แล้วมันรู้สึกหัวใจจะแหลกสลาย

            เขาต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว มาเป็นชุดวิ่ง วิ่งไปให้ไกล วิ่งเพื่อหนีหัวใจของตัวเอง วิ่งไปในหมู่บ้านที่เขาเคยทำหน้าที่เป็น รปภ. ผู้คนต่างพาจดจำเขาได้ ทำให้เกิดความรู้สึกคุ้นเคย ภาคภูมิใจในหน้าที่ของตัวเอง การเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้คนในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหน ถ้าเป็นเวลางานของเขา บุญสมจะทำเต็มที่ คนกลับดึกดื่นก็จะนำทางส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัย เห็นชาวบ้านมีความสุขสงบเขาก็ดีใจ งานที่ยิ่งใหญ่สำหรับชายหนุ่มบ้านนอกผู้นี้
 
             คนในหมู่บ้านพากันเรียกร้องให้เขากลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ไม่มี รปพ. คนไหนทุ่มเทให้อย่างบุญสมคนนี้อีกแล้ว

              วิ่งเพื่อไม่ให้คิดมาก

             วิ่งเพื่อละลายความขมขื่น ออกมาเป็นหยาดเหงื่อ

             วิ่งเพื่อดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านและผู้คน

             ถ้ามันจะตายก็ให้ตายไป

             เพื่อนที่บ้านนอก ส่งข่าวมาบอก มีตำรวจมาจีบมาคุยลูกนกถึงบ้าน ว่าที่พ่อตาดีออกดีใจออกนอกหน้า ใช่สิ...เราไม่ใช่นายร้อยติดบ่า  บุญสมนึกอย่างน้อยใจในโชคชะตา  แต่เราก็ทำงานสุจริต นกลูกของพี่บุญสม...เธอคงจากไปดั่งโนรีจากรัง พี่คนนี้ก็จะไม่ว่าเจ้าหรอก ถ้าเป็นความสุขของเจ้า พี่คนนี้จะยอมรับเสมอ ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะไปทำร้ายทำลายงานแต่ง นั่นมันไม่ใช่นิสัยคนอย่างบุญสม ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ 

             เกือบเดือนที่บุญสมซานทรมานกับความขมขื่น แต่เขาก็รักษาใจตัวเองด้วยการวิ่ง  ทุ่มเททำงานอย่างสุดชีวิต เปลี่ยนพลังเจ็บมาเป็นพลังใจ  ไม่ว่าจะเป็นผู้คน เจ้านายต่างชื่นชมเขา แม้แต่บรรดาหมาในหมู่บ้านที่ดุร้ายไล่กัดคน ยังพากันวิ่งตามบุญสมอย่างสนุกสนานสนิทสนม หมู่เมฆมืดดำสักวันคงคลี่คลาย วันหนึ่งน้ำตาข้นเลือดคงจืดจางพราวใสสะอาด เหมือนหัวใจไอ้บุญสมคนนี้
 
             “เฮ้...ไอ้สม”   เพื่อนข้างห้องโบกมือ เดินตรงมา ขณะที่บุญสมวิ่งกลับมาบ้านอย่างอ่อนล้ากับการวิ่ง  “มีจดหมาย  ข้ารับแทนแก รีบ ๆ อ่านเผื่อเรื่องสำคัญ”

             บุญสมรับจดหมายจากเพื่อนด้วยอาการเหนื่อยอ่อน ขอบใจแบบ งง ๆ  นึกว่าเป็นจดหมายจากทางบ้าน แต่ไม่ใช่ 
จ่าหน้า ลายมือของลูกนก!

             คงเป็นบัตรเชิญสินะ...บุญสมใจวาบหวิวลงอีกแล้ว แต่ยังไงก็ต้องอ่าน
 

             ถึงพี่บุญสม

             พี่คงเกลียด คงไม่รักนกแล้ว นกรู้ว่านกผิดต่อพี่  คนที่เข้ามาทางพ่อถึงจะแต่งชุดสีกากี แต่เขาเป็นภารโรง ไม่ใช่ตำรวจ และนกไม่เคยชอบใครอื่นนอกจากพี่ นกตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว บอกกับพ่อแม่ จะขอกลับเข้ากรุงทำงานต่อ ชาตินี้นกจะไม่ขอแต่งงานกับใครเด็ดขาด นอกจากพี่บุญสม  ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ชีวิตของนกถูกบงการมามากพอแล้ว ต่อไปนี้จะขอทำตามใจตัวเองบ้าง

             ถ้าพี่ยังรัก ยังต้องการนก นกจะกลับมาหาพี่ในวันที่....เดือนนี้ นกจะมองหาพี่แถว ๆ ท่ารถ บขส. ที่เราเคยพบกัน หวังว่าพี่จะดูแลหัวใจของนกเหมือนที่พี่เคยดูแลความปลอดภัยในกับสังคม
 
             หวังว่าพี่ยังคงรักนกอยู่นะคะ
             จาก นก ที่เคยเป็นคนดีทีหนึ่งของพี่บุญสม และจะเป็นตลอดไป
 
             ชายหนุ่มอ่านจดหมายจบด้วยความรู้สึกตื้นตันใจน้ำตาพร่างแพรวจนแทบมองไม่เห็นอะไร แต่ภายในใจกลับสว่างกระจ่างจ้าขึ้นมาทีละน้อย มันเป็นความจริง ไม่ได้ฝันไป กระนั้นบุญสมก็แทบไม่อยากจะเชื่อ  ลูกนกที่ไม่ใช่ลูกนกในกรงทอง แต่เป็นลูกนกผู้ต้องการอิสระ ในการโบยบิน เผชิญภัยร้ายก็มีคนคอยเคียงข้างฝ่าฟัน ฝันเป็นจริง
 
            ทั้งที่อยู่ในสภาพวิ่งมาจนเหนื่อย บุญสมสวมรองเท้าวิ่ง  ด้วยพลังใจมากมายล้นเหลือ เก็บจดหมายใส่กระเป๋าแนบตรงบริเวณประทับหัวใจ
เขาต้องวิ่งอีกครั้ง
 
             แต่คราวนี้...เป็นการวิ่งหาหัวใจของตัวเอง
 
             สายของวันนั้น ผู้คนในซอยต่างแปลกใจ ที่เห็นหนุ่ม รปภ. คนเก่ง  วิ่งรอบหมู่บ้าน ด้วยใบหน้านองน้ำตา แต่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสุขใจแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน  

            หรือจะเป็นเพราะพลังแห่งรักอย่างที่ป้าแช่มว่าจริง ๆ 

จบ

ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง  นายร้อยหน้าลิฟต์ - เอกพล มนต์ตระการ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่