สวัสดีค่ะทุกคน 🙋🏻♀️
กระทู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GEN441 (CULTURE AND EXCURSION) ที่ให้นักศึกษาได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น โดยพวกเรากลุ่มเต่ากระโดดกำแพงสมาชิกจำนวน 6 คน ได้เลือกไปที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำโขง ค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าที่พักและค่าเดินทางตกประมาณ 4,000 บาทต่อคนค่ะ ทั้งได้เที่ยว เรียนรู้ พักผ่อน และได้กินของอร่อยเต็มไปหมดเลยค่ะ 🍜
🚍 วันที่ 1 : จากหมอชิตสู่เชียงคาน – ปั่นจักรยาน กิน เที่ยว ล่องเรือชมโขง
เราเริ่มออกเดินทางจาก หมอชิต 2 กรุงเทพฯ เวลา 20.00 น. โดยจองรถทัวร์ของซันบัส ปลายทางคือเชียงคาน หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่บนรถจนถึง 7 โมงเช้า ของอีกวัน (รถดีเลย์นะคะ) รถก็จอดที่
จุดลงรถเชียงคาน อากาศตอนเช้าสดชื่นมาก 🍃
เราจองที่พักทั้งสิ้น 2 คืน 3,800 บาท (6 คน เฉลี่ยคนละ 633 บาท) คืนแรกที่
เฮือนคุ้มฮัก และคืนที่สองที่
เฮือนพักจันทร์ดารา ซึ่งเจ้าของ 2 ที่นี้คือ ป้าป้อก คนเชียงคานแท้ ๆ ใจดีสุด ๆ ฝากของเสร็จป้าป้อกก็แนะนำร้านอาหารเช้าให้ ร้านนี้วิวสวยมากเพราะด้านหลังติดแม่น้ำโขง😆
🍳 มื้อเช้า: ไข่กระทะ ข้าวเปียกเส้น ขนมปังญวน
· ไข่กระทะ 50 บาท
· ข้าวเปียกเส้น 50 บาท
· ขนมปังญวน 20 บาทรวม ๆ แล้วอิ่มพอดี

ต่อจากนั้นประมาณ 9 โมง เราเดินไปไหว้พระที่
วัดศรีคุณเมือง ไหว้พระ 3 จุดภายในวัด ทั้งพระประธานและองค์พระรอบ ๆ ศาลา แล้วค่อยกลับมาที่พัก ใช้จักรยานของที่พักปั่นไปที่ร้าน
นวดโยงเส้นป้าก้อย ซ.20 ป้าก้อยเป็นคนอารมณ์ดีมาก คุยสนุก เป็นกันเองสุด ๆ เราแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษา แกก็เล่าให้ฟังถึงที่มาของการนวดโยงเส้น ประโยชน์ และรางวัลที่เคยได้รับมาต่าง ๆ เราลองนวดกัน 1 ชั่วโมง แกใจดีมากเพราะเห็นเราเป็นเด็ก ๆ มาศึกษาวิถีชีวิต เลยคิดราคาเพียง 200 บาท/คน เท่านั้นเองค่ะ

ขากลับเราปั่นแวะชิม
ข้าวปุ้นน้ำแจ่วสูตรโบราณป้าลี่ ซ.14 ในย่านชุมชน ราคาประหยัด รสชาติดี น้ำซุปหอมเข้มข้น ก่อนกลับยังซื้อ กล้วยมันทอด 8 ชิ้น 20 บาท และข้าวจี่ไม้ละ 10 บาท มากินเล่นระหว่างทาง 🍌
ช่วงบ่ายพักที่ที่พักเพราะอากาศร้อน จนถึงเย็น ๆ ประมาณ 5 โมง เราออกไปนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตก ค่าล่องเรือ 100 บาทต่อคน วิวสวยสุด ๆ vibe คือดีมาก 🌅 ระหว่างล่องเรือมีเด็กฝั่งลาวโบกมือทักทายให้ตลอดทาง น่ารักมาก แล้วก็ได้คุยกับลุงประยูร แสนแอ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกษตรริมโขงและกลุ่มประมงพื้นบ้านเชียงคาน เล่าเรื่องการทำประมงของเชียงคานในปัจจุบันให้พวกเราฟัง พร้อมแชร์เอกลักษณ์ของกลุ่มประมงพื้นบ้านที่ยังคงสืบต่อกันมาจนวันนี้ ฟังเพลินจนลืมเวลาเลยค่ะ
จบท้ายวันด้วยการเดินถนนคนเดิน กินของอร่อยเพียบ เช่น กุ้งย่าง–ปูย่าง 3 ไม้ 50 บาท (ของที่ชาวประมงจับเอง) ของหวานเป็น บัวลอยไอศกรีม 50–60 บาท/ถ้วย ก่อนกลับที่พักก็แวะซื้อ ผัดไทยห่อใบบัว กับ เนื้อย่างข้าวเหนียว ไปกินต่อที่ที่พัก อิ่มทั้งกายและใจ ปิดจบวันแรกอย่างสวยงาม ❤️
🌤 วันที่ 2 : ตักบาตรข้าวเหนียว – หมู่บ้านไทดำ – แก่งคุดคู้ – ร้านเจ้ใหญ่ภูหงส์
วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 5 สภาพงัวเงีย เพื่อตักบาตรข้าวเหนียวหน้าที่พัก ราคาชุดละ 100 บาท (ที่พักติดกับวัดศรีคุณเมืองพอดี) พระท่านเดินบิณฑบาตผ่านทางหน้าที่พักเลยค่ะ 🙏 ป้าปอกเล่าว่าปัจจุบันการตักบาตรข้าวเหนียวของเชียงคานมีความเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนเล็กน้อย เดิมทีชาวบ้านจะใส่เฉพาะข้าวเหนียวเท่านั้น ส่วนจังหันหรืออาหารอย่างอื่นจะนำไปถวายพระภายหลัง แต่ทุกวันนี้เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยว ก็เลยมีการจัดชุดตักบาตรที่มีทั้งอาหารแห้งและของกินเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้บรรยากาศดูคึกคักและเข้าถึงง่ายขึ้นค่ะ 🍚✨เสร็จแล้วก็แอบกลับไปนอนต่อแป๊บนึง 55555
เช้า 8–9 โมง ออกไปกินติ่มซำที่
ลุกโภชนา ราคาติ่มซำเข่งละ 30 บาท / โจ๊ก 40 บาท คนเยอะมาก ต้องขึ้นไปนั่งชั้นสอง ซึ่งร้อนนิดหน่อยแต่รสชาติดี 🥟 กินข้าวอิ่มแล้ว ต่อไปเราก็ไปเช่ามอเตอร์ไซค์ คันละ 250 บาท/วัน ลุงเจ้าของร้านใจดีมาก เพราะช่วงนั้นรถเต็มแทบหมด แต่ลุงหามาให้จนได้ ไม่ต้องวางประกัน ใช้แค่บัตรประชาชนเพื่อนใบเดียว

จากนั้นขับไป
หมู่บ้านไทดำ ห่างจากตัวเชียงคานประมาณ 10 กว่ากิโล เราจองรถอีแต๊กไว้ 500 บาท (นั่งได้ทั้งกลุ่ม) พี่โขม เป็นไกด์ประจำหมู่บ้านที่ขับรถอีแต๊กพาเรานั่งชมบรรยากาศรอบหมู่บ้าน เล่าเรื่องวิถีชีวิต รวมถึงความเชื่อของชาวไทดำที่เคยนับถือผีบรรพบุรุษ แต่ปัจจุบันมีหลายศาสนาแล้ว พอเราถามเค้าเกี่ยวกับโบสถ์ในหมู่บ้าน พี่ไกด์ก็พาเราไปดู ซึ่งเป็นบรรยากาศโบสถ์ที่อบอุ่นมาก คนในชุมชนต้อนรับดีสุด ๆ เราเลยได้ร่วมเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ไปด้วยเลย ⛪กลับจากการนั่งรถอีแต๊ก ก็มีการแสดงพื้นบ้าน พอดีมีนักท่องเที่ยวท่านอื่นซื้อแพ็กเกจชมการแสดง เราก็เลยได้ดูฟรีไปด้วย อิอิ 😆 สุดท้ายก่อนกลับมีพิพิธภัณฑ์บ้านตัวอย่างและผลิตภัณฑ์ของชุมชน มีสบู่ ผ้าทอมือ ของฝากเล็ก ๆ น่ารักเต็มไปหมด

จบจากบ้านไทดำเราก็ขับไปต่อที่
แก่งคุดคู้ ดูจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับนายพรานนอนคุดคู้ อากาศดี วิวสวย ลมพัดแรงหน่อยแต่สดชื่นมาก ตกเย็นแวะกินข้าวที่
ร้านเจ้ใหญ่ภูหงส์ อาหารอร่อยทุกอย่างค่ะ ต้มแซ่บ หมูย่าง ตำไทย ไก่ทอดเกลือ หารกันแล้วราคาน่ารักสุด ๆ 😋 และปิดท้ายวันด้วยการเดินถนนคนเดินอีกรอบ ซื้อของฝากเล็ก ๆ ก่อนกลับที่พัก
☁️วันที่ 3 : ภูทอก – จานกาบหมาก – คาเฟ่ Flowa Coffee – จุดจอดเชียงคาน
วันสุดท้าย เราตื่นตี 5 อีกครั้งเพื่อไปชมทะเลหมอก
ภูทอก ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอด (ค่าจอด 20 บาท/คัน) จากนั้นต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นรถขึ้นภูอีกคนละ 40 บาท ตอนขึ้นไปถึงคือไม่มีทะเลหมอก... แต่มีหมอกทั้งลูก 😂 ฟีลเหมือนอยู่ในเกม Silent Hill หมอกหนาจนผมเปียกเลย แต่ก็ได้รูปหมอกสวย ๆ มาเยอะเลยค่ะ
กลับมาที่พักเก็บของ เตรียมเช็กเอาต์ พวกเราฝากกระเป๋าไว้ที่พักเพราะรถทัวร์ขากลับออกตอน 1 ทุ่ม ก่อนกลับเราขับมอเตอร์ไซค์ไปดู
ชุมชนท่าดีหมี เพื่อศึกษาการทำ “จานกาบหมาก” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รีไซเคิลจากวัสดุธรรมชาติ คนในชุมชนใจดีมาก ไม่คิดเงิน แถมสอนให้ลงมือทำเองด้วย เราได้คุยกับคุณณราศักดิ์ พรมดี ประธานกลุ่มจานกาบหมากบ้านท่าดีหมี และรองประธานคุณไพศาล สอนเสียง ผู้ใหญ่บ้านท่าดีหมี ที่มาให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตั้งแต่การตากกาบหมากไปจนถึงการใช้เครื่องโมลความร้อนขึ้นรูปเป็นจาน 🍽️ ในฐานะนักศึกษาวิศวะเครื่องกล เราตื่นเต้นสุด ๆ เพราะได้เห็นและลองใช้เครื่องจริงเลยมีคำถามเต็มไปหมด (ลุง ๆ ก็ใจดีตอบหมดเลย 💬)
ระหว่างรอเวลาเดินทางกลับ เราแวะนั่งคาเฟ่
Flowa’coffee จิบชา กาแฟ ถ่ายรูป ช่วงบ่ายที่มีแอร์เย็น ๆ ให้หายร้อนจากการทำจานกาบหมาก จากนั้นก็ขับกลับที่พัก แต่พอเริ่มบ่ายแก่ ๆ ก็เริ่มคุยกันว่าต่อไปไปไหนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจขอยืมจักรยานจากที่พักมาปั่นเล่นค่าเวลาแทน อากาศตอนบ่ายประมาณสามโมงแดดอุ่น ๆ แต่ลมแม่น้ำพัดเย็น ทำให้ปั่นเพลินวนไปเรื่อย ๆ จนถึงราว ๆ 5–6 โมงเย็น แสงเริ่มนุ่ม🌅 เราเลยแวะถ่ายรูปเล่นกันตามทาง ก่อนจะปั่นกลับมาที่พักเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ คืนมอเตอร์ไซค์ และเดินไปที่จุดลงรถเชียงคานปิดท้ายทริปเชียงคานของพวกเราพอดีค่ะ💛
สุดท้ายนี้พวกเราหวังว่ารีวิวเชียงคานนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ😆
[Backpack Trip] 3 วัน 2 คืน “เชียงคาน” ผู้คนใจดี บรรยากาศอบอุ่น กับนักศึกษาปี 4 ที่ฟิต ๆ จ.เลย
กระทู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GEN441 (CULTURE AND EXCURSION) ที่ให้นักศึกษาได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น โดยพวกเรากลุ่มเต่ากระโดดกำแพงสมาชิกจำนวน 6 คน ได้เลือกไปที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำโขง ค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าที่พักและค่าเดินทางตกประมาณ 4,000 บาทต่อคนค่ะ ทั้งได้เที่ยว เรียนรู้ พักผ่อน และได้กินของอร่อยเต็มไปหมดเลยค่ะ 🍜
🚍 วันที่ 1 : จากหมอชิตสู่เชียงคาน – ปั่นจักรยาน กิน เที่ยว ล่องเรือชมโขง
เราเริ่มออกเดินทางจาก หมอชิต 2 กรุงเทพฯ เวลา 20.00 น. โดยจองรถทัวร์ของซันบัส ปลายทางคือเชียงคาน หลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่บนรถจนถึง 7 โมงเช้า ของอีกวัน (รถดีเลย์นะคะ) รถก็จอดที่จุดลงรถเชียงคาน อากาศตอนเช้าสดชื่นมาก 🍃
เราจองที่พักทั้งสิ้น 2 คืน 3,800 บาท (6 คน เฉลี่ยคนละ 633 บาท) คืนแรกที่เฮือนคุ้มฮัก และคืนที่สองที่เฮือนพักจันทร์ดารา ซึ่งเจ้าของ 2 ที่นี้คือ ป้าป้อก คนเชียงคานแท้ ๆ ใจดีสุด ๆ ฝากของเสร็จป้าป้อกก็แนะนำร้านอาหารเช้าให้ ร้านนี้วิวสวยมากเพราะด้านหลังติดแม่น้ำโขง😆
🍳 มื้อเช้า: ไข่กระทะ ข้าวเปียกเส้น ขนมปังญวน
· ไข่กระทะ 50 บาท
· ข้าวเปียกเส้น 50 บาท
· ขนมปังญวน 20 บาทรวม ๆ แล้วอิ่มพอดี
ต่อจากนั้นประมาณ 9 โมง เราเดินไปไหว้พระที่วัดศรีคุณเมือง ไหว้พระ 3 จุดภายในวัด ทั้งพระประธานและองค์พระรอบ ๆ ศาลา แล้วค่อยกลับมาที่พัก ใช้จักรยานของที่พักปั่นไปที่ร้านนวดโยงเส้นป้าก้อย ซ.20 ป้าก้อยเป็นคนอารมณ์ดีมาก คุยสนุก เป็นกันเองสุด ๆ เราแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษา แกก็เล่าให้ฟังถึงที่มาของการนวดโยงเส้น ประโยชน์ และรางวัลที่เคยได้รับมาต่าง ๆ เราลองนวดกัน 1 ชั่วโมง แกใจดีมากเพราะเห็นเราเป็นเด็ก ๆ มาศึกษาวิถีชีวิต เลยคิดราคาเพียง 200 บาท/คน เท่านั้นเองค่ะ
ขากลับเราปั่นแวะชิมข้าวปุ้นน้ำแจ่วสูตรโบราณป้าลี่ ซ.14 ในย่านชุมชน ราคาประหยัด รสชาติดี น้ำซุปหอมเข้มข้น ก่อนกลับยังซื้อ กล้วยมันทอด 8 ชิ้น 20 บาท และข้าวจี่ไม้ละ 10 บาท มากินเล่นระหว่างทาง 🍌
ช่วงบ่ายพักที่ที่พักเพราะอากาศร้อน จนถึงเย็น ๆ ประมาณ 5 โมง เราออกไปนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตก ค่าล่องเรือ 100 บาทต่อคน วิวสวยสุด ๆ vibe คือดีมาก 🌅 ระหว่างล่องเรือมีเด็กฝั่งลาวโบกมือทักทายให้ตลอดทาง น่ารักมาก แล้วก็ได้คุยกับลุงประยูร แสนแอ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเกษตรริมโขงและกลุ่มประมงพื้นบ้านเชียงคาน เล่าเรื่องการทำประมงของเชียงคานในปัจจุบันให้พวกเราฟัง พร้อมแชร์เอกลักษณ์ของกลุ่มประมงพื้นบ้านที่ยังคงสืบต่อกันมาจนวันนี้ ฟังเพลินจนลืมเวลาเลยค่ะ
จบท้ายวันด้วยการเดินถนนคนเดิน กินของอร่อยเพียบ เช่น กุ้งย่าง–ปูย่าง 3 ไม้ 50 บาท (ของที่ชาวประมงจับเอง) ของหวานเป็น บัวลอยไอศกรีม 50–60 บาท/ถ้วย ก่อนกลับที่พักก็แวะซื้อ ผัดไทยห่อใบบัว กับ เนื้อย่างข้าวเหนียว ไปกินต่อที่ที่พัก อิ่มทั้งกายและใจ ปิดจบวันแรกอย่างสวยงาม ❤️
🌤 วันที่ 2 : ตักบาตรข้าวเหนียว – หมู่บ้านไทดำ – แก่งคุดคู้ – ร้านเจ้ใหญ่ภูหงส์
วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 5 สภาพงัวเงีย เพื่อตักบาตรข้าวเหนียวหน้าที่พัก ราคาชุดละ 100 บาท (ที่พักติดกับวัดศรีคุณเมืองพอดี) พระท่านเดินบิณฑบาตผ่านทางหน้าที่พักเลยค่ะ 🙏 ป้าปอกเล่าว่าปัจจุบันการตักบาตรข้าวเหนียวของเชียงคานมีความเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนเล็กน้อย เดิมทีชาวบ้านจะใส่เฉพาะข้าวเหนียวเท่านั้น ส่วนจังหันหรืออาหารอย่างอื่นจะนำไปถวายพระภายหลัง แต่ทุกวันนี้เพื่อความสะดวกของนักท่องเที่ยว ก็เลยมีการจัดชุดตักบาตรที่มีทั้งอาหารแห้งและของกินเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้บรรยากาศดูคึกคักและเข้าถึงง่ายขึ้นค่ะ 🍚✨เสร็จแล้วก็แอบกลับไปนอนต่อแป๊บนึง 55555
เช้า 8–9 โมง ออกไปกินติ่มซำที่ลุกโภชนา ราคาติ่มซำเข่งละ 30 บาท / โจ๊ก 40 บาท คนเยอะมาก ต้องขึ้นไปนั่งชั้นสอง ซึ่งร้อนนิดหน่อยแต่รสชาติดี 🥟 กินข้าวอิ่มแล้ว ต่อไปเราก็ไปเช่ามอเตอร์ไซค์ คันละ 250 บาท/วัน ลุงเจ้าของร้านใจดีมาก เพราะช่วงนั้นรถเต็มแทบหมด แต่ลุงหามาให้จนได้ ไม่ต้องวางประกัน ใช้แค่บัตรประชาชนเพื่อนใบเดียว
จากนั้นขับไปหมู่บ้านไทดำ ห่างจากตัวเชียงคานประมาณ 10 กว่ากิโล เราจองรถอีแต๊กไว้ 500 บาท (นั่งได้ทั้งกลุ่ม) พี่โขม เป็นไกด์ประจำหมู่บ้านที่ขับรถอีแต๊กพาเรานั่งชมบรรยากาศรอบหมู่บ้าน เล่าเรื่องวิถีชีวิต รวมถึงความเชื่อของชาวไทดำที่เคยนับถือผีบรรพบุรุษ แต่ปัจจุบันมีหลายศาสนาแล้ว พอเราถามเค้าเกี่ยวกับโบสถ์ในหมู่บ้าน พี่ไกด์ก็พาเราไปดู ซึ่งเป็นบรรยากาศโบสถ์ที่อบอุ่นมาก คนในชุมชนต้อนรับดีสุด ๆ เราเลยได้ร่วมเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ไปด้วยเลย ⛪กลับจากการนั่งรถอีแต๊ก ก็มีการแสดงพื้นบ้าน พอดีมีนักท่องเที่ยวท่านอื่นซื้อแพ็กเกจชมการแสดง เราก็เลยได้ดูฟรีไปด้วย อิอิ 😆 สุดท้ายก่อนกลับมีพิพิธภัณฑ์บ้านตัวอย่างและผลิตภัณฑ์ของชุมชน มีสบู่ ผ้าทอมือ ของฝากเล็ก ๆ น่ารักเต็มไปหมด
จบจากบ้านไทดำเราก็ขับไปต่อที่แก่งคุดคู้ ดูจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับนายพรานนอนคุดคู้ อากาศดี วิวสวย ลมพัดแรงหน่อยแต่สดชื่นมาก ตกเย็นแวะกินข้าวที่ร้านเจ้ใหญ่ภูหงส์ อาหารอร่อยทุกอย่างค่ะ ต้มแซ่บ หมูย่าง ตำไทย ไก่ทอดเกลือ หารกันแล้วราคาน่ารักสุด ๆ 😋 และปิดท้ายวันด้วยการเดินถนนคนเดินอีกรอบ ซื้อของฝากเล็ก ๆ ก่อนกลับที่พัก
☁️วันที่ 3 : ภูทอก – จานกาบหมาก – คาเฟ่ Flowa Coffee – จุดจอดเชียงคาน
วันสุดท้าย เราตื่นตี 5 อีกครั้งเพื่อไปชมทะเลหมอกภูทอก ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอด (ค่าจอด 20 บาท/คัน) จากนั้นต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นรถขึ้นภูอีกคนละ 40 บาท ตอนขึ้นไปถึงคือไม่มีทะเลหมอก... แต่มีหมอกทั้งลูก 😂 ฟีลเหมือนอยู่ในเกม Silent Hill หมอกหนาจนผมเปียกเลย แต่ก็ได้รูปหมอกสวย ๆ มาเยอะเลยค่ะ
กลับมาที่พักเก็บของ เตรียมเช็กเอาต์ พวกเราฝากกระเป๋าไว้ที่พักเพราะรถทัวร์ขากลับออกตอน 1 ทุ่ม ก่อนกลับเราขับมอเตอร์ไซค์ไปดูชุมชนท่าดีหมี เพื่อศึกษาการทำ “จานกาบหมาก” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รีไซเคิลจากวัสดุธรรมชาติ คนในชุมชนใจดีมาก ไม่คิดเงิน แถมสอนให้ลงมือทำเองด้วย เราได้คุยกับคุณณราศักดิ์ พรมดี ประธานกลุ่มจานกาบหมากบ้านท่าดีหมี และรองประธานคุณไพศาล สอนเสียง ผู้ใหญ่บ้านท่าดีหมี ที่มาให้ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิต ตั้งแต่การตากกาบหมากไปจนถึงการใช้เครื่องโมลความร้อนขึ้นรูปเป็นจาน 🍽️ ในฐานะนักศึกษาวิศวะเครื่องกล เราตื่นเต้นสุด ๆ เพราะได้เห็นและลองใช้เครื่องจริงเลยมีคำถามเต็มไปหมด (ลุง ๆ ก็ใจดีตอบหมดเลย 💬)
ระหว่างรอเวลาเดินทางกลับ เราแวะนั่งคาเฟ่ Flowa’coffee จิบชา กาแฟ ถ่ายรูป ช่วงบ่ายที่มีแอร์เย็น ๆ ให้หายร้อนจากการทำจานกาบหมาก จากนั้นก็ขับกลับที่พัก แต่พอเริ่มบ่ายแก่ ๆ ก็เริ่มคุยกันว่าต่อไปไปไหนดี สุดท้ายก็ตัดสินใจขอยืมจักรยานจากที่พักมาปั่นเล่นค่าเวลาแทน อากาศตอนบ่ายประมาณสามโมงแดดอุ่น ๆ แต่ลมแม่น้ำพัดเย็น ทำให้ปั่นเพลินวนไปเรื่อย ๆ จนถึงราว ๆ 5–6 โมงเย็น แสงเริ่มนุ่ม🌅 เราเลยแวะถ่ายรูปเล่นกันตามทาง ก่อนจะปั่นกลับมาที่พักเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ คืนมอเตอร์ไซค์ และเดินไปที่จุดลงรถเชียงคานปิดท้ายทริปเชียงคานของพวกเราพอดีค่ะ💛
สุดท้ายนี้พวกเราหวังว่ารีวิวเชียงคานนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ😆