JJNY : ​“พิชัย”แนะตัดงบทหาร/“ศก.-การเมือง”ฉุดเชื่อมั่นนักลงทุน/เปิดอันดับทวิตที่โดนไอโอก่อกวน/“พิธา”จี้แจงทวิตเตอร์ไอโอ

“พิชัย” ติง “ทหาร” เลิกใช้ IO ชี้เงินจากภาษีควรใช้ให้เป็นประโยชน์ แนะตัดงบทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_2387832
 
 
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏว่าบริษัท Twitter ได้ปิดบัญชี 1,594 บัญชีใน 5 ประเทศ คือ  ไทย คิวบา อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย และ รัสเซีย โดยพบว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการด้านข่าวสาร (IO) โดยเป็นบัญชีในประเทศไทยมากที่สุดถึง 926 บัญชี แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลและทหารมีความพยายามที่จะปฏิบัติการ IO ที่บิดเบือนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด และหลายครั้งได้สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ถูกต้องให้กับประชาชนและสร้างความเกลียดชัง
 
จากข้อมูลในสื่อพบว่ามีการตรวจสอบพบว่า 11 อันดับแรกที่โดน ปฏิบัติการ IO ก่อกวนมากที่สุดเป็นของนักการเมืองพรรคก้าวไกล และอนาคตใหม่ อันดับที่ 12 เป็นของตน พิชัย นริพทะพันธุ์ บัญชี @Pichailive ซึ่งตนเองโดนก่อกวนบ่อยครั้งมาก จนเป็นที่น่ารำคาญ และต้องตามบล็อกกัน บางครั้งข้อความเดียวกันหรือรูปเดียวกันส่งออกมาจาก 7-8 บัญชีที่ชื่อไม่ซ้ำกัน ไม่ต้องบอกก็ต้องรู้ว่าจะต้องมาจากแหล่งเดียวกันอย่างแน่นอน ข้อมูลที่ใช้ก่อกวนเป็นข้อมูลซ้ำๆ พูดแบบเดิมๆ เหมือนไม่มีความคิด ถูกสั่งให้ส่งก็ส่งมา และหลังจาก สส. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ของพรรคก้าวไกล ได้ออกมาอภิปรายในสภาเปิดเผยเรื่องนี้ ก็หายไปพักหนึ่งแล้วก็กลับมาทำกันใหม่อีก
 
บริษัทระดับโลกอย่าง Twitter คงไม่ใส่ร้ายทหารหรือรัฐบาลไทยแบบไม่มีข้อมูล เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับบริษัทเลย และประเทศที่โดน Twitter ปิดบัญชีที่เหลืออีก 4 ประเทศแต่ละประเทศก็เชื่อกันว่าต้องมีปฏิบัติการ IO อยู่แล้ว แทนที่รัฐบาล และทหารจะแก้ตัว ควรจะต้องรีบแก้ไขและเลิกการกระทำดังกล่าวจะดีกว่า เพราะประชาชนโดยเฉพาะนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ฉลาดพอที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่
 
การที่มีการใช้เงินหลวงจากภาษีประชาชนเพื่อทำปฏิบัติการ IO และ ก่อความไม่สงบ สร้างความแตกแยกให้กับประชาชน แทนที่จะต้องทำหน้าที่สร้างความสงบ รักษาความมั่นคง เป็นการใช้เงินภาษีอย่างผิดประเภท แทนที่จะนำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากพิษเศรษฐกิจที่เกิดจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลและซ้ำเติมด้วยวิกฤตไวรัสโควิด
 
อีกทั้งการที่ทหารใช้เงินหลวงแบบนี้ยิ่งเป็นเหตุผลที่ต้องปฏิรูปกองทัพ และจะต้องปรับลดงบประมาณทางการทหารที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ  รวมถึงระงับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ยังไม่จำเป็นทั้งหมด ทั้งเรือดำน้ำ รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน VIP เป็นต้น อีกด้วย ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะต้องปฏิบัติตัวให้เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชน และทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง อย่าเพียงแต่พูดแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ซึ่งประชาชนจะรับรู้ได้และอาจจะหมดศรัทธาในกองทัพได้
 

 
“เศรษฐกิจ-การเมือง”ฉุดเชื่อมั่นนักลงทุน
https://www.innnews.co.th/economy/news_792090/
 
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผย ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าแตะระดับ 67.44 ยังซบเซากังวลเศรษฐกิจ-ปัญหาการเมือง
 
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทยหรือ FETCO เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ผลสำรวจในเดือนกันยายน2563 พบว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 67.44 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่2 นักลงทุนคาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือนโยบายภาครัฐและการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงความคาดหวังการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19
 
ส่วนปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ  รองลงมาคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมถึงการระบาดระลอก2 ของโควิด-19 ในหลายประเทศ
 
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ การกลับมาระบาดอย่างรุนแรงอีกครั้งของโควิด-19 จนต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์หลายประเทศ ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ- จีนที่เพิ่มมากขึ้น การเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (อียู) การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ใกล้เข้ามา ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลจากการอนุมัติให้บุคคลเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวมถึงเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist VISA) ปัญหาการว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์การเมืองในประเทศที่ร้อนแรงขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจ ณ เดือน กันยายน2563 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับตัวลงเล็กน้อยอยู่ในระดับ “ทรงตัว” ที่ 80.30 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในระดับ “ทรงตัว” เท่าเดิมที่ 100.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวลดลงอยู่ในระดับ “ซบเซา” ที่ 68.42 ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ “ซบเซา” ที่ 42.86
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่