From Hikikomori to Tokyo Dome
The Pioneer of the Net Era; Mafumafu
[NHK Interview]
[หมายเหตุ: Mafumafu อ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่นเป็น มาฮุมาฮุ นะคะ เราจะเขียนชื่อมาฮุตามเสียงที่อ่านค่ะ--ผู้แปล]
พวกคุณรู้จักว่า ‘มาฮุมาฮุ’ เป็นใครหรือเปล่า?
มาฮุมาฮุเป็นศิลปินที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มแฟนๆวัยรุ่นจำนวนมหาศาลในยุคอินเตอร์เน็ตนี้ แม้จะเป็นผู้ชาย แต่เขาเปี่ยมไปด้วยทักษะและเชี่ยวชาญในการร้องเพลงด้วยเสียงสูงเพื่อสะกดผู้ฟัง บัตรเข้าชมงานไลฟ์คอนเสิร์ตที่เขาจัดในเดือน มิถุนายน 2019 ขายหมดอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนผู้ชมรวม 70,000 คนในระยะเวลา 2 วัน ทุกครั้งที่เขาออกอัลบัม มันจะต้องได้อันดับที่ดีในชาร์ตเพลง แต่อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่คนอีกเป็นจำนวนมากไม่รู้จักเขา เป็นเพราะว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ของเขาจำกัดอยู่แค่เพียงแวดวงอินเตอร์เน็ต เขามีผู้ติดตามในทวิตเตอร์จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน และคลิปวิดีโอของเขามีคนดูโดยรวมมากกว่าหนึ่งพันล้านวิว ทั้งหมดนี้ปัจจัยหลักที่ทำให้ความนิยมของเขาเป็นไปอย่างแพร่หลายคือกลุ่มคนรุ่นใหม่
มาฮุมาฮุมีผลงานทางดนตรีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2010 โดยเริ่มจากเป็น “อุไตเตะ” (Utaite) คือ กลุ่มศิลปินที่ร้องเพลง cover เพลงของพวกโวคาลอยด์ (vocaloid – โปรแกรมเสียงสังเคราะห์) เช่น ฮัตสึเนะ มิกุ และโพสต์เพลงนั้นลงในโลกออนไลน์ เนื่องจากเพลงที่โวคาลอยด์ร้องส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานให้คนจริงๆร้อง ดังนั้นความสามารถในการร้องเพลงของอุไตเตะแต่ละคนจึงแสดงออกได้อย่างเต็มที่ผ่านการร้องเพลงเหล่านี้ หลังจากที่มาฮุมาฮุโพสต์และอัพโหลดเพลงคัฟเวอร์ลงบนอินเตอร์เน็ตจนมีชื่อเสียงพอสมควร เขาได้เริ่มแต่งเพลงของตัวเองตั้งแต่ปี 2012 โดยใช้ท่วงทำนองที่หลากหลายซึ่งสื่อถึงความซับซ้อนและความทุกข์ทรมานในจิตใจของวัยรุ่น และในปี 2016 เขาก็ได้อัพโหลดเพลงที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเขา คือ 夢のまた夢 (Yume No Mata Yume/Dream within a Dream) ซึ่งเป็นเพลงที่มีการผสมผสานเอกลักษณ์ทางดนตรีของญี่ปุ่นโบราณกับเพลงร็อค ถือเป็นสไตล์ต้นแบบที่เขาเป็นผู้บุกเบิกในฐานะศิลปิน
อีกด้านหนึ่งของมาฮุมาฮุนั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาจัดเป็นพวก 'ฮิคิโคโมริ' ที่มักจะใช้เวลาครึ่งค่อนวันอยู่แต่ในบ้าน โดยแทบไม่เคยถอดหน้ากากต่อหน้าคนอื่นเลย (hikikomori คือ วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ชอบความสันโดษเป็นอย่างมาก พวกเขาจะถอนตัวจากสังคมและแยกตัวขั้นสูงสุดจากผู้อื่น)
เจ้าหนุ่มฮิคิโคโมริคนนี้สามารถก้าวเข้าไปจัดคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดม*เพียงลำพังได้อย่างไรกันนะ?
[มาฮุมาฮุมีแผนจะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่นี่ในเดือน มีนาคม 2020 แต่ปัจจุบันถูกยกเลิกเนื่องจากสถานการณ์ CoVid19---ผู้แปล/เศร้ามากค่ะ]
เรามาทำความรู้จักให้มากขึ้นอีกนิดกับเสน่ห์ที่มาฮุมาฮุ ศิลปินแห่งคนรุ่นใหม่ ใช้มัดใจเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวกันดีกว่า...
[จากนี้ไปจะเป็นบทสัมภาษณ์ครึ่งแรกของมาฮุมาฮุกับ NHK นะคะ ถ้าดูจากวิดีโอต้นฉบับจะมีการตัดสลับไปมา แต่เราเลือกหัวข้อที่คิดว่าเชื่อมโยงกับเรื่องราวได้มากที่สุดมาแปลก่อนค่ะ---ผู้แปล]
#SNS (Social Network Service)
ในโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ของเขา มาฮุมาฮุทำการสื่อสารโต้ตอบกันแฟนๆอย่างสม่ำเสมอ โดยบางครั้งก็ตอบคำถามที่ส่งมา บางครั้งก็เล่นดนตรีสดให้ฟัง [แน่นอนว่าไม่เปิดเผยใบหน้าค่ะ---ผู้แปล] มาฮุมาฮุจะโพสต์ทวีตข้อความใหม่ๆเกือบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวันเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงประกาศสำคัญต่างๆจะถูกบอกกับแฟนๆของเขาในทวิตเตอร์และยูทูบเป็นกลุ่มแรก ความใกล้ชิดกับแฟนๆแบบนี้เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเขา แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ค่อยเก่งในการแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชน จนกระทั่งถึงตอนนี้ มาฮุมาฮุยังพยายามหลีกเลี่ยงที่จะออกสื่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือสื่ออื่นๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่กล้องโทรทัศน์ของ NHK ได้เข้ามาถ่ายทำในห้องส่วนตัวของเขา
“แม้ตอนนี้ผมจะไม่ต้องขึ้นรถไฟแล้ว แต่ว่ามันก็ยังยากที่จะรับมือกับการอยู่ร่วมกับคนอื่นน่ะครับ...” ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ขาวผู้ปิดบังใบหน้าครึ่งล่างด้วยหน้ากากสีดำบอกด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อย “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมีเวลาว่าง ผมจะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานบุผนังเก็บเสียงในบ้าน ล็อคประตู แล้วก็ทำตัวแบบฮิคิโคโมริเลยล่ะ” เขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
NHK: ทำไมคุณถึงคิดจะร้องเพลงของโวคาลอยด์ล่ะ?
“เพลงที่ผมได้ยินจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นด้วยสมมติฐานที่ว่าให้มนุษย์สามารถร้องได้ ทำให้ฟังง่ายและร้องตามได้ง่าย แต่ว่าเพลงของโวคาลอยด์นั้นกลับเต็มไปด้วยเนื้อเพลงที่รวดเร็วและเสียงที่สูงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มันแหกกฏข้อผูกมัดต่างๆ” มาฮุมาฮุตอบช้าๆด้วยท่าทางครุ่นคิด “ผมคิดว่านั่นทำให้มันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่เหลือเชื่อหลายอย่างเลยครับ”
#คนเก่งรอบด้าน (all-rounder)
ทีมงานเปิดประตูเก็บเสียงเข้าไปในห้องเล็กๆขนาด 4 เสื่อครึ่ง [ประมาณ 7 ตารางเมตร---ผู้แปล] นี่คือห้องทำงานของมาฮุมาฮุ กิจกรรมทั้งหมดของเขาถูกทำให้เกิดขึ้นที่นี่ภายในบ้านของเขาเอง มาฮุมาฮุในชุดลำลองสีดำสวมหน้ากากสีดำเช่นเคยหันมาทักทายและโค้งให้ทีมงานอย่างยิ้มแย้ม
“ยินดีต้อนรับครับ”
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเกมเมอร์ตัวใหญ่ บนโต๊ะทำงานมีจอคอมพิวเตอร์ 2 จอ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์และเปียโนไฟฟ้าขนาดเล็กวางลดหลั่นกันลงมา ลำโพงขนาดกลางวางอยู่ข้างๆจอคอมพิวเตอร์ทั้งซ้ายและขวา มีไมโครโฟนแบบกลมพร้อมขาตั้งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะ อุปกรณ์ทั้งหมดนี้กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของห้อง ส่วนผนังอีกด้านมีเครื่องดนตรีโปรดของมาฮุมาฮุคือกีตาร์ไฟฟ้าและกีตาร์โปร่งวางติดผนังอยู่ 3-4 ตัว
นักดนตรีส่วนใหญ่เวลาสร้างสรรค์งานเพลง พวกเขามักทำเพียงแค่จัดวางองค์ประกอบ แต่งเนื้อร้องทำนองเพลง ปรับแต่งหรือร้องเพลง แต่มาฮุมาฮุยังทำในสิ่งที่ปกติมีเพียงซาวด์เอนจิเนียร์ (sound engineer/โสตทัศน์วิศวกร) มืออาชีพเท่านั้นที่จะทำ และเขายังมิกซ์เสียงร้องของตัวเองอีกด้วย
“ผมกดปุ่มสตาร์ทและเริ่มร้องเพลง จากนั้นก็กลับมาคลิกปุ่มที่คีย์บอร์ด นั่นแหละครับวิธีที่ผมทำงาน”
มาฮุมาฮุเดินวนเวียนไปมาระหว่างไมโครโฟนและคีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็วขณะแสดงวิธีให้ทีมงานดู เขาอัดเสียงชื่อเพลงและเริ่มแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาปรับแต่งระยะห่างระหว่างเพลงอย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว จึงจะถือว่าการอัดเสียงนั้นเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังพิถีพิถันกับวิดีโอของเขาเป็นอย่างมาก
“เมื่อเวลามันออกมาเป๊ะ มันจะเหมือนกับ yada yada yada... อะไรแบบนั้น”
เขาตบมือเป็นจังหวะตามเสียงพูด ในดวงตามีรอยยิ้มราวกับเด็กไร้เดียงสา
“แล้วผมก็จะคิดถึงคำที่จะปรากฏออกมาและส่งมันไปกับข้อความ ส่วนโครงเรื่องสำหรับวิดีโอ ผมจะวาดมันคร่าวๆในกรอบสี่เหลี่ยมและส่งไปให้คนที่ทำวิดีโอครับ”
รายละเอียดของวิดีโอจะถูกชี้แจงในอีเมล์ ภาพจินตนาการของวิดีโอในใจของเขาจะถูกสื่อไปหาผู้ฟัง ในวิดีโอแนะนำอัลบัมใหม่ของเขา แม้กระทั่งระยะเวลาที่คำแต่ละคำจะปรากฏออกมาก็ถูกสร้างจากความคิดของมาฮุมาฮุเองทั้งสิ้น
“ผมมักจะอยู่ในห้องนี้ตลอด ถ้าผมไม่ได้ออกไปข้างนอก ผมสามารถใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมงอยู่ในห้องนี้ได้จริงๆนะครับ อยู่บ้านดีที่สุดเสมอ...”
เขาจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ การที่เขาสร้างและโปรดิวซ์ทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรีของเขาด้วยตัวเอง ทำให้เราอยากรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น
“แม้คนทำงานทางดนตรีหลายๆคนมักจะใช้บริษัทตัวแทน แต่ว่าผมยังค่อนข้างกลัวที่จะฝากอนาคตของผมไว้ในมือคนอื่นครับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเริ่มกิจกรรมที่ผมต้องจัดการเองทั้งหมด แต่ผมก็อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำจนถึงท้ายที่สุด”
#เนื้อเพลง
เสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครอีกอย่างหนึ่งของมาฮุมาฮุก็คือเนื้อเพลง
“...เหมือนภาพต่อปริศนาที่ขาดหายไป ผมไม่สามารถเรียกความทรงจำออกมาได้ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะได้รู้จักเธอ ผมก็ได้ฆ่าเธอไปเสียแล้วรู้ไหม? ให้ทุกอย่างมันสูญสลายหายไปให้หมดในตอนนี้ ได้โปรดทิ่มแทงผมด้วยนิ้วมือนั้น ถ้ามันหมายความว่าผมจะต้องถูกย้อมด้วยสีของโลกใบนี้....”
(จากเพลง Berserk)
เนื้อเพลงที่ราวกับร้องออกมาจากเสียงกรีดก้องในหัวใจ
“....ผมเกลียดเธอ ผมเกลียดเธอที่สุด ผมเกลียดตัวเอง ผมเกลียดทุกคน ผมไม่อยากตายแต่ผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเกมลงทัณฑ์....”
(จากเพลง Batsu game/Punishment game)
เนื้อเพลงที่สะท้อนความคิดของคนถูกรังแก
“...ห้ามเข้ามานะ! กับผมคนนี้ที่ไม่เอาไหนและไร้ค่า ขอแค่อย่างเดียว ได้โปรดบอกผมแค่อย่างเดียว ว่ามันไม่เป็นไรใช่ไหมที่ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป...”
(จากเพลง Tachiirikinshi/No trespassing)
ส่วนใหญ่เนื้อเพลงของเขามักจะเป็นวลีที่หนักหน่วง บรรยายถึงเหตุการณ์ที่มืดหม่น ซึ่งมาจากประสบการณ์ความเจ็บปวดที่เขาได้รับในวัยเด็ก ส่งผลให้มาฮุมาฮุยังคงทยอยเขียนเพลงที่มีเนื้อหาดาร์ก (dark lyrics) ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ในอดีตของผม มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมถูกรังแกอย่างหนักมากจริงๆครับ” เขาพูดด้วยดวงตาเหม่อลอยเมื่อนึกถึงความหลัง “มัน...การกลั่นแกล้งนั้นมันอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่ผมจะทนรับได้จริงๆ...” ชายหนุ่มถอนหายใจ หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเริ่มพูดต่อ “ในเวลานั้น เพลงทุกเพลงบนโลกนี้เต็มไปด้วยความสดใสและมองโลกในแง่ดี ทำไมเพลงแต่ละเพลงที่เล่นมันถึงช่างร่าเริงได้ขนาดนั้นล่ะ?” ความหม่นเศร้าและเปราะบางสะท้อนออกมาจากแววตาของเขา “และในตอนนั้นเอง ผมก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของศิลปินที่ร้องเพลงแนวมืดมน...ความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครสามารถช่วยอะไรผมได้เลย แต่พวกเขากลับร้องเพลงที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของผมออกมาได้” มาฮุมาฮุพูดช้าๆ นัยน์ตาทั้งคู่ยังคงเหม่อมองไปไกล “นั่นทำให้ผมตื้นตันใจมาก ผมรู้สึกราวกับว่าผมได้ถูกเยียวยา...และน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับที่ผมเริ่มชอบดนตรี” เขาหันมาสบตาเราอีกครั้ง พร้อมจบประโยคด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้น
ความวิตกกังวลที่มาฮุมาฮุรู้สึก และเป็นเพราะว่าตัวเขาเองก็เคยเจ็บปวดมาก่อนในอดีต ถ้อยคำที่เขาเขียนจึงสามารถที่จะช่วยเหลือคนรุ่นใหม่ได้
“ผมรู้สึกว่าในโลกนี้ ความสิ้นหวัง ความเกลียดชังที่คุณมีต่อคนอื่น ความรู้สึกไม่อยากตาย...เมื่อถามว่าทำไมอารมณ์ต่างๆเหล่านี้จึงมีอยู่...” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อช้าๆ “ผมเชื่อว่ามันเป็นเพราะคุณชอบโลกใบนี้ครับ เพราะมันสำคัญมากจริงๆ ถึงมันจะเป็นโลกแบบนี้ก็เถอะ ผมเชื่อว่าถ้อยคำที่ผมค้นพบว่ามีค่ามากๆต่อตัวผมก็อาจจะมีค่าต่อผู้ฟังเช่นเดียวกัน ดังนั้นผมก็จะตั้งใจเขียนเพลงต่อไปครับ”

ตัวคลิปจริงๆยาวกว่านี้ค่ะ เราตัดมาลงแค่ครึ่งเดียว จุดประสงค์คือ!

เราอยากช่วยโปรโมท After the rain - online live 2020 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พย.63 นี้ค่ะ (After the Rain เป็นชื่อ duo unit ของมาฮุมาฮุกับโซรารุ ทั้งคู่เป็น utaite ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าค่ะ) รอบนี้มี overseas tickets คือ ชาวต่างชาติอย่างเราๆก็เข้าไปร่วมชมด้วยได้
link ที่สั่งซื้อจะเป็นตามนี้นะคะ
https://zaiko.io/event/330622 ใครที่ชื่นชอบ Sora-mafu ก็เข้าไปซื้อตั๋วดูไลฟ์ช่วยสนับสนุนพวกเค้ากันนะคะ
*tag หัวข้ออนิเมะด้วย เพราะเค้าร้องเพลง OP, ED อนิเมะด้วยค่ะ
Mafumafu [NHK interview] From Hikikomori to Tokyo Dome; บทความจากคลิปสัมภาษณ์ของ Mafumafu จากสถานีโทรทัศน์ NHK
The Pioneer of the Net Era; Mafumafu
[NHK Interview]
[หมายเหตุ: Mafumafu อ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่นเป็น มาฮุมาฮุ นะคะ เราจะเขียนชื่อมาฮุตามเสียงที่อ่านค่ะ--ผู้แปล]
พวกคุณรู้จักว่า ‘มาฮุมาฮุ’ เป็นใครหรือเปล่า?
มาฮุมาฮุเป็นศิลปินที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มแฟนๆวัยรุ่นจำนวนมหาศาลในยุคอินเตอร์เน็ตนี้ แม้จะเป็นผู้ชาย แต่เขาเปี่ยมไปด้วยทักษะและเชี่ยวชาญในการร้องเพลงด้วยเสียงสูงเพื่อสะกดผู้ฟัง บัตรเข้าชมงานไลฟ์คอนเสิร์ตที่เขาจัดในเดือน มิถุนายน 2019 ขายหมดอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนผู้ชมรวม 70,000 คนในระยะเวลา 2 วัน ทุกครั้งที่เขาออกอัลบัม มันจะต้องได้อันดับที่ดีในชาร์ตเพลง แต่อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่คนอีกเป็นจำนวนมากไม่รู้จักเขา เป็นเพราะว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ของเขาจำกัดอยู่แค่เพียงแวดวงอินเตอร์เน็ต เขามีผู้ติดตามในทวิตเตอร์จำนวนกว่า 1.7 ล้านคน และคลิปวิดีโอของเขามีคนดูโดยรวมมากกว่าหนึ่งพันล้านวิว ทั้งหมดนี้ปัจจัยหลักที่ทำให้ความนิยมของเขาเป็นไปอย่างแพร่หลายคือกลุ่มคนรุ่นใหม่
มาฮุมาฮุมีผลงานทางดนตรีอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2010 โดยเริ่มจากเป็น “อุไตเตะ” (Utaite) คือ กลุ่มศิลปินที่ร้องเพลง cover เพลงของพวกโวคาลอยด์ (vocaloid – โปรแกรมเสียงสังเคราะห์) เช่น ฮัตสึเนะ มิกุ และโพสต์เพลงนั้นลงในโลกออนไลน์ เนื่องจากเพลงที่โวคาลอยด์ร้องส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานให้คนจริงๆร้อง ดังนั้นความสามารถในการร้องเพลงของอุไตเตะแต่ละคนจึงแสดงออกได้อย่างเต็มที่ผ่านการร้องเพลงเหล่านี้ หลังจากที่มาฮุมาฮุโพสต์และอัพโหลดเพลงคัฟเวอร์ลงบนอินเตอร์เน็ตจนมีชื่อเสียงพอสมควร เขาได้เริ่มแต่งเพลงของตัวเองตั้งแต่ปี 2012 โดยใช้ท่วงทำนองที่หลากหลายซึ่งสื่อถึงความซับซ้อนและความทุกข์ทรมานในจิตใจของวัยรุ่น และในปี 2016 เขาก็ได้อัพโหลดเพลงที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเขา คือ 夢のまた夢 (Yume No Mata Yume/Dream within a Dream) ซึ่งเป็นเพลงที่มีการผสมผสานเอกลักษณ์ทางดนตรีของญี่ปุ่นโบราณกับเพลงร็อค ถือเป็นสไตล์ต้นแบบที่เขาเป็นผู้บุกเบิกในฐานะศิลปิน
อีกด้านหนึ่งของมาฮุมาฮุนั้น เป็นที่รู้กันว่าเขาจัดเป็นพวก 'ฮิคิโคโมริ' ที่มักจะใช้เวลาครึ่งค่อนวันอยู่แต่ในบ้าน โดยแทบไม่เคยถอดหน้ากากต่อหน้าคนอื่นเลย (hikikomori คือ วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ชอบความสันโดษเป็นอย่างมาก พวกเขาจะถอนตัวจากสังคมและแยกตัวขั้นสูงสุดจากผู้อื่น)
เจ้าหนุ่มฮิคิโคโมริคนนี้สามารถก้าวเข้าไปจัดคอนเสิร์ตที่โตเกียวโดม*เพียงลำพังได้อย่างไรกันนะ?
[มาฮุมาฮุมีแผนจะจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่นี่ในเดือน มีนาคม 2020 แต่ปัจจุบันถูกยกเลิกเนื่องจากสถานการณ์ CoVid19---ผู้แปล/เศร้ามากค่ะ]
เรามาทำความรู้จักให้มากขึ้นอีกนิดกับเสน่ห์ที่มาฮุมาฮุ ศิลปินแห่งคนรุ่นใหม่ ใช้มัดใจเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวกันดีกว่า...
[จากนี้ไปจะเป็นบทสัมภาษณ์ครึ่งแรกของมาฮุมาฮุกับ NHK นะคะ ถ้าดูจากวิดีโอต้นฉบับจะมีการตัดสลับไปมา แต่เราเลือกหัวข้อที่คิดว่าเชื่อมโยงกับเรื่องราวได้มากที่สุดมาแปลก่อนค่ะ---ผู้แปล]
#SNS (Social Network Service)
ในโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ของเขา มาฮุมาฮุทำการสื่อสารโต้ตอบกันแฟนๆอย่างสม่ำเสมอ โดยบางครั้งก็ตอบคำถามที่ส่งมา บางครั้งก็เล่นดนตรีสดให้ฟัง [แน่นอนว่าไม่เปิดเผยใบหน้าค่ะ---ผู้แปล] มาฮุมาฮุจะโพสต์ทวีตข้อความใหม่ๆเกือบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตประจำวันเล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงประกาศสำคัญต่างๆจะถูกบอกกับแฟนๆของเขาในทวิตเตอร์และยูทูบเป็นกลุ่มแรก ความใกล้ชิดกับแฟนๆแบบนี้เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของเขา แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ค่อยเก่งในการแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชน จนกระทั่งถึงตอนนี้ มาฮุมาฮุยังพยายามหลีกเลี่ยงที่จะออกสื่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือสื่ออื่นๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่กล้องโทรทัศน์ของ NHK ได้เข้ามาถ่ายทำในห้องส่วนตัวของเขา
“แม้ตอนนี้ผมจะไม่ต้องขึ้นรถไฟแล้ว แต่ว่ามันก็ยังยากที่จะรับมือกับการอยู่ร่วมกับคนอื่นน่ะครับ...” ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ขาวผู้ปิดบังใบหน้าครึ่งล่างด้วยหน้ากากสีดำบอกด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อย “เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมีเวลาว่าง ผมจะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานบุผนังเก็บเสียงในบ้าน ล็อคประตู แล้วก็ทำตัวแบบฮิคิโคโมริเลยล่ะ” เขาพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
NHK: ทำไมคุณถึงคิดจะร้องเพลงของโวคาลอยด์ล่ะ?
“เพลงที่ผมได้ยินจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นด้วยสมมติฐานที่ว่าให้มนุษย์สามารถร้องได้ ทำให้ฟังง่ายและร้องตามได้ง่าย แต่ว่าเพลงของโวคาลอยด์นั้นกลับเต็มไปด้วยเนื้อเพลงที่รวดเร็วและเสียงที่สูงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มันแหกกฏข้อผูกมัดต่างๆ” มาฮุมาฮุตอบช้าๆด้วยท่าทางครุ่นคิด “ผมคิดว่านั่นทำให้มันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่เหลือเชื่อหลายอย่างเลยครับ”
#คนเก่งรอบด้าน (all-rounder)
ทีมงานเปิดประตูเก็บเสียงเข้าไปในห้องเล็กๆขนาด 4 เสื่อครึ่ง [ประมาณ 7 ตารางเมตร---ผู้แปล] นี่คือห้องทำงานของมาฮุมาฮุ กิจกรรมทั้งหมดของเขาถูกทำให้เกิดขึ้นที่นี่ภายในบ้านของเขาเอง มาฮุมาฮุในชุดลำลองสีดำสวมหน้ากากสีดำเช่นเคยหันมาทักทายและโค้งให้ทีมงานอย่างยิ้มแย้ม
“ยินดีต้อนรับครับ”
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเกมเมอร์ตัวใหญ่ บนโต๊ะทำงานมีจอคอมพิวเตอร์ 2 จอ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์และเปียโนไฟฟ้าขนาดเล็กวางลดหลั่นกันลงมา ลำโพงขนาดกลางวางอยู่ข้างๆจอคอมพิวเตอร์ทั้งซ้ายและขวา มีไมโครโฟนแบบกลมพร้อมขาตั้งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะ อุปกรณ์ทั้งหมดนี้กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของห้อง ส่วนผนังอีกด้านมีเครื่องดนตรีโปรดของมาฮุมาฮุคือกีตาร์ไฟฟ้าและกีตาร์โปร่งวางติดผนังอยู่ 3-4 ตัว
นักดนตรีส่วนใหญ่เวลาสร้างสรรค์งานเพลง พวกเขามักทำเพียงแค่จัดวางองค์ประกอบ แต่งเนื้อร้องทำนองเพลง ปรับแต่งหรือร้องเพลง แต่มาฮุมาฮุยังทำในสิ่งที่ปกติมีเพียงซาวด์เอนจิเนียร์ (sound engineer/โสตทัศน์วิศวกร) มืออาชีพเท่านั้นที่จะทำ และเขายังมิกซ์เสียงร้องของตัวเองอีกด้วย
“ผมกดปุ่มสตาร์ทและเริ่มร้องเพลง จากนั้นก็กลับมาคลิกปุ่มที่คีย์บอร์ด นั่นแหละครับวิธีที่ผมทำงาน”
มาฮุมาฮุเดินวนเวียนไปมาระหว่างไมโครโฟนและคีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็วขณะแสดงวิธีให้ทีมงานดู เขาอัดเสียงชื่อเพลงและเริ่มแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาปรับแต่งระยะห่างระหว่างเพลงอย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว จึงจะถือว่าการอัดเสียงนั้นเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังพิถีพิถันกับวิดีโอของเขาเป็นอย่างมาก
“เมื่อเวลามันออกมาเป๊ะ มันจะเหมือนกับ yada yada yada... อะไรแบบนั้น”
เขาตบมือเป็นจังหวะตามเสียงพูด ในดวงตามีรอยยิ้มราวกับเด็กไร้เดียงสา
“แล้วผมก็จะคิดถึงคำที่จะปรากฏออกมาและส่งมันไปกับข้อความ ส่วนโครงเรื่องสำหรับวิดีโอ ผมจะวาดมันคร่าวๆในกรอบสี่เหลี่ยมและส่งไปให้คนที่ทำวิดีโอครับ”
รายละเอียดของวิดีโอจะถูกชี้แจงในอีเมล์ ภาพจินตนาการของวิดีโอในใจของเขาจะถูกสื่อไปหาผู้ฟัง ในวิดีโอแนะนำอัลบัมใหม่ของเขา แม้กระทั่งระยะเวลาที่คำแต่ละคำจะปรากฏออกมาก็ถูกสร้างจากความคิดของมาฮุมาฮุเองทั้งสิ้น
“ผมมักจะอยู่ในห้องนี้ตลอด ถ้าผมไม่ได้ออกไปข้างนอก ผมสามารถใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมงอยู่ในห้องนี้ได้จริงๆนะครับ อยู่บ้านดีที่สุดเสมอ...”
เขาจบประโยคด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ การที่เขาสร้างและโปรดิวซ์ทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรีของเขาด้วยตัวเอง ทำให้เราอยากรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น
“แม้คนทำงานทางดนตรีหลายๆคนมักจะใช้บริษัทตัวแทน แต่ว่าผมยังค่อนข้างกลัวที่จะฝากอนาคตของผมไว้ในมือคนอื่นครับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเริ่มกิจกรรมที่ผมต้องจัดการเองทั้งหมด แต่ผมก็อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมทำจนถึงท้ายที่สุด”
#เนื้อเพลง
เสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครอีกอย่างหนึ่งของมาฮุมาฮุก็คือเนื้อเพลง
“...เหมือนภาพต่อปริศนาที่ขาดหายไป ผมไม่สามารถเรียกความทรงจำออกมาได้ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ก่อนที่ผมจะได้รู้จักเธอ ผมก็ได้ฆ่าเธอไปเสียแล้วรู้ไหม? ให้ทุกอย่างมันสูญสลายหายไปให้หมดในตอนนี้ ได้โปรดทิ่มแทงผมด้วยนิ้วมือนั้น ถ้ามันหมายความว่าผมจะต้องถูกย้อมด้วยสีของโลกใบนี้....”
(จากเพลง Berserk)
เนื้อเพลงที่ราวกับร้องออกมาจากเสียงกรีดก้องในหัวใจ
“....ผมเกลียดเธอ ผมเกลียดเธอที่สุด ผมเกลียดตัวเอง ผมเกลียดทุกคน ผมไม่อยากตายแต่ผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่เหมือนกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเกมลงทัณฑ์....”
(จากเพลง Batsu game/Punishment game)
เนื้อเพลงที่สะท้อนความคิดของคนถูกรังแก
“...ห้ามเข้ามานะ! กับผมคนนี้ที่ไม่เอาไหนและไร้ค่า ขอแค่อย่างเดียว ได้โปรดบอกผมแค่อย่างเดียว ว่ามันไม่เป็นไรใช่ไหมที่ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป...”
(จากเพลง Tachiirikinshi/No trespassing)
ส่วนใหญ่เนื้อเพลงของเขามักจะเป็นวลีที่หนักหน่วง บรรยายถึงเหตุการณ์ที่มืดหม่น ซึ่งมาจากประสบการณ์ความเจ็บปวดที่เขาได้รับในวัยเด็ก ส่งผลให้มาฮุมาฮุยังคงทยอยเขียนเพลงที่มีเนื้อหาดาร์ก (dark lyrics) ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ในอดีตของผม มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมถูกรังแกอย่างหนักมากจริงๆครับ” เขาพูดด้วยดวงตาเหม่อลอยเมื่อนึกถึงความหลัง “มัน...การกลั่นแกล้งนั้นมันอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่ผมจะทนรับได้จริงๆ...” ชายหนุ่มถอนหายใจ หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเริ่มพูดต่อ “ในเวลานั้น เพลงทุกเพลงบนโลกนี้เต็มไปด้วยความสดใสและมองโลกในแง่ดี ทำไมเพลงแต่ละเพลงที่เล่นมันถึงช่างร่าเริงได้ขนาดนั้นล่ะ?” ความหม่นเศร้าและเปราะบางสะท้อนออกมาจากแววตาของเขา “และในตอนนั้นเอง ผมก็ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของศิลปินที่ร้องเพลงแนวมืดมน...ความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครสามารถช่วยอะไรผมได้เลย แต่พวกเขากลับร้องเพลงที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของผมออกมาได้” มาฮุมาฮุพูดช้าๆ นัยน์ตาทั้งคู่ยังคงเหม่อมองไปไกล “นั่นทำให้ผมตื้นตันใจมาก ผมรู้สึกราวกับว่าผมได้ถูกเยียวยา...และน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับที่ผมเริ่มชอบดนตรี” เขาหันมาสบตาเราอีกครั้ง พร้อมจบประโยคด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้น
ความวิตกกังวลที่มาฮุมาฮุรู้สึก และเป็นเพราะว่าตัวเขาเองก็เคยเจ็บปวดมาก่อนในอดีต ถ้อยคำที่เขาเขียนจึงสามารถที่จะช่วยเหลือคนรุ่นใหม่ได้
“ผมรู้สึกว่าในโลกนี้ ความสิ้นหวัง ความเกลียดชังที่คุณมีต่อคนอื่น ความรู้สึกไม่อยากตาย...เมื่อถามว่าทำไมอารมณ์ต่างๆเหล่านี้จึงมีอยู่...” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อช้าๆ “ผมเชื่อว่ามันเป็นเพราะคุณชอบโลกใบนี้ครับ เพราะมันสำคัญมากจริงๆ ถึงมันจะเป็นโลกแบบนี้ก็เถอะ ผมเชื่อว่าถ้อยคำที่ผมค้นพบว่ามีค่ามากๆต่อตัวผมก็อาจจะมีค่าต่อผู้ฟังเช่นเดียวกัน ดังนั้นผมก็จะตั้งใจเขียนเพลงต่อไปครับ”
ตัวคลิปจริงๆยาวกว่านี้ค่ะ เราตัดมาลงแค่ครึ่งเดียว จุดประสงค์คือ!
เราอยากช่วยโปรโมท After the rain - online live 2020 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 พย.63 นี้ค่ะ (After the Rain เป็นชื่อ duo unit ของมาฮุมาฮุกับโซรารุ ทั้งคู่เป็น utaite ที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าค่ะ) รอบนี้มี overseas tickets คือ ชาวต่างชาติอย่างเราๆก็เข้าไปร่วมชมด้วยได้
link ที่สั่งซื้อจะเป็นตามนี้นะคะ https://zaiko.io/event/330622 ใครที่ชื่นชอบ Sora-mafu ก็เข้าไปซื้อตั๋วดูไลฟ์ช่วยสนับสนุนพวกเค้ากันนะคะ
*tag หัวข้ออนิเมะด้วย เพราะเค้าร้องเพลง OP, ED อนิเมะด้วยค่ะ