“รองเท้าดัดขา” แก้ปัญหา เรื่องขาของเด็กๆ

“รองเท้าดัดขา” แก้ปัญหา เรื่องขาของเด็กๆ 
 
     อีกหนึ่งพัฒนาการที่สำคัญของเด็กๆ ก็คือ การหัดเดิน ซึ่งเมื่อเด็กเริ่มหัดเดินเป็นครั้งแรก ก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต้องแยกเท้าออกจากกันและเหยียดแขนออกเพื่อช่วยในการทรงตัว แต่เมื่อโตขึ้น ข้อสะโพกด้านหลังก็จะยืดออก ทำให้ท่าเดินที่อาจจะดูผิดปกติในตอนเริ่มต้นสามารถกลับสู่ท่าปกติได้  
     แต่สำหรับเด็กบางคน แม้จะโตแล้วก็ยังมีปัญหาเรื่องการเดินอยู่ คำถามที่พี่หมอมักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาที่ผู้ปกครองพาเด็กๆ มาพบคุณหมอด้านพัฒนาการก็คือ ทำไมท่าเดินของลูกถึงไม่เหมือนเด็กคนอื่น ทำไมลูกยังเดินด้วยปลายเท้า แล้วถ้าเท้าแบนจะต้องรักษาอย่างไร
     คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไปนะครับ เพราะอาการทั้งหมดที่ว่ามานั้น สามารถรักษาให้หายได้ หรือบางอาการก็จะหายไปเอง เมื่อโตขึ้น ส่วนแต่ละอาการจะมีจุดสังเกตอย่างไรและตรงไหน วันนี้พี่หมอไปรวบรวมข้อมูลมาให้แล้วครับ           
ความผิดปกติต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับเท้าของเด็ก
 
เท้าแบน
     น้องๆ ที่มีปัญหาเท้าแบน ยังสามารถเล่นกีฬาและใช้ชีวิตแบบเด็กปกติทั่วไปได้ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องหาแผ่นรองๆ เท้าที่มีส่วนรองรับส่วนโค้งของฝ่าเท้ามาให้ลูกใส่ เพื่อลดอาการปวดของฝ่าเท้า ที่สำคัญ ไม่ควรให้น้องๆ ใส่รองเท้าทรงสูง เพราะรองเท้าประเภทนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการพัฒนาส่วนโค้งของรูปเท้านะครับ 
 
ขาโก่ง (Bowlegs)
     คืออาการที่หัวเข่ากางออกมาด้านนอกมากเกินไป มักพบบ่อยในทารก และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่บางรายก็หายเองได้เมื่อโตขึ้น แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าลูกของเรามีอาการขาโก่งหรือไม่ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถพาน้องๆ มาตรวจกับคุณหมอได้นะครับ เพราะอาการขาโก่งของเด็กที่อายุเกิน 2 ขวบ หรือเป็นแค่ข้างเดียว ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ใหญ่กว่าได้ เช่น 
     โรคกระดูกอ่อน หรือภาวะการสะสมของแคลเซียมในกระดูกบกพร่อง ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานวิตามินดีและแคลเซียมให้มากขึ้น แต่ถ้าสาเหตุของโรคมาจากพันธุกรรม ก็อาจจะต้องให้แพทย์เฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อเป็นผู้รักษา
     โรคเบลาท์ เป็นภาวะที่มีผลต่อกระดูกหน้าแข้ง ซึ่งจะส่งผลให้ด้านบนของกระดูกหน้าแข้งเจริญเติบโตผิดปกติ มักพบในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไป ซึ่งถึงแม้ว่าที่มาที่ไปของโรคจะไม่แน่ชัด แต่โชคดีที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด เมื่อเด็กมีอายุ 3 – 4 ขวบ 
 
ขาฉิ่ง (Knock-Knee) 
     ขาฉิ่ง คือ อาการที่เข่าด้านในชิดกันเวลายืน แต่เท้าอยู่ห่างกัน เรียกอีกอย่างว่า ขาเป็ด ซึ่งมักจะพบในเด็กที่มีอายุระหว่าง 3 – 6 ขวบ เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วขาก็สามารถกลับมายืดตรงได้เอง ยกเว้นบางคนที่อาจมีอาการผิดปกติมาก เช่น ข้อเข่าชิดกัน ขาท่อนปลายเฉียงออกด้านนอกจากแกนตามความยาวของกระดูกต้นขา ซึ่งตรงนี้ก็ต้องให้คุณหมอเป็นคนประเมินและทำการรักษา
 
เดินเขย่งเท้า (Toe Walking)
     การเดินด้วยปลายเท้าเป็นเรื่องปกติของเด็กหัดเดิน ซึ่งเมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ อาการเหล่านี้ก็จะหายไป แต่ถ้าน้องๆ เดินด้วยปลายเท้าตลอดเวลา หรือยังทำแบบนั้นต่อไปจนหลัง 3 ขวบ ผู้ปกครองก็ควรรีบพาไปพบคุณหมอให้เร็วที่สุดนะครับ คุณหมอจะได้ช่วยออกแบบรองเท้าดัดขาที่เหมาะกับรูปเท้าของน้องๆ ให้ นอกจากนี้ การที่เด็กเดินด้วยปลายเท้าอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นสัญญาณบอกโรคอื่นๆ ได้อีก เช่น สมองพิการ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น 
 
เดินปลายเท้าบิดเข้าด้านใน (In-toeing) 
     สาเหตุมาจากรูปกระดูกขาที่เปลี่ยนไป หรือจากการที่ร่างกายปรับรูปเท้าเพื่อช่วยในการทรงตัว มักพบในเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 – 5 ขวบ ซึ่งเมื่อโตขึ้นร่างกายก็จะปรับเข้าสู่ภาวะปกติได้เอง แต่ถ้าเด็กมีอาการปวดบวมที่เท้า หรือเท้าด้านจากการถ่ายเทน้ำหนักที่ผิดปกติ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรรีบพามาพบศัลยแพทย์ด้านกระดูก เพื่อทำการรักษานะครับ 
 
เท้า เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำให้ลูกก้าวเดินได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย โดยเฉพาะเท้าของเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบจะขยายเร็วมาก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ควรเลือกรองเท้าให้เหมาะกับขนาดเท้าและสรีระของลูก เพราะกระดูกนิ้วเท้าของทารกจะอ่อนนุ่มตั้งแต่แรกเกิด ถ้าใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าที่เล็กไป ก็อาจจะทำให้เท้าไม่สามารถยืดขยายได้อย่างเหมาะสม 
เทคนิคในการเลือกรองเท้าให้เหมาะกับเด็ก
     · ขนาดต้องพอดีกับเท้า ตอนลองพี่หมอแนะนำให้ลองใส่แล้วยืนเขย่งเท้าดู ถ้าส้นหลุดก็แปลว่ารองเท้าที่เลือกมีขนาดใหญ่เกินไป และไม่ควรซื้อรองเท้าเผื่อโตนะครับ เพราะอาจจะทำให้ลูกๆ ต้องคอยเกร็งหรือจิกนิ้วเท้าเวลาเดินได้
     · ควรเลือกแบบที่มีส่วนหัวกว้างหรือป้าน และไม่บีบรัดช่วงปลายนิ้วเท้า หรือแบบที่มีสายรัดกระชับข้อเท้าและมีที่หุ้มข้อเท้าที่แข็งแรง เพราะจะช่วยประคองให้เด็กทรงตัวได้ดีขึ้น รวมถึงแบบที่มีเชือกผูกหรือมีตีนตุ๊กแก เพราะจะสามารถยึดส้นเท้าให้อยู่กับที่ และป้องกันไม่ให้เท้าไถลไปข้างหน้า ซึ่งอาจจะทำให้นิ้วเท้าได้รับบาดเจ็บได้ 
     · พื้นรองเท้า ไม่ควรหนาเกินไป และควรทำมาจากวัสดุที่นุ่ม น้ำหนักเบา ยืดหยุ่นได้ดี ไม่ลื่น เพราะจะทำให้เด็กสามารถควบคุมเท้าและทรงตัวขณะเดินได้ ด้านในรองเท้าไม่ควรมีรอยตะเข็บหรือขอบแข็งๆ เพราะอาจจะเสียดสีกับเท้าตอนเดิน ทำให้ลูกไม่อยากใส่รองเท้า 
     · เลือกรองเท้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความชื้นจากเหงื่อและการเกิดเชื้อราที่เท้า 
     · ไม่ควรซื้อรองเท้ามือสอง เพราะอาจจะมีเชื้อโรคติดมาได้ และประสิทธิภาพในการใช้งานก็อาจไม่ดีเท่ารองเท้าใหม่
 
     คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตท่าทางการเดินของลูกอย่างใกล้ชิดและถ้าพบความผิดปกติตามที่พี่หมอเล่ามาข้างต้น ก็ควรพาลูกมาพบคุณหมอเพื่อรับการรักษานะครับ เพราะคุณหมอจะได้แนะนำวิธีการแก้ไข รวมถึงแนะนำหรือถ้าจำเป็นอาจจะสั่งทำรองเท้าดัดขาที่เหมาะกับปัญหาและสรีระของเท้าของเด็กแต่ละคน เพราะถ้าเราชะล่าใจและปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว รวมถึงอาจทำให้น้องๆ เสียบุคลิกและขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตด้วย 
 
     แล้วกลับมาพบกับเรื่องราวน่ารู้จากพี่หมอได้ใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ 😘😘😘
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่