คิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ

สวัสดีค่ะ จขกทอายุ 19 ปีและกำลังคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าค่ะ แต่ยังไม่เคยพบแพทย์อย่างจริงจัง เคยแค่ลองไปปรึกษาตามเพจโรคซึมเศร้าต่างๆ

เริ่มมาจากส่วนตัวจขกทคิดว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์อยู่แล้วค่ะ พ่อแม่มีจขกทแบบไม่ได้ตั้งใจค่ะ พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่อนุบาล เพราะแม่ติดเที่ยวติดการพนันค่ะ ตอนเด็กๆส่วนใหญ่ปู่กับย่าเป็นคนเลี้ยงค่ะ เพราะตอนแรกพ่อไปเรียนต่อตปทยังไม่กลับมา ถึงกลับมาแล้วก็ทำงานเลิกดึก

จนเมื่อปี 2010 พ่อจขกทก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่ค่ะ ตอนนั้นจขกทยังเด็กเลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ แต่เคยไปเที่ยวกับพ่อและแม่เลี้ยงก่อนแต่งงานมาบ้าง(เค้าทะเลาะกันเรื่องจขกทที่เป็นลูกติดบ่อยมาก) ในงานแต่งงานพ่อก็ให้จขกทไปอยู่กับแม่ก่อนโดยให้เหตุผลว่ามีผู้ใหญ่ เจ้านายมาเยอะเลยไม่อยากให้เค้ารู้ ตอนนั้นจขกทยังเด็กเลยไม่ได้คิดอะไรค่ะ คิดแค่ว่าอดกินซูชิในงานแต่งงานแค่นั้น

ตอนแรกจขกทไม่ได้อะไรกับแม่เลี้ยงเลย อาจจะมีไม่ชอบบ้างเพราะคิดว่ามาแย่งพ่อไปจากเรา เพราะปกติยอนกับพ่อทุกวันแต่พอพ่อแต่งงานก็ย้ายไปอยู่ห้องข้างๆกับแม่เลี้ยงค่ะ พ่อกับเเม่เลี้ยงทะเลาะกันบ่อยมาก(ตอนทะเลาะกันต้องได้ยินชื่อจขกททุกครั้งค่ะ ที่รู้เพราะชอบไปแอบฟังอยู่หน้าประตู เพราะเขาทะเลาะกันเสียงดังมาก) หลายครั้งที่พ่อกับแม่เลี้ยงทะเลาะกันแม่เลี้ยงจะพาลใส่จขกทบ่อยมาก เช่น จขกทปั่นจักยานเล่นอยู่ดีๆ แม่เลี้ยงก็หันมาด่า"อีเด็กบ้า"บ้างตอนทะเลาะกันแล้วพ่อหนีมาห้องจขกทก็มาเคาะประตูด่ากันบ้าง ปีนหน้าต่างมาพาพ่อกลับไปบ้าง อีกครั้งนึงที่จำได้ดีเลยคือเเม่เลี้ยงกับพ่อทะเลาะกันตอนกลางคืน พอเช้ามาแม่เลี้ยงมาปลุกจขกทที่ห้องแล้วพูดประมาณว่า "ร้องไห้ชื่อจขกท) คิดว่าถ้าป๊า(ชื่อจขกท)ไม่มาแต่งงานกับ(ชื่อแม่เลี้ยง) แล้วคิดว่าป๊า(ชื่อจขกท)จะกลับไปหาแม่(จขกท)หรอ" จขกทก็เลยเกลียดแม่เลี้ยงไปโดยปริยายค่ะ

หลังจากนั้นหลายปีเค้าก็มีลูกด้วยกันค่ะ แต่ไม่ใช่มีลูกแบบธรรมชาติแต่เป็นทำกิฟท์หรืออะไรสักอย่างนี่แหละค่ะ พ่อเด็กเกิดมาเค้าก็ย้ายไปอยู่บ้านข้างๆแทน จขกทเลือกจะอยู่กับปู่ย่าค่ะ เพราะไม่อยากเห็นหน้าแม่เลี้ยงกับลูกเค้าทุกวันหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกับพ่ออีกเลยค่ะ

เมื่อก่อนจขกทคิดว่าตังเองก็เป็นคนร่าเริงคนนึง ชอบไปเที่ยวกับเพื่อน อยู่กับเพื่อนตลอดเวลา แต่ตอนม.4 ย่าของจขกทถามว่าอยากไปเรียนต่อม.ปลายที่ญปมั๊ย จขกทก็ตอบว่าอยากไป ย่าก็เลยส่งไปเรียนที่ญปเลยค่ะ (จขกทเป็นคนที่หลงใหลในประเทศญปมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ชอบทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่นมาก พอมีโอกาสไปก็เลยไปเลยค่ะ)

ก่อนไปเรียนจขกทยังไม่เคยไปประเทศญปเลยสักครั้งค่ะ ตอนที่ไปต่อม.ปลายเป็นครั้งแรกที่ไปประเทศญปค่ะ ตอนก่อนไปคือวาดฝันไว้ดีมากค่ะ เรียนม.ปลายที่ญป ต่อมหาลัยที่ญป ทำงานที่ญป คิดว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องดีแน่นอน

แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นค่ะ จขกทต้องอยู่หอตอนที่เรียนที่ญปค่ะ ซึ่งหอมีกฎระเบียบเยอะมาก(เพราะเป็นหอหญิงด้วย) เช่น ตื่นเป็นเวลา นอนเป็นเวลา มีเวลาอาบน้ำ เวลาทำการบ้าน เวลากินข้าวก็ต้องกินรวมกับหอชายที่โรงอาหารค่ะ ห้องนอนก็ต้องนอนรวมกับเด็กต่างชาติและเด็กญปคนอื่นค่ะ ห้องนึงนอนกันประมาณ 5-7 คน ซึ่งไม่มีพื้นที่ส่วนตัวอะไรเลย ตอนอาบน้ำก็ต้องอาบน้ำรวมค่ะ กินข้าวก็ต้องนั่งกับคนในห้องนอนตัวเอง มีเวรทำความสะอาดเช้ากับก่อนนอน และปี1 จะต้องทำเยอะกว่ารุ่นพี่ค่ะเพราะถือว่าเป็นน้องเล็กสุด  งานของปี1 ก็เช่น ตื่นเช้ามาต้องรีบวิ่งไปเปิดไฟกับเปิดผ้าม่าน ตอนทำความสะอาดถ้าทำงานส่วนของตัวเองเสร็จแล้วก็ต้องไปช่วยทำส่วนของรุ่นพี่ต่อ(อันนี้คือในกรณีที่รุ่นพี่ยังทำไม่เสร็จ) ตอนเก็บจานหลังกินข้าวก็เหมือนกันค่ะ จะแบ่งหน้าที่กันว่าปี1 เอาของเหลือไปทิ้ง ปี2เก็บจานปี3เช็ดโต๊ะ ถ้าตัวเองเอาของเหลือไปทิ้งแล้วปี3 ยังเช็ดโต๊ะไม่เสร็จก็ต้องไปทำเเทนค่ะ (การทำแทนรุ่นพี่หรือครูเป็นเรื่องบังคับค่ะ ถ้าไม่ไปทำแทนจะโดนรุ่นพี่ตะโกนด่าประมาณว่า "ปี1 รุ่นพี่ทำอยู่นะทำไมไม่เข้าไปทำแทน!" คือถ้าเห็นรุ่นพี่กำลังถือของ ทำความจะอาด หรือเดินไปปิดไฟ เปิดม่านฯ อยู่ปี 1 ทุกคนต้องวิ่งเข้าไปขอทำแทนค่ะ) ตอนกินข้าวก็กินแบบสบายใจไม่ได้ค่ะ เพราะจะมีครู/รุ่นพี่มาคอยเช็คว่าถือตะเกียบถูกไหม นั่งเท้าชิดเข่าชิดไหม(ก้มดูใต้โต๊ะเลย) วางตำแหน่งจาน ถ้วยข้าวถ้วยซุปถูกไหม แค่นั้นยังไม่พอค่ะ ตอนกินข้าวก็ห้ามคุยกัน เด็กปี1 ต้องคอยรินชาให้รุ่นพี่ที่กินข้าวเสร็จ (คือต้องคอยมองรุ่นพี่ตลอดเวลาระหว่างที่กินข้าวอยู่ว่ารุ่นพี่กินเสร็จหรือยัง ถ้ารุ่นพี่วางตะเกียบปุ๊ป ปี1 ต้องรีบวางข้าวของตัวเอง(เเม้จะยังกินไม่เสร็จก็ตาม) แล้วถามรุ่นพี่ว่าจะดื่มชาไหม ถ้าดื่มก็รินให้แล้วค่อยกินข้าวต่อค่ะ)  แล้วก็มีเวรจัดโต๊ะอาหารเช้าเย็น เวรล้างจาน เวรรดน้ำผัก เวรเอาขยะเปียกไปทิ้งด้วย

โดยส่วนตัวจขกทค่อนข้างเป็นเด็กที่ไม่ทำตามกฎโรงเรียนเท่าไหร่ตอนอยู่ที่ไทย เช่นพวกเรื่องการแต่งกาย พอต้องไปอยู่หอแบบนั้นเลยเครียดค่ะ ส่วนเรื่องของการเรียนที่รร จขกทไม่มีปัญหาเท่าไหร่ค่ะ เข้ากับเพื่อนในห้องได้ดี ตั้งใจเรียนกว่าตอนอยู่ที่ไทยด้วยซ้ำเพราะเรียนทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด พวกวิชาชีวะ ฟิสิกส์ ก็ด้วย  จขกทคิดว่าตัวเองเป็นตัวแทนของประเทศไทยเลยไม่อยากน้อยหน้าคนต่างชาติคนอื่นเลยเรียนแบบเอาเป็นเอาตายค่ะ แต่จขกทชอบภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาค่ะ คิดว่าสนุกด้วยซ้ำที่ได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ

แต่เพราะความเครียดเรื่องการอยู่หอสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ นิสัยจขกทก็เริ่มเปลี่ยนค่ะ กลายเป็นคนขี้หงุดหงิด หัวร้อนง่าย ร้องไห้บ่อยมาก รู้สึกอยากกลับไทยทุกวัน เป็นแบบนี้แทบทุกวันค่ะ หลังๆเริ่มทะเลาะกับคนไทย(พวกผญ) ก็เลยไม่คุยกับคนไทยเลยค่ะ อยู่แต่กับเพื่อนญปกับต่างชาติ (เรื่องนี้ครูที่หอก็รู้ค่ะ ตอนย้ายห้องนอนเลยไม่เอาจขกทไปอยู่ห้องเดียวกับคนไทยเลย ตอนทำเวรก็เหมือนกันค่ะ) ตอนนั้นจขกทระเเวงตลอดเวลาว่าแบบพวกคนไทยจะเอาเรื่องจขกทไปนินทากันมั๊ย การใช้ชีวิตก็เลยเครียด+ไม่มีความสุขเพิ่มขึ้นไปอีกค่ะ แต่ยังดีที่จขกทมีบ้านลุงกับน้าที่ญป วันเสาร์อาทิตเลยได้กลับบ้านไปผ่อนคลายบ้างค่ะ

แต่ตั้งเเต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่จขกทเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมาก วันๆนึงไม่มีความสุขเลย มีแต่ร้องไห้กับหงุดหงิดค่ะร้องไห้จนเหนื่อยมากแทบทุกวัน จนในที่สุดก็มีคงามคิดว่าอยากตายค่ะ อยากหนีปัญหา คิดว่าถ้าต้องอยู่แบบนี้ไปอีก3 ปีขอตายตอนนี้เลยดีกว่า หลังจากนั้นก็คิดว่าอยากตายทุกวันค่ะ รู้สึกไม่ชอบตัวเองมากๆ พออาการหนักเข้าก็เริ่มคิดอยากตายแบบจริงจังค่ะ คิดว่าทำยังไงถึงจะตาย ผูกคอดีมั๊ย หรือกินยานอนหลับ(แต่จะหายาจากไหน) หรือจะโดดจากชั้น 2 ของหอ(หอมีแค่ 2 ชั้น) แต่ก็คิดว่าคงไม่ตายหรอก เลยคิดไปอีกว่างั้นโดดจากชั้น 4 ของตึกเรียนดูดีมั๊ย บางทีนั่งๆรถอยู่ก็คิดค่ะว่าถ้าโดดลงไปเลยจะตายมั๊ย

แต่ก็ได้แค่คิดค่ะยังไม่กล้าทำ แต่รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นหนัก เลยเริ่มกรีดแขนตัวเองค่ะ แต่ไม่ลึกมาก ใช้ขอบกรรไกรกรีด มันไม่ค่อยคมเลยกรีดซ้ำๆๆไปเรื่อยๆค่ะ ทำอย่างนั้นอยู่ 2-3 เดือนก็เลิกค่ะเพราะคิดว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร กรีดไปก็เจ็บ สู้ตายๆไปทีเดียวเลยง่ายกว่า

จขกทก็พยายามปรึกษาเพื่อนค่ะ ทั้งเพื่อนที่ไทย ทั้งเพื่อนที่ญป แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจ เครียดมากค่ะ ไม่รู้จะทำยังไงสุดท้ายเลยขอที่บ้านลาออกแล้วกลับไปอยู่ไทยค่ะ แน่นอนว่าที่บ้านก็ไม่ยอมให้กลับเพราะจ่ายค่าเทอมไปแล้ว จขกทก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ ได้แต่คิดว่าอยากตาย ถ้าไม่ให้กลับจะฆ่าตัวตายแน่ๆ รอวันที่คิดว่าไม่ไหวจริงๆจะตายแน่นอนค่ะ

ช่วงที่จขกทอาการหนักที่สุดเลยคือตอนกลับมาไทยช่วงปิดเทอมค่ะ (มีปิดเทอม 3 รอบกลับทุกรอบ ปิดแค่ 10 วันก็จะกลับค่ะ บอกที่บ้านว่าถ้าไม่ให้กลับจะไม่เรียนแล้ว) กลับมาไทยมีความสุขมากค่ะ มาอาการหนักตอนวันสุดท้ายที่ไทย(แบบพรุ่งนี้หรือวันนี้ตอนกลางคืนต้องกลับไปญี่ปุ่น) นั่งร้องไห้หนักมาก อยากโดดจากดาดฟ้าที่บ้าน(แต่ก็กลัวเจ็บค่ะ) บางทีก็คิดจะผูกคอตาย ทำเชือกอะไรไว้เรียบร้อย แต่โทรคุยกับแม่แล้วแม่ช่วยกล่อมเลยไม่ได้ฆ่าตัวตาย แม่บอกไมาอยากไปขนาดนั้นก็ไม่ต้องกลับ แต่ก็โดนพ่อลากไปสนามบินอยู่ดีค่ะ (ตอนนั้นคือคิดว่าคงไม่ได้กลับไปจริงๆเลยไม่ได้จัดกระเป๋าเลยค่ะ พอโดนพ่อลากไปก็เอาไปแค่กระเป๋าเปล่าๆ พาสปอร์ตก็ลืมต้องให้ลุงเอามาให้ที่สนามบิน) อีกรอบก็คือรอบสุดท้ายทำร้ายตัวเองเลยค่ะเอาหัวโขกตู้ไม้ซ้ำๆ แล้วก็กินยาแก้แพ้(ที่ทำให้ง่วง)ไปกำนึง แต่ก็โดนพ่อลากไปสนามบินอยู่ดี

สุดท้ายพอพูดกับครอบครัวไปมากๆว่าไม่เอาแล้ว ไม่เรียนแล้ว ถ้าให้เรียนต่อจะฆ่าตัวตาย(ตอนนั้นกลัวตัวเองมากค่ะกลัวว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ) ครอบครัวก็ยอมให้ลาออกหลับจบปี 1 ค่ะ

จขกทดีใจมาก คิดว่าถ้ากลับไทยมาจะไม่เป็นไร แต่ไม่ใช่ค่ะ พอกลับไทยมาสักพัก ความคิดที่คิดว่าตังเองไร้ค่าก็กลับมาค่ะ เหมือนความฝันที่เคยฝันไว้มันพังลงมา เพราะตัวจขกทเอง เอาแต่โทษตัวเองว่าถ้าทนอีกนิดชีวิตคงดีไปแล้วทำไมไม่ยอมทน โทษตัวเองอยู่แบบนี้ทุกวันจนถึงทุกวันนี้ค่ะ รู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไร พอมีปัญหาก็คิดว่าตายๆไปซะก็จบ เอาตัวเองออกจากความคิดที่อยากฆ่าตังตายไม่ได้เลยค่ะ

แบบนี้คือเป็นโรคซึมเศร้ามั๊ยคะ จขกทควรทำยังไงดีคะ เกลียดตัวเองมาก นั่งอยู่ดีๆก็คิดว่าตังเองไร้ค่า อยากฆ่าตัวตาย เหมือนต้องสู้กับความคิดตัวเองทุกวัน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่