ชีวิตบนเรือขนทาส
เส้นทางการค้าทาสในมหาสมุทรแอตแลนติกนำพาทาสชาวแอฟริกานับล้านคนจากบ้านเกิดเดินทางข้ามทะเลก่อนจะไปทำงานใช้แรงภายใต้เงื่อนไขที่โหดร้าย และมิใช่เพียงปลายทางการเป็นทาสที่ต้องพบเจอกับความลำบากเท่านั้น ระหว่างการเดินทางก็เช่นกัน
การค้าทาสนั้นมีมานานแล้วก่อนที่ชาวยุโรปจะมาถึงแอฟริกา การมีทาสแสดงถึงความร่ำรวย ทาสอาจเป็นลูกหนี้ เชลยสงครามหรือนักโทษการเมือง และเมื่อชาวยุโรปมาถึงแอฟริกาจึงไปซื้อทาสจากตลาดค้าทาส เช่น ตลาดค้าทาสอาณาจักรคองโก ต่อมานายหน้าค้าทาสชาวแอฟริกาก็ได้ทำการจับคนมาเป็นทาสมากขึ้นเพื่อขายให้แก่ชาวยุโรป ผู้ที่ถูกจับมาเป็นทาสจากทั่วแอฟริกาจะถูกนำมายังท่าเรือของเมืองเพื่อขึ้นเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยก่อนจะเดินทางมาขึ้นเรือพวกเขาจะถูกล่ามไว้ด้วยกัน และมาถึงเรือจะถูกจับให้ไปอยู่ใต้เรือทันที
ทาสชาวแอฟริกันเป็นที่ต้องการในพื้นที่เพาะปลูกและสำหรับเหมืองแร่และส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังบราซิลแคริบเบียนและจักรวรรดิสเปน น้อยกว่า 5% เดินทางไปยังรัฐทางตอนเหนือของอเมริกาที่ชาวอังกฤษจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
Olaudah Equiano ทาสคนหนึ่ง หลังจากที่เป็นอิสระเขาได้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ของระบบทาสและการต้องอยู่ในเรือขนทาสนี้ว่า เมื่อเขาถูกบังคับให้ขึ้นเรือมา เขาเห็นคนแอฟริกามากมายถูกล่ามไว้ด้วยกันทุกคนมีสีหน้าเศร้าสลดและระทมทุกข์ ก็เขาเองกลัวจนเป็นลมไปหลายครั้ง โซ่ที่ล่ามไว้ครูดและกดไปที่ผิวหนังทำให้การเคลื่อนไหวนั้นทำได้ยากและเจ็บปวด
เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตที่สูงระหว่างการเดินทาง หลายคนพบว่าตนเองถูกล่ามไว้กับศพ และใต้ท้องเรือนั้นก็เต็มไปด้วยกลิ่นที่หมักหมมของทาสจำนวนมาก กลิ่นปัสสาวะและอุจจาระ Equiano ก็ป่วยไข้และหวังว่าตัวเองจะตายเพื่อหลุดพ้นจากที่แห่งนี้
ถ้าหากทาสไม่ฟังคำสั่งของลูกเรือผิวขาว พยายามหลบหนีหรือแสดงท่าทีต่อต้านจะถูกเฆี่ยน Equiano ผู้ที่เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์กล่าวว่าเขาเคยปฏิเสธที่จะรับประทานอาหาร เขาถูกชายจับมัดขาให้นอนขวางและถูกเฆี่ยนด้วยความรุนแรง บนเรือยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ตีตราทาสหรืออุปกรณ์ทรมานอื่นๆ นั้นถูกใช้เพื่อให้ทาสยอมทำตามคำสั่ง ถ้าหากมีการก่อจลาจลก็มักจะจบด้วยการนองเลือดของทาส
เหล่าทาสจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือได้บ้างแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ท้องเรือที่ร้อนและเหม็นอับ ทำให้มักเกิดโรคระบาดเช่น โรคบิด คือโรคที่คร่าชีวิตทาสบนเรือขนทาสมากที่สุด รองลงมาเป็น ไข้หวัดใหญ่ หัด มาลาเรียและไข้ทรพิษ ทาสส่วนใหญ่ที่ถูกจับมาจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงเป็นส่วนน้อย
ทาสหญิงและทาสชายจะถูกแยกจากกันโดยทาสหญิงจะไม่ถูกล่ามโซ่ หลังจากการเดินทางราว 6-8 สัปดาห์เรือขนทาสก็จะมาถึงที่หมาย จากนั้นก็ไปยังตลาดค้าทาสก่อนที่จะถูกซื้อต่อไป
บทความโดย SPOKEDARK.TV
Cr.
https://www.spokedark.tv/posts/slave-boat/
การสังหารหมู่ของ “เรือ Zong”
(ภาพวาดเรือขนทาส โดย J. M. W. Turner สะท้อนภาพการสังหารหมู่ทาส )
Zong massacre เป็นการสังหารหมู่ทาสชาวอัฟริกันประมาณ 142 คน ที่ถูกขนมากับเรือขนทาสชื่อ “ซอง” (Slave ship Zong) ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1781 มีเจ้าของเป็นบริษัทค้าทาสในเมือง Liverpool, England ซึ่งได้ทำประกันความเสี่ยงการค้าทาสเอาไว้ เมื่อเรือเดินทางผิดเส้นทาง ทำให้มีน้ำจืดไม่พอใช้ ลูกเรือก็จับทาสโยนลงทะเล แล้วเจ้าของเรือก็ไปเรียกประกันความเสียหายคืนจากบริษัทผู้ประกัน เมื่อผู้ให้ประกันปฏิเสธการจ่าย จึงมีเรื่องนำขึ้นสู่ศาล ศาลพิจารณาว่าในสถานการณ์ไม่ปกติ การสังหารทาสถือว่าเป็นสิ่งถูกกฎหมาย และผู้ให้ประกันต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับผู้เดินเรือสำหรับทาสที่ตายไป
อังกฤษ (Britain) ในสมัยก่อนมีบทบาทสำคัญในการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 1600 การค้าทาส เป็นสิ่งถูกกฎหมาย
ในอาณานิคมทั้ง 13 แห่งในอเมริกาและแคนาดา ผลประโยชน์ของการค้าทาสและการเกษตรใน West Indies มีมูลค่าประมาณร้อยละ 5 ของเศรษฐกิจของอังกฤษ ในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยในยุคดังกล่าวไม่มีการค้าทาสในประเทศอังกฤษ และไม่มีกฎหมายอังกฤษยอมรับการค้าทาส แต่ในดินแดนอาณานิคมกลับมีการค้าทาสกันอย่างกว้างขวาง
ในปี 1807 หลังการรณรงค์โดยฝ่ายต่อต้านการค้าทาส รัฐสภาอังกฤษได้ออกเสียงให้การค้าทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมายในทุกที่ที่มีจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งได้ตราออกมาเป็นกฎหมายชื่อ Slave Trade Act 1807 หลังจากนั้น อังกฤษได้ถือบทบาทในการต่อต้านการค้าทาส และได้มีการขจัดการค้าทาสออกจากจักรภพอังกฤษ (British Empire) มีตรากฎหมาย Slavery Abolition Act 1833 ในช่วงปี 1808 - 1860 กองเรือในอัฟริกาตะวันตกได้เข้ายึดเรือขนทาสมากกว่า 1,600 ลำ และปล่อยทาสอัฟริกันกว่า 150,000 คน
ในอีกด้านหนึ่ง อังกฤษได้ประกาศการค้าทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอัฟริกา ดังกษัตริย์แห่ง Lagos ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งไปในปี ค.ศ. 1851 ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีการลงนามความร่วมมือกับผู้ปกครองกว่า 50 คนในการเลิกการค้าทาส ในปี ค.ศ. 1839 ได้มีข้อตกลงให้เกิดองค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เรียก Anti-Slavery International เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษโดย Joseph Sturge ซึ่งรณรงค์ให้มีการเลิกค้าทาสในประเทศอื่นๆทั่วโลก
Cr.
http://pracob.blogspot.com/2013/05/zong-massacre.html / BY PRACOB COOPARAT
Cr.
https://www.portandterminal.com/the-zong-massacre-a-maritime-insurance-scam/
เรือขนทาส SãoJosé
“São José-Paquete de Africa” เป็นเรือขนส่งขนาดเล็ก หนักราวๆ 340 ตัน แล่นจากลิสบอนประเทศโปรตุเกสและเดินทางไปยังโมซัมบิกและกลับมาพร้อมกับทาสที่ถูกกำหนดให้ไปบราซิล บรรทุกทาสมาเป็นจำนวน 543 คนบนเรือที่มีความยาวสูงสุดเพียง 40 ม. โดยจะมีการล่ามโซ่เอาไว้เพื่อป้องกันการถูกขโมยเรือ
วันที่ 27 ธันวาคม 1794 เรือลำนี้มันกระแทกกับก้อนหินและเริ่มจมใกล้กับแหลมกู๊ดโฮป ใกล้กับเมืองคลิฟตัน ในเคปทาวน์ประเทศแอฟริกาใต้ จากการที่ตัวเรือแตกออกเป็นชิ้นๆ ทำให้ทาสบนเรือกว่า 212 คนจมน้ำตาย เชื่อกันว่าทาส 331 รายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์น่าจะถูกขายให้กับแอฟริกาใต้ที่ตอนนั้นอยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ส่วนตัวเรือก็ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้มีการเก็บกู้ขึ้นมาแต่อย่างใด
ต่อมามีการค้นพบซากเรือนี้ในปี 2015 จมอยู่ใต้น้ำ แม้นักโบราณคดีได้ส่งทีมนักดำน้ำลงไปสำรวจเรือ São José มาหลายครั้ง แต่อาจจะมีบันทึกและโบราณวัตถุอีกหลายชิ้นบนเรือที่นอนอยู่ใต้ทะเลที่ยังไม่ได้มีการสำรวจ SãoJosé ยังมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นหนึ่งในการเดินทางทดลองที่เร็วที่สุดที่นำชาวแอฟริกันตะวันออกเข้าสู่การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
ในช่วงทศวรรษที่ 1790 แอฟริกาตะวันออกกลายเป็นแหล่งทาสที่สำคัญสำหรับสวนอ้อยของบราซิล คาดว่าจะมีชาวแอฟริกันตะวันออกมากกว่า 400,000 คนเดินทางระหว่างปี 1800 - 1865 การเดินทางในสภาพไร้มนุษยธรรมใช้เวลาสองถึงสามเดือน ซึ่งหลายคนไม่รอดจากการเดินทาง หลายปีที่ผ่านมาเคปทาวน์มีความเจริญรุ่งเรืองในฐานะสถานีขนส่งสินค้าก่อนที่เรือจะเริ่มการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอันยาวนาน
ที่มา history, thesouthafrican
Cr.
https://www.catdumb.com/details-of-19th-century-slave-ship-revealed-378/By เหมียวศรัทธา
Cr.
https://slavery.iziko.org.za/content/s%C3%A3o-jos%C3%A9%E2%80%94paquete-de-africa
เรือขนทาส Brookes
The Slave Ship Brookes เรือลำใหญ่ที่ขนทาสชาวแอฟริกันจำนวนมากข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมายังประเทศอังกฤษ ทาสจำนวนสี่ร้อยกว่าคนต้องอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดเพียง 8.4 ตารางฟุต และเอาชีวิตรอดในความแออัด ภาพวาดนี้เป็นการแสดงพื้นที่ของทาสในเรือและถือเป็นภาพที่มีอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกภาพหนึ่ง
กลุ่มผู้สนับสนุนการเลิกทาสในศตวรรษที่ 18 ใช้แผนภาพของ Liverpool Slave Ship Brookes เรือขนทาสของเมืองลิเวอร์พูล ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1788 มาเป็นสื่อที่ใช้มาเผยแพร่ให้ผู้คนรับรู้ถึงความโหดร้ายของสภาพชีวิตเหล่าทาสที่ต้องมาอาศัยในเรือในพื้นที่ที่แสนคับแคบ
จากการสำรวจวัดขนาดพื้นที่อย่างละเอียดภายในเรือขนทาส Brookes และกลุ่มรณรงค์จาก Plymouth ที่รวมไปถึงระยะต่างๆของแปลน รูปตัดและรูปด้านของเรือ ภาพวาดเหล่านี้ถูกแทรกด้วยรูปของคนผิวดำจำนวนหลายร้อยคน ภายในพื้นที่นอนของทาสที่ระบุไว้ในบัญญัติการควบคุมการค้าทาสในอดีต พื้นที่ขนาด 6 ฟุตคูณ 1 ฟุต 4 นิ้ว สำหรับผู้ชาย, 5 ฟุต 10 นิ้ว คูณ 1 ฟุต 4 นิ้ว สำหรับผู้หญิง, 5 ฟุตคูณ 1 ฟุต 2 นิ้ว สำหรับเด็กผู้ชายและ 4 ฟุต 6 นิ้ว คูณ 1 ฟุต สำหรับเด็กผู้หญิง
ภายใต้การออกแบบเพื่อลดความแออัดที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตจำนวนมากในการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเหล่าทาส เรือลำนี้ได้รับการอนุญาตได้บรรทุกทาสได้สูงสุด 454 คน แต่มีครั้งหนึ่งที่มีการบรรทุกเหล่าทาสแอฟริกันสูงถึง 609 คน ภาพนี้ทำให้รับรู้ถึงความยากลำบากของเหล่าทาสแอฟริกัน จนสุดท้ายในปี 1833 อังกฤษได้ทำการยกเลิกการ ซื้อ ขายและแลกเปลี่ยนทาสทั้งหมดทั่วประเทศ
ที่มา eyemagazine.com, bl.uk
Cr.
https://designmatters-magazine.com/the-slave-ship-brookes/10003843/23/
ทาสแอฟริกันในไร่อ้อย
ในปี 1500 เป็นต้นมา ศูนย์กลางของน้ำตาลในทวีปยุโรปคือบราซิล จากนั้นอังกฤษก็ตามมาโดยทำให้บาร์เบโดสกลายเป็นเกาะแห่งน้ำตาล หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็เข้ามาทำไร่อ้อยที่เกาะฮิสแปนิโอลาใหม่อีกครั้ง ยิ่งมีการปลูกอ้อยมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโรงงานเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งสร้างท่าเรือเพื่อขนส่งน้ำตาลและนำทาสจากแอฟริกาเพื่อมาทำงานในไร่มากขึ้นด้วย
เพียงระยะเวลาแค่ร้อยกว่าปีเศษ ระหว่างปี 1701-1801 มีการนำทาสแอฟริกันจำนวน 252,500 คนไปยังบาร์เบโดส เกาะที่มีพื้นที่เพียงแค่ 166 ตารางไมล์ (ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก) ต่อมาอังกฤษเริ่มออกล่าอาณานิคม หาเกาะที่ปลูกอ้อยมาเป็นของตนให้มากขึ้น โดยเริ่มจากจาเมกาซึ่งอังกฤษยึดมาจากสเปนในปี 1665
ในช่วงเวลาเดียวกันมีการนำทาสแอฟริกันถึง 662,400 คนไปยังจาเมกา กล่าวได้ว่า น้ำตาลผลักดันให้ผู้คนกว่า 900,000 คนเป็นทาสแรงงาน โดยข้ามจากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังบาร์เบโดสและจาเมกา และนี่เป็นเพียงแค่สองเกาะในบรรดาเกาะทั้งหลายที่มีการทำไร่อ้อย
น้ำตาลจากไร่อ้อยถือเป็นสิ่งใหม่ของโลก มันให้รสชาติแสนหวานให้ความพึงพอใจอย่างแท้จริง นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าผู้คนทั่วโลกต้องอาศัยการเรียนรู้เพื่อให้ชอบรสชาติเค็ม เปรี้ยว และรสที่คละกัน แต่รสหวานจะชอบในทันทีที่ลิ้มรส น้ำตาลทรายจึงเป็นผลิตผลอย่างแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติซึ่งสนองความอยากนั้นได้อย่างดีที่สุด และชีวิตอันขมขื่นของทาสชาวแอฟริกันก็ทำให้มีน้ำตาลออกมามากมายจนความหวานของมันได้แพร่กระจายไปทั่วโลก
ระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 19 น้ำตาลเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจทั้งหมดโดยเชื่อมโยงยุโรป แอฟริกา เอเชีย และทวีปอเมริกาเข้าด้วยกัน ยุคแห่งน้ำตาลที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นและพลิกโฉมโลกแบบที่ไม่เคยมีผู้ปกครองอาณาจักรหรือสงครามใดทำได้มาก่อน
ที่มาหนังสือ " Sugar Changed the World ", สำนักพิมพ์มติชน
Cr.
https://www.hfocus.org/content/2015/02/9382
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
The Slave ship เรื่องราวของ " เรือขนส่งทาส "
การค้าทาสนั้นมีมานานแล้วก่อนที่ชาวยุโรปจะมาถึงแอฟริกา การมีทาสแสดงถึงความร่ำรวย ทาสอาจเป็นลูกหนี้ เชลยสงครามหรือนักโทษการเมือง และเมื่อชาวยุโรปมาถึงแอฟริกาจึงไปซื้อทาสจากตลาดค้าทาส เช่น ตลาดค้าทาสอาณาจักรคองโก ต่อมานายหน้าค้าทาสชาวแอฟริกาก็ได้ทำการจับคนมาเป็นทาสมากขึ้นเพื่อขายให้แก่ชาวยุโรป ผู้ที่ถูกจับมาเป็นทาสจากทั่วแอฟริกาจะถูกนำมายังท่าเรือของเมืองเพื่อขึ้นเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยก่อนจะเดินทางมาขึ้นเรือพวกเขาจะถูกล่ามไว้ด้วยกัน และมาถึงเรือจะถูกจับให้ไปอยู่ใต้เรือทันที
ทาสชาวแอฟริกันเป็นที่ต้องการในพื้นที่เพาะปลูกและสำหรับเหมืองแร่และส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังบราซิลแคริบเบียนและจักรวรรดิสเปน น้อยกว่า 5% เดินทางไปยังรัฐทางตอนเหนือของอเมริกาที่ชาวอังกฤษจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
Olaudah Equiano ทาสคนหนึ่ง หลังจากที่เป็นอิสระเขาได้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ของระบบทาสและการต้องอยู่ในเรือขนทาสนี้ว่า เมื่อเขาถูกบังคับให้ขึ้นเรือมา เขาเห็นคนแอฟริกามากมายถูกล่ามไว้ด้วยกันทุกคนมีสีหน้าเศร้าสลดและระทมทุกข์ ก็เขาเองกลัวจนเป็นลมไปหลายครั้ง โซ่ที่ล่ามไว้ครูดและกดไปที่ผิวหนังทำให้การเคลื่อนไหวนั้นทำได้ยากและเจ็บปวด
ถ้าหากทาสไม่ฟังคำสั่งของลูกเรือผิวขาว พยายามหลบหนีหรือแสดงท่าทีต่อต้านจะถูกเฆี่ยน Equiano ผู้ที่เขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์กล่าวว่าเขาเคยปฏิเสธที่จะรับประทานอาหาร เขาถูกชายจับมัดขาให้นอนขวางและถูกเฆี่ยนด้วยความรุนแรง บนเรือยังมีอุปกรณ์ที่ใช้ตีตราทาสหรืออุปกรณ์ทรมานอื่นๆ นั้นถูกใช้เพื่อให้ทาสยอมทำตามคำสั่ง ถ้าหากมีการก่อจลาจลก็มักจะจบด้วยการนองเลือดของทาส
เหล่าทาสจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือได้บ้างแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ท้องเรือที่ร้อนและเหม็นอับ ทำให้มักเกิดโรคระบาดเช่น โรคบิด คือโรคที่คร่าชีวิตทาสบนเรือขนทาสมากที่สุด รองลงมาเป็น ไข้หวัดใหญ่ หัด มาลาเรียและไข้ทรพิษ ทาสส่วนใหญ่ที่ถูกจับมาจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงเป็นส่วนน้อย
ทาสหญิงและทาสชายจะถูกแยกจากกันโดยทาสหญิงจะไม่ถูกล่ามโซ่ หลังจากการเดินทางราว 6-8 สัปดาห์เรือขนทาสก็จะมาถึงที่หมาย จากนั้นก็ไปยังตลาดค้าทาสก่อนที่จะถูกซื้อต่อไป
บทความโดย SPOKEDARK.TV
Cr.https://www.spokedark.tv/posts/slave-boat/
อังกฤษ (Britain) ในสมัยก่อนมีบทบาทสำคัญในการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 1600 การค้าทาส เป็นสิ่งถูกกฎหมาย
ในอาณานิคมทั้ง 13 แห่งในอเมริกาและแคนาดา ผลประโยชน์ของการค้าทาสและการเกษตรใน West Indies มีมูลค่าประมาณร้อยละ 5 ของเศรษฐกิจของอังกฤษ ในช่วงของการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยในยุคดังกล่าวไม่มีการค้าทาสในประเทศอังกฤษ และไม่มีกฎหมายอังกฤษยอมรับการค้าทาส แต่ในดินแดนอาณานิคมกลับมีการค้าทาสกันอย่างกว้างขวาง
ในปี 1807 หลังการรณรงค์โดยฝ่ายต่อต้านการค้าทาส รัฐสภาอังกฤษได้ออกเสียงให้การค้าทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมายในทุกที่ที่มีจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งได้ตราออกมาเป็นกฎหมายชื่อ Slave Trade Act 1807 หลังจากนั้น อังกฤษได้ถือบทบาทในการต่อต้านการค้าทาส และได้มีการขจัดการค้าทาสออกจากจักรภพอังกฤษ (British Empire) มีตรากฎหมาย Slavery Abolition Act 1833 ในช่วงปี 1808 - 1860 กองเรือในอัฟริกาตะวันตกได้เข้ายึดเรือขนทาสมากกว่า 1,600 ลำ และปล่อยทาสอัฟริกันกว่า 150,000 คน
Cr.http://pracob.blogspot.com/2013/05/zong-massacre.html / BY PRACOB COOPARAT
Cr.https://www.portandterminal.com/the-zong-massacre-a-maritime-insurance-scam/
วันที่ 27 ธันวาคม 1794 เรือลำนี้มันกระแทกกับก้อนหินและเริ่มจมใกล้กับแหลมกู๊ดโฮป ใกล้กับเมืองคลิฟตัน ในเคปทาวน์ประเทศแอฟริกาใต้ จากการที่ตัวเรือแตกออกเป็นชิ้นๆ ทำให้ทาสบนเรือกว่า 212 คนจมน้ำตาย เชื่อกันว่าทาส 331 รายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์น่าจะถูกขายให้กับแอฟริกาใต้ที่ตอนนั้นอยู่ใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ส่วนตัวเรือก็ถูกปล่อยไว้อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้มีการเก็บกู้ขึ้นมาแต่อย่างใด
ต่อมามีการค้นพบซากเรือนี้ในปี 2015 จมอยู่ใต้น้ำ แม้นักโบราณคดีได้ส่งทีมนักดำน้ำลงไปสำรวจเรือ São José มาหลายครั้ง แต่อาจจะมีบันทึกและโบราณวัตถุอีกหลายชิ้นบนเรือที่นอนอยู่ใต้ทะเลที่ยังไม่ได้มีการสำรวจ SãoJosé ยังมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นหนึ่งในการเดินทางทดลองที่เร็วที่สุดที่นำชาวแอฟริกันตะวันออกเข้าสู่การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
ในช่วงทศวรรษที่ 1790 แอฟริกาตะวันออกกลายเป็นแหล่งทาสที่สำคัญสำหรับสวนอ้อยของบราซิล คาดว่าจะมีชาวแอฟริกันตะวันออกมากกว่า 400,000 คนเดินทางระหว่างปี 1800 - 1865 การเดินทางในสภาพไร้มนุษยธรรมใช้เวลาสองถึงสามเดือน ซึ่งหลายคนไม่รอดจากการเดินทาง หลายปีที่ผ่านมาเคปทาวน์มีความเจริญรุ่งเรืองในฐานะสถานีขนส่งสินค้าก่อนที่เรือจะเริ่มการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอันยาวนาน
ที่มา history, thesouthafrican
Cr.https://www.catdumb.com/details-of-19th-century-slave-ship-revealed-378/By เหมียวศรัทธา
Cr.https://slavery.iziko.org.za/content/s%C3%A3o-jos%C3%A9%E2%80%94paquete-de-africa
กลุ่มผู้สนับสนุนการเลิกทาสในศตวรรษที่ 18 ใช้แผนภาพของ Liverpool Slave Ship Brookes เรือขนทาสของเมืองลิเวอร์พูล ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1788 มาเป็นสื่อที่ใช้มาเผยแพร่ให้ผู้คนรับรู้ถึงความโหดร้ายของสภาพชีวิตเหล่าทาสที่ต้องมาอาศัยในเรือในพื้นที่ที่แสนคับแคบ
จากการสำรวจวัดขนาดพื้นที่อย่างละเอียดภายในเรือขนทาส Brookes และกลุ่มรณรงค์จาก Plymouth ที่รวมไปถึงระยะต่างๆของแปลน รูปตัดและรูปด้านของเรือ ภาพวาดเหล่านี้ถูกแทรกด้วยรูปของคนผิวดำจำนวนหลายร้อยคน ภายในพื้นที่นอนของทาสที่ระบุไว้ในบัญญัติการควบคุมการค้าทาสในอดีต พื้นที่ขนาด 6 ฟุตคูณ 1 ฟุต 4 นิ้ว สำหรับผู้ชาย, 5 ฟุต 10 นิ้ว คูณ 1 ฟุต 4 นิ้ว สำหรับผู้หญิง, 5 ฟุตคูณ 1 ฟุต 2 นิ้ว สำหรับเด็กผู้ชายและ 4 ฟุต 6 นิ้ว คูณ 1 ฟุต สำหรับเด็กผู้หญิง
ภายใต้การออกแบบเพื่อลดความแออัดที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตจำนวนมากในการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเหล่าทาส เรือลำนี้ได้รับการอนุญาตได้บรรทุกทาสได้สูงสุด 454 คน แต่มีครั้งหนึ่งที่มีการบรรทุกเหล่าทาสแอฟริกันสูงถึง 609 คน ภาพนี้ทำให้รับรู้ถึงความยากลำบากของเหล่าทาสแอฟริกัน จนสุดท้ายในปี 1833 อังกฤษได้ทำการยกเลิกการ ซื้อ ขายและแลกเปลี่ยนทาสทั้งหมดทั่วประเทศ
ที่มา eyemagazine.com, bl.uk
Cr.https://designmatters-magazine.com/the-slave-ship-brookes/10003843/23/
เพียงระยะเวลาแค่ร้อยกว่าปีเศษ ระหว่างปี 1701-1801 มีการนำทาสแอฟริกันจำนวน 252,500 คนไปยังบาร์เบโดส เกาะที่มีพื้นที่เพียงแค่ 166 ตารางไมล์ (ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก) ต่อมาอังกฤษเริ่มออกล่าอาณานิคม หาเกาะที่ปลูกอ้อยมาเป็นของตนให้มากขึ้น โดยเริ่มจากจาเมกาซึ่งอังกฤษยึดมาจากสเปนในปี 1665
ในช่วงเวลาเดียวกันมีการนำทาสแอฟริกันถึง 662,400 คนไปยังจาเมกา กล่าวได้ว่า น้ำตาลผลักดันให้ผู้คนกว่า 900,000 คนเป็นทาสแรงงาน โดยข้ามจากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังบาร์เบโดสและจาเมกา และนี่เป็นเพียงแค่สองเกาะในบรรดาเกาะทั้งหลายที่มีการทำไร่อ้อย
น้ำตาลจากไร่อ้อยถือเป็นสิ่งใหม่ของโลก มันให้รสชาติแสนหวานให้ความพึงพอใจอย่างแท้จริง นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าผู้คนทั่วโลกต้องอาศัยการเรียนรู้เพื่อให้ชอบรสชาติเค็ม เปรี้ยว และรสที่คละกัน แต่รสหวานจะชอบในทันทีที่ลิ้มรส น้ำตาลทรายจึงเป็นผลิตผลอย่างแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติซึ่งสนองความอยากนั้นได้อย่างดีที่สุด และชีวิตอันขมขื่นของทาสชาวแอฟริกันก็ทำให้มีน้ำตาลออกมามากมายจนความหวานของมันได้แพร่กระจายไปทั่วโลก
ระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงศตวรรษที่ 19 น้ำตาลเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจทั้งหมดโดยเชื่อมโยงยุโรป แอฟริกา เอเชีย และทวีปอเมริกาเข้าด้วยกัน ยุคแห่งน้ำตาลที่แท้จริงได้เริ่มต้นขึ้นและพลิกโฉมโลกแบบที่ไม่เคยมีผู้ปกครองอาณาจักรหรือสงครามใดทำได้มาก่อน
ที่มาหนังสือ " Sugar Changed the World ", สำนักพิมพ์มติชน
Cr.https://www.hfocus.org/content/2015/02/9382
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)