เมื่อคุณหมอพูดว่า "คุณคงไม่เหมาะจะรักษาที่นี่" "ผมคงรักษาให้คุณตามที่คุณต้องการไม่ได้" คุณจะทำอย่างไร

ผมขอเกริ่นอาการของผมเบื้องต้นก่อนนะครับ
วันที่ 4/9/2020 เวลาประมาณ 15.30 น.
ผมเริ่มมีอาการปวดตุบๆที่ขมับข้างซ้าย แต่คิดว่าคงเป็นเพราะผมนอนน้อย กลับไปพักผ่อนคงจะหาย

วันที่ 5/9/2020 ทั้งวัน
ผมยังคงปวดหัวตุบๆอยู่ ปวดมาก ไปห้องพยาบาลของบริษัท พยาบาลจ่ายยาแก้ปวดชนิดแรงให้
พร้อมแนะนำว่าถ้าไม่หายให้ไปพบแพทย์ ซึ่งมันก็ไม่หายครับ ตั้งใจว่าจะไปหาหมอที่คลีนิดก่อนในตอนเช้า

วันที่ 6/9/2020 เวลา 6.30 น.
ผมตื่นเช้ามาพบว่า ใบหน้าแถบซ้ายของผมไม่ขยับ ตาหลับไม่สนิท ตาไม่กระพริบ ยิ้มหรือพูดแล้วปากเบี้ยว

 
ผมตกใจมาก รีบไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมทันที 

โรงพยาบาลเป็นโรงพยาบาลเอกชน ใน อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

พบแพทย์ท่านแรก (แพทย์ผู้หญิง)
เล่าอาการให้คุณหมอฟัง ซึ่งอาการของผมมีดังนี้
1.ปวดหัวตุบๆตลอดเวลา
2.ใบหน้าซีกซ้ายใช้งานไม่ได้ ปากเบี้ยว ไม่มีอาการชา ไม่เจ็บ
3.แขนขาไม่อ่อนแรง เดินได้ปกติ
คุณหมอมีการทดสอบเล็กน้อยโดยให้ผมยิ้ม หลับตา ย่นหน้า ให้ผมใช้นิ้วชี้ไปที่ปากกาซ้ำๆและสลับข้างไปมา 
คุณหมอวินิจฉัยว่าผมเป็น "โรคเส้นประสาทใบหน้าอักเสบ" ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร
และจะส่งไปพบคุณหมออีกท่านให้ ปรึกษาเรื่องกายภาพบำบัด และหากมีอะไรสงสัยให้สอบถามคุณหมออีกท่านได้เลย

มื่อได้พบคุณหมอท่านที่ 2 (แพทย์ผู้ชาย)
คุณหมอถามอาการ และทดสอบคล้ายๆคุณหมอท่านแรก สรุปวินิจฉัยว่า 
เป็น "โรคเส้นประสาทใบหน้าอักเสบ" เหมือนกัน คุณหมอบอกว่าจะให้ยาสเตรอยไปกิน
และทิ้งท้ายว่า "ยารักษาได้แค่50%เท่านั้น" แล้วเชิญผมออกจากห้อง 

ด้วยความ ตกใจ ผมก็เดินออกจากห้องมาอย่างอึ้ง ๆ โดยที่คุณหมอไม่ได้อธิบายอาการของโรค,
ขั้นตอนการรักษา, ผลข้างเคียงในการรักษา,ระยะเวลาโดยประมาณ ,และที่สำคัญ 50% คืออะไร?
ไปนั่งรอรับยา ทั้งที่ยังตกใจ ว่า 50% คืออะไร 50% คือไม่หายหรือ? จะต้องปากเบี้ยวไปตลอดหรือ? พี่พยาบาลก็เอาใบนัดมาให้ ซึ่งนัดอีกทีคือ 22/9/2020 และรับยา โดยยาที่ได้มี 2 อย่าง
1.Prednisolone 5MG. กิน3เวลาหลังอาหารครั้งละ4เม็ด
2.Vitamin 3B. กิน3เวลาหลังอาหารครั้งละ1เม็ด
ผมเริ่มกินยาครั้งแรกตอนมื้อเที่ยง

วันที่ 7/9/2020
ผมตัดสินใจมาทำงานหวังว่าจะใช้ชีวิตให้ปกติ จะไม่คิดมาก พอช่วงสายๆ ผมมีอาการหนักขึ้น ปากแข็ง พูดลำบากขึ้น พูดไม่ชัด ลิ้นชา หน้าชา และตอนนี้ตาพร่ามัว แสบตา ผมจึงลองไปปรึกษาห้องพยาบาลของบริษัทอีกครั้ง เนื่องจากแสบตามากเลยอยากไปสอบถามคุณหมอว่าสามารถปิดตาได้หรือไม่ ? พยาบาลแนะนำให้ไปพบแพทย์อีกครั้งครับ
ซึ่งผมเองก็กังวลอยู่ไม่น้อย จึงอยากไปพบแพทย์อีกครั้ง เพื่อแจ้งอาการที่เป็นเพิ่มให้ทราบ และหวังจะสอบถามถึงอาการของโรค ผลข้างเคียง อาการที่อาจเกิดขึ้นได้อีก หรือขั้นตอนการรักษา การดูแลตัวเอง โดยผมลาพักร้อนครึ่งวันครับ

เมื่อไปถึง รพ. และเข้าห้องตรวจ พบคุณหมอผู้ชายท่านเดิม 
ผม : เมื่อพบคุณหมอก็ยกมือไหว้คุณหมอ 
คุณหมอ : ถามผมด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่าคุณพึ่งมาเมื่อวานจะมาทำไมอีก
ผม : บอกคุณหมอไปว่าจะแจ้งอาการที่เป็นมากขึ้นไป ตามที่ผมเล่าไว้ด้านบน 
คุณหมอ : พูดว่าอาการพวกนี้เป็นอาการของโรค คุณกินยาวันเดียววันไม่ดีขึ้นหรอก คุณเล่นมารายวันแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

"พอได้ยินปุ๊บก็งงมาก พร้อมคิดในใจว่าถ้ารู้ก็ไม่ต้องมาหาหมอให้เสียวันลาพักร้อนแล้วสิ คงรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หมอก็ไม่ได้เคยอธิบายอะไรให้ฟังเลย เราจะรู้ได้ไง" แต่ด้วยผมยังอยากรักษา อยากหาย เลยตั้งสติและบอกคุณหมอไปว่า

ผม : คุณหมอช่วยบอกอาการของโรคที่มันจะต้องเกิด แล้วมันยังไม่เกิดขึ้นกับผมได้ไหม หากมันเกิดกับผมอีกผมจะได้ไม่กังวล
คุณหมอ : บอกว่าก็กินยาไป2อาทิตย์แล้วมาดูอาการถ้าไม่ดีขึ้นก็รักษาแบบอื่น หมอบอกแล้วไงว่า ยารักษาได้ 50%
ผม : ก็ถามคุณหมออีกครั้งว่า คุณหมอจะไม่อธิบายรายละเอียดหรือครับ 
คุณหมอ : พูดว่า "คุณคงไม่เหมาะจะรักษาที่นี่" "ผมคงรักษาให้คุณตามที่คุณต้องการไม่ได้"
ผม :  คุณหมอคิดว่าผมต้องการอะไรครับ (ที่ถามแบบนี้เพราะงงว่า สิ่งที่ผมต้องการ มันมากเกินไป และมันไม่จำเป็นใช่ไหม?)
คุณหมอจึงตอบกลับว่า "ผมไม่คุยกับคุณแล้ว"
ผม : จึงถามคุณหมออีกครั้งว่า ตกลงอาการตาพร่า มองไม่ชัดของผม ไม่ต้องรักษาใช่ไหมครับ
คุณหมอ : จึงแจ้งว่าจะให้ไปหาหมอตา
ผม : ผมยังคงอึ้งกับคำพูดคุณหมอ เลยคิดว่านี่เราจะต้องไปรักษาที่ไหน จึงถามคุณหมอว่าหมอตาที่ รพ. นี้ใช่ไหมครับ?
คุณหมอ : ตอบกลับหรือป่าว หรือไม่ตอบผมจำไม่ได้แล้ว แต่ได้ยินแค่ว่า คุณหมอเชิญผมออกจากห้องอีกครั้ง 
ผม : จึงออกจากห้องมา

ผมจึงคิดว่าที่เราผิดอะไร ทำไมถึงเจอเหตุการณ์แบบนี้ และความรู้สึกที่ว่า ทำไมคุณหมอไม่อธิบายว่าโรคนี้คืออะไร ขั้นตอนรักษาคืออะไร 
ผลข้างเคียงของยา อาการที่อาจจะเกิดขึ้นอีก หรืออีกมากมายที่คนเป็นแพทย์จะต้องอธิบายให้คนไข้ฟัง 
ผมเป็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตนะ ไม่ใช่เอารถไปซ่อมที่อู่แล้วช่างเปลี่ยนอะไหล่ให้แล้วกลับบ้าน นี่มันชีวิตผมนะ ถ้าปากเบี้ยวไปตลอดจะทำอย่างไร 
ถ้ายังรักษากับหมอคนนี้อยู่ผมคงมีโรคทางจิตเพิ่มแน่ๆ ผมจึงไปแจ้งที่เคาเตอร์พยาบาล ว่าอยากเปลี่ยนคุณหมอ 
และขอร้องเรียนคุณหมอไว้ด้วย พร้อมทั้งเล่าเรื่องให้ฟัง สักพักคุณพยาบาลแจ้งว่า คุณหมอตาไม่อยู่ให้มาพบพรุ้งนี้สะดวกไหม   
ผมยังไม่ทันตอบอะไร คุณพยาบาลก็ติดต่อคุณหมอตาอีกครั้ง ในขณะนั้นเวลาประมาณ 15.00 น. ได้ความว่าคุณหมอตา กำลังเดินทางมาจาก กทม. จะถึง รพ. ประมาณ 15.30-15.45 น. จะรอไหม ซึ่งผมตกลงรอ เพราะผมไม่ได้อยากมีเรื่อง ไม่ได้อยากทะเลาะกับใคร ผมแค่อยากหาย เรื่องพบคุณหมอตาเป็นปกติมากครับ คุณหมอแนะนำดีมากครับ ว่าอาการที่เกิดที่ตาเกิดจากตาปกติมันมีการกระพริบ ทำให้ตาไม่แห้ง แล้วโรคที่ผมเป็นทำให้ตาผมไม่กระพริบ จึงทำให้ตาแห้ง ปล่อยไว้จะอักเสบ คุณหมอจะจ่ายน้ำตาเทียมแบบเจลให้เพื่อที่จะได้อยู่ได้นานๆ และแนะนำให้ใส่แว่นกันลม กันแสง เมื่อเสร็จก็ได้ไปรับยา และรับใบนัดกลับมาหาคุณหมออีกท่านในวันพรุ้งนี้ (8/9/2020) เวลาประมาณ 17.00-19.00น.

สิ่งที่ผมเจอ คือผม งง มากนะ? เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จักโรคนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยสภาพหน้าผมมันไม่ใช่แค่หมอให้กินยาแล้วจะหายไปเฉยๆ
ในระยะสั้นๆ เหมือนไข้หวัดแน่ ผมคิดว่าคุณหมอควรจะต้องอธิบายอะไรมากว่าแค่กินยา 2 อาทิตย์แล้วไปหาหมอเพื่อที่จะดูว่าหายไหม?

หรือที่ผมไม่เหมาะจะรักษาที่ รพ. นี้เพราะผม "ใช้ประกันสังคม"

ปล.ผมได้แก้คำผิด และขยายคำบางประโยคครับ 1 ครั้ง เวลา 10.17 น. 08/09/2020 ครับ
ปล.ผมได้แก้รูปของผมทั้ง 2 รูปโดยเซนเซอร์เสื้อทำงานครับ 1 ครั้ง เวลา 10.35 น. 08/09/2020 ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่