“
อิศรา” เปิดที่มา “การบินไทย” เจ๊ง 6.2 หมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ได้เปิดเผยรายงานเรื่องการจัดซื้อยุค “สุริยะ” แอร์บัส 10 ลำ ก่อน “ถาวร” ชี้ ต้นเหตุ “การบินไทย” เจ๊ง 6.2 หมื่นล้าน โดยระบุว่า "สะเทือนไปทั้งการบินไทย หลัง ถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการบริหารกิจการของบริษัท และปัญหาการทุจริต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดทำโดยคณะทำงานฯ ที่มี พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช เป็นประธานคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ระบุว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบปัญหาขาดทุน มาจากการจัดซื้อเครื่องบินแบบพิสัยไกลพิเศษ รุ่นแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ มูลค่าตามบัญชี ณ วันส่งมอบ 53,043.04 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจในช่วงปี 2546-2547
พร้อมระบุรายละเอียดว่า เครื่องบินแอร์บัสทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว เริ่มทำการบินตั้งแต่เดือน ก.ค.2548 ถึง 7 ม.ค.2556 ในเส้นทางบินตรงกรุงเทพ-นิวยอร์ก ,กรุงเทพ-ลอสแองเจลิส และเส้นทางอื่นๆ รวม 51 เส้นทาง แต่ประสบปัญหาขาดทุนในทุกเส้นทางที่ทำการบินไม่น้อยกว่า 39,859.52 ล้านบาท
เฉพาะเส้นทางบินตรงกรุงเทพ-นิวยอร์ก และกรุงเทพ-ลอสแองเจลิส ขาดทุนรวมเป็นเงินถึง 12,496.55 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 เป็นเครื่องบินแบบพิสัยไกลพิเศษ ใช้เครื่องยนต์ 4 เครื่องยนต์ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานสูง แต่มีจำนวนที่นั่งน้อย
ขณะเดียวกัน เครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 ดังกล่าว มีการใช้งานไม่คุ้มค่า โดยใช้งานได้เพียง 6-10 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุการใช้งานเครื่องบินโดยทั่วไปที่กำหนดไว้ 20 ปี ปัจจุบันเครื่องบินดังกล่าวได้ปลดระวางแล้ว อยู่ระหว่างการจอดรอจำหน่าย ทำให้บริษัท การบินไทย ขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องบินไม่ต่ำกว่า 22,943.97 ล้านบาท
คณะทำงานฯสรุปว่า เมื่อนำผลขาดทุนจากการจัดซื้อและการบริหารจัดการเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ มารวมกัน ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบภาวะการขาดทุนรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 62,803.49 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะทำงานฯ ยังพบว่าเครื่องยนต์อะไหล่ที่จัดซื้อสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 คือ เครื่องยนต์อะไหล่รุ่น Trent-500 จำนวน 7 เครื่อง ซึ่งจัดซื้อในปี 2546 เป็นต้นมา และทยอยส่งมอบอะไหล่ตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 ถึงเดือนธ.ค.2550 วงเงินรวม 3,523.17 ล้านบาท (อะไหล่เครื่องละ 503.31 ล้านบาท) แต่ยังไม่เคยมีการนำมาใช้งานแต่อย่างใด
อีกทั้งเครื่องบินแอร์บัส A340-500 ทะเบียน 775/HS-TLD ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องที่ปลดระวางและจอดจำหน่าย พบปัญหาการละเลย ไม่รอบคอบ ไม่ใส่ใจของผู้ดูแลบำรุงรักษา ทำให้เครื่องยนต์ทั้ง 4 เครื่องยนต์เสียหาย และต้องให้บริษัท Rolls Royce ซ่อมแซม โดยมีค่าซ่อมรวม 20 ล้านเหรียญ หรือ 600 ล้านบาท
และไม่ปรากฏว่า บริษัท การบินไทย ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาผู้รับผิดชอบทั้งทางแพ่ง อาญา และวินัย ต่อกรณีเครื่องยนต์ 4 เครื่องของเครื่องบิน A340-500 ได้รับความเสียหาย แต่อย่างใด
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) พบว่า นอกจากการการจัดซื้อเครื่องบิน A340-500 และ A340-600 จะทำให้บริษัท การบินไทย ประสบกับปัญหาแล้ว รายงานผลการตรวจสอบฯ ยังพบว่า บริษัท การบินไทย ยังมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสภาพเครื่องบินทั้ง 2 รุ่น เป็นเงินอีก 1,344.87 ล้านบาท
แบ่งเป็นการเข้าร่วมโครงการ Total Care Agreement (TCA) ของเครื่องยนต์ Trent-500 ที่ติดตั้งกับเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2550 โดยมีระยะซ่อมบำรุงระหว่างปี 2548-2558 มูลค่า 1,129.60 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงระหว่างปี 2559-2560 (ณ เดือน ม.ค.2560) อีก 215.27 ล้านบาท
“ปัญหาสำคัญอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้การดูแลรักษาสภาพเครื่องบิน A340-500 และ A340-600 มีค่าใช้จ่ายสูง เกิดจากเจ้าหน้าที่ขาดความคร่งครัดในการดูแลรักษาสภาพเครื่องบินตามคู่มือการซ่อมบำรุง และการบินไทยขาดการสอบทานและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทำให้เครื่องบินไม่สามารถจำหน่าย/ขายให้ผู้ซื้อได้” รายงานผลการตรวจสอบฯ ระบุ
ไม่เพียงเท่านั้น การจัดหาเครื่องฝึกจำลอง (Flight Simulator) สำหรับเครื่องบินแบบ A340 จำนวน 1 เครื่อง มูลค่า 688.09 ล้านบาท และต่อมาในเดือนธ.ค.2557 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเครื่องฝึกบินจำลองให้สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องบินแบบแอร์บัส A-330 และ A-340 อีก 144.61 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 832.7 ล้านบาทนั้น
"อาจมีการใช้งานไม่คุ้มค่ากับเงินลงทุน เพราะบริษัทฯมีรายได้จากการให้สายการบินอื่นเช่าเครื่องฯเพียง 4.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 160.90 ล้านบาท" ผลการตรวจสอบฯ ระบุ
จึงเท่ากับว่า การจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ การจัดหาอะไหล่ที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ และลงทุนที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจไม่คุ้มค่า ตลอดจนข้อบกพร่องในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน ทำให้บริษัท การบินไทย เสียหายไม่ต่ำกว่า 68,271.53 ล้านบาท
ที่สำคัญจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถติดตามได้ว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายในครั้งนี้เป็นใครบ้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีรายงานการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 ที่ระบุว่า
“ผู้บริหารบริษัท การบินไทย ไม่ให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเคร่งครัด จริงจัง โดยไม่ได้มีการพิจารณาในการนำความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลัง ไปประกอบการดำเนินการจัดซื้อเครื่องบิน”
อย่างไรก็ดี สำนักข่าวอิศรา ได้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) พบว่า ในช่วงปี 2546-47 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำนวน 2 ล็อตใหญ่ จัดซื้อในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยมี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.
ล็อตแรก เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2546 ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี 2545/46-2549/50 ตามที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บกท. และ สุริยะ เสนอ โดยให้บริษัทฯได้ยกเลิกการจัดหาเครื่องบินพิสัยกลาง 1 ลำ ตามโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2543/44-2547/48
และให้บริษัทฯ จัดหาเครื่องบินเพิ่มเติมจำนวน 15 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินแบบ B747-400 ใช้แล้วของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ 7 ลำ เครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินแบบ A340-600 จำนวน 5 ลำ ในวงเงินลงทุน 58,324 ล้านบาท
สำหรับเครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินแบบ A340-600 จำนวน 5 ลำนั้น บกท. ทยอยรับมอบเครื่องบินแรกในเดือนมิ.ย.2548 และส่งมอบเครื่องสุดท้ายในเดือน ต.ค.2548 คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 41,609 ล้านบาท โดยมีราคาเครื่องละ 4,898-5,098 ล้านบาท
ล็อตที่สอง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2547 ครม.มีมติอนุมัติในหลักการให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี 2548/49-2552/53 จำนวน 14 ลำ วงเงินลงทุน 96,355 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินแอร์บัส A340-500 จำนวน 1 ลำ และแบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ
“…1.1 ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม) ได้มีมติเมื่อวันลที่ 5 สิงหาคม 2546 ให้ บกท. ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2545/2546-2549/2550 เพื่อจัดหาเครื่องบินเพิ่มเติม จำนวน 15 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินใช้แล้ว แบบ B747-400 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ จำนวน 7 ลำ เครื่องบิน แบบ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินแบบ A340 - 600 จำนวน 5 ลำ
แต่ บกท. ไม่สามารถรับมอบเครื่องบินใช้แล้วแบบ B747-400 จำนวน 7 ลำ ทำให้ บกท. ไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตในปี 2546/47-2547/48 บกท. จึงได้เลื่อนการรับมอบเครื่องบินแบบ A340-500/600 ให้เร็วขึ้น และปรับปรุงแผนวิสาหกิจฉบับเดิม (ปี 2545/46-2549/50) เป็นแผนวิสาหกิจฉบับใหม่ ปี 2548/49-2552/53
1.2 บกท. จึงเสนอโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49-2552/53 เพื่อ คค.พิจารณานำเสนอ ครม. เพื่อขออนุมัติ
1) ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49-2552/53 ของ บกท.จำนวน 14 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินพิสัยไกลขนาดใหญ่มาก แบบ A380 จำนวน 6 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ แบบ A340-500 จำนวน 1 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ
และเครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ B777-200 ER จำนวน 6 ลำ ในวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 96,355 ล้านบาท โดยจะลงทุนในปี 2547-2548 จำนวน 7,818 ถ้านบาท…” เอกสารข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมประกอบการประชุมครม.เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2547 ระบุ
บกท. ระบุด้วยว่า การรับมอบเครื่องบินเครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ แบบ A340-500 จำนวน 1 ลำ เงินลงทุน 5,748 ล้านบาท จะมีขึ้นในเดือนต.ค.2550 และการรับมอบเครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ เงินลงทุน 6,179 ล้านบาท จะมีขึ้นในเดือนต.ค.2551
ขณะเดียวกัน เอกสารของกระทรวงคมนาคม ยังระบุถึงความจำเป็นของโครงการดังกล่าวว่า “ในแผนวิสาหกิจปี 2548/49-2552/53 บกท.ได้วางเป้าหมายที่จะทำให้ บกท. เป็นสายการบินชั้นนำของโลก โดยจะขยายเส้นทางบินเชิงกลยุทธ์ทั้งเส้นทางข้ามทวีปและภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค..."
แม้ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบริหารกิจการ และปัญหาการทุจริต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ของคณะทำงานฯที่ ถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม แต่งตั้งขึ้น ชี้ประเด็นว่า ‘ปฐมบท’ ที่ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบปัญหาขาดทุน มาจากการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ ในขณะที่การจัดซื้อเครื่องบินทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงแหน่งรมว.คมนาคม เมื่อ 17-18 ปีที่แล้ว
แต่จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ยังไม่สามารถ 'ตัดสิน' ได้ว่าการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัสทั้ง 10 ลำ เป็นการตัดสินใจที่ ‘ผิดพลาด’ ทางนโยบายหรือไม่ และบุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ อย่างไร
https://siamrath.co.th/n/179982
รู้สึกปวดหัวแทนลุงตู่ที่ต้องมาแก้ปัญหาในยุคก่อนๆแทบทุกเรื่อง..
❄❄❄มาลาริน/อิศราเปิดข้อมูลบินไทยเจ๊ง 6.2 หมื่นล้าน ยุคทักษิณ
“อิศรา” เปิดที่มา “การบินไทย” เจ๊ง 6.2 หมื่นล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ได้เปิดเผยรายงานเรื่องการจัดซื้อยุค “สุริยะ” แอร์บัส 10 ลำ ก่อน “ถาวร” ชี้ ต้นเหตุ “การบินไทย” เจ๊ง 6.2 หมื่นล้าน โดยระบุว่า "สะเทือนไปทั้งการบินไทย หลัง ถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม แถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงในการบริหารกิจการของบริษัท และปัญหาการทุจริต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดทำโดยคณะทำงานฯ ที่มี พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช เป็นประธานคณะทำงานฯ เมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ระบุว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบปัญหาขาดทุน มาจากการจัดซื้อเครื่องบินแบบพิสัยไกลพิเศษ รุ่นแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ มูลค่าตามบัญชี ณ วันส่งมอบ 53,043.04 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจในช่วงปี 2546-2547
พร้อมระบุรายละเอียดว่า เครื่องบินแอร์บัสทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว เริ่มทำการบินตั้งแต่เดือน ก.ค.2548 ถึง 7 ม.ค.2556 ในเส้นทางบินตรงกรุงเทพ-นิวยอร์ก ,กรุงเทพ-ลอสแองเจลิส และเส้นทางอื่นๆ รวม 51 เส้นทาง แต่ประสบปัญหาขาดทุนในทุกเส้นทางที่ทำการบินไม่น้อยกว่า 39,859.52 ล้านบาท
เฉพาะเส้นทางบินตรงกรุงเทพ-นิวยอร์ก และกรุงเทพ-ลอสแองเจลิส ขาดทุนรวมเป็นเงินถึง 12,496.55 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 เป็นเครื่องบินแบบพิสัยไกลพิเศษ ใช้เครื่องยนต์ 4 เครื่องยนต์ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานสูง แต่มีจำนวนที่นั่งน้อย
ขณะเดียวกัน เครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 ดังกล่าว มีการใช้งานไม่คุ้มค่า โดยใช้งานได้เพียง 6-10 ปี ซึ่งต่ำกว่าอายุการใช้งานเครื่องบินโดยทั่วไปที่กำหนดไว้ 20 ปี ปัจจุบันเครื่องบินดังกล่าวได้ปลดระวางแล้ว อยู่ระหว่างการจอดรอจำหน่าย ทำให้บริษัท การบินไทย ขาดทุนจากการด้อยค่าเครื่องบินไม่ต่ำกว่า 22,943.97 ล้านบาท
คณะทำงานฯสรุปว่า เมื่อนำผลขาดทุนจากการจัดซื้อและการบริหารจัดการเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ มารวมกัน ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบภาวะการขาดทุนรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 62,803.49 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะทำงานฯ ยังพบว่าเครื่องยนต์อะไหล่ที่จัดซื้อสำหรับเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 คือ เครื่องยนต์อะไหล่รุ่น Trent-500 จำนวน 7 เครื่อง ซึ่งจัดซื้อในปี 2546 เป็นต้นมา และทยอยส่งมอบอะไหล่ตั้งแต่เดือนธ.ค.2557 ถึงเดือนธ.ค.2550 วงเงินรวม 3,523.17 ล้านบาท (อะไหล่เครื่องละ 503.31 ล้านบาท) แต่ยังไม่เคยมีการนำมาใช้งานแต่อย่างใด
อีกทั้งเครื่องบินแอร์บัส A340-500 ทะเบียน 775/HS-TLD ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องที่ปลดระวางและจอดจำหน่าย พบปัญหาการละเลย ไม่รอบคอบ ไม่ใส่ใจของผู้ดูแลบำรุงรักษา ทำให้เครื่องยนต์ทั้ง 4 เครื่องยนต์เสียหาย และต้องให้บริษัท Rolls Royce ซ่อมแซม โดยมีค่าซ่อมรวม 20 ล้านเหรียญ หรือ 600 ล้านบาท
และไม่ปรากฏว่า บริษัท การบินไทย ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาผู้รับผิดชอบทั้งทางแพ่ง อาญา และวินัย ต่อกรณีเครื่องยนต์ 4 เครื่องของเครื่องบิน A340-500 ได้รับความเสียหาย แต่อย่างใด
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) พบว่า นอกจากการการจัดซื้อเครื่องบิน A340-500 และ A340-600 จะทำให้บริษัท การบินไทย ประสบกับปัญหาแล้ว รายงานผลการตรวจสอบฯ ยังพบว่า บริษัท การบินไทย ยังมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสภาพเครื่องบินทั้ง 2 รุ่น เป็นเงินอีก 1,344.87 ล้านบาท
แบ่งเป็นการเข้าร่วมโครงการ Total Care Agreement (TCA) ของเครื่องยนต์ Trent-500 ที่ติดตั้งกับเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2550 โดยมีระยะซ่อมบำรุงระหว่างปี 2548-2558 มูลค่า 1,129.60 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายการซ่อมบำรุงระหว่างปี 2559-2560 (ณ เดือน ม.ค.2560) อีก 215.27 ล้านบาท
“ปัญหาสำคัญอีกกรณีหนึ่งที่ทำให้การดูแลรักษาสภาพเครื่องบิน A340-500 และ A340-600 มีค่าใช้จ่ายสูง เกิดจากเจ้าหน้าที่ขาดความคร่งครัดในการดูแลรักษาสภาพเครื่องบินตามคู่มือการซ่อมบำรุง และการบินไทยขาดการสอบทานและติดตามการดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทำให้เครื่องบินไม่สามารถจำหน่าย/ขายให้ผู้ซื้อได้” รายงานผลการตรวจสอบฯ ระบุ
ไม่เพียงเท่านั้น การจัดหาเครื่องฝึกจำลอง (Flight Simulator) สำหรับเครื่องบินแบบ A340 จำนวน 1 เครื่อง มูลค่า 688.09 ล้านบาท และต่อมาในเดือนธ.ค.2557 บริษัทฯ ได้ปรับปรุงเครื่องฝึกบินจำลองให้สามารถใช้ได้ทั้งเครื่องบินแบบแอร์บัส A-330 และ A-340 อีก 144.61 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 832.7 ล้านบาทนั้น
"อาจมีการใช้งานไม่คุ้มค่ากับเงินลงทุน เพราะบริษัทฯมีรายได้จากการให้สายการบินอื่นเช่าเครื่องฯเพียง 4.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 160.90 ล้านบาท" ผลการตรวจสอบฯ ระบุ
จึงเท่ากับว่า การจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ การจัดหาอะไหล่ที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ และลงทุนที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจไม่คุ้มค่า ตลอดจนข้อบกพร่องในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน ทำให้บริษัท การบินไทย เสียหายไม่ต่ำกว่า 68,271.53 ล้านบาท
ที่สำคัญจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถติดตามได้ว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายในครั้งนี้เป็นใครบ้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีรายงานการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับการจัดหาเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 ที่ระบุว่า
“ผู้บริหารบริษัท การบินไทย ไม่ให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเคร่งครัด จริงจัง โดยไม่ได้มีการพิจารณาในการนำความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลัง ไปประกอบการดำเนินการจัดซื้อเครื่องบิน”
อย่างไรก็ดี สำนักข่าวอิศรา ได้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) พบว่า ในช่วงปี 2546-47 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำนวน 2 ล็อตใหญ่ จัดซื้อในรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยมี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคมในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามเสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.
ล็อตแรก เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2546 ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี 2545/46-2549/50 ตามที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ บกท. และ สุริยะ เสนอ โดยให้บริษัทฯได้ยกเลิกการจัดหาเครื่องบินพิสัยกลาง 1 ลำ ตามโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2543/44-2547/48
และให้บริษัทฯ จัดหาเครื่องบินเพิ่มเติมจำนวน 15 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินแบบ B747-400 ใช้แล้วของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ 7 ลำ เครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินแบบ A340-600 จำนวน 5 ลำ ในวงเงินลงทุน 58,324 ล้านบาท
สำหรับเครื่องบินแบบ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินแบบ A340-600 จำนวน 5 ลำนั้น บกท. ทยอยรับมอบเครื่องบินแรกในเดือนมิ.ย.2548 และส่งมอบเครื่องสุดท้ายในเดือน ต.ค.2548 คิดเป็นเงินลงทุนทั้งสิ้น 41,609 ล้านบาท โดยมีราคาเครื่องละ 4,898-5,098 ล้านบาท
ล็อตที่สอง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2547 ครม.มีมติอนุมัติในหลักการให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจปี 2548/49-2552/53 จำนวน 14 ลำ วงเงินลงทุน 96,355 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินแอร์บัส A340-500 จำนวน 1 ลำ และแบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ
“…1.1 ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม) ได้มีมติเมื่อวันลที่ 5 สิงหาคม 2546 ให้ บกท. ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2545/2546-2549/2550 เพื่อจัดหาเครื่องบินเพิ่มเติม จำนวน 15 ลำ ประกอบด้วยเครื่องบินใช้แล้ว แบบ B747-400 ของสายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ จำนวน 7 ลำ เครื่องบิน แบบ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบินแบบ A340 - 600 จำนวน 5 ลำ
แต่ บกท. ไม่สามารถรับมอบเครื่องบินใช้แล้วแบบ B747-400 จำนวน 7 ลำ ทำให้ บกท. ไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตในปี 2546/47-2547/48 บกท. จึงได้เลื่อนการรับมอบเครื่องบินแบบ A340-500/600 ให้เร็วขึ้น และปรับปรุงแผนวิสาหกิจฉบับเดิม (ปี 2545/46-2549/50) เป็นแผนวิสาหกิจฉบับใหม่ ปี 2548/49-2552/53
1.2 บกท. จึงเสนอโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49-2552/53 เพื่อ คค.พิจารณานำเสนอ ครม. เพื่อขออนุมัติ
1) ดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินตามแผนวิสาหกิจ ปี 2548/49-2552/53 ของ บกท.จำนวน 14 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินพิสัยไกลขนาดใหญ่มาก แบบ A380 จำนวน 6 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ แบบ A340-500 จำนวน 1 ลำ เครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ
และเครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ B777-200 ER จำนวน 6 ลำ ในวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 96,355 ล้านบาท โดยจะลงทุนในปี 2547-2548 จำนวน 7,818 ถ้านบาท…” เอกสารข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมประกอบการประชุมครม.เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2547 ระบุ
บกท. ระบุด้วยว่า การรับมอบเครื่องบินเครื่องบินพิสัยไกลพิเศษ แบบ A340-500 จำนวน 1 ลำ เงินลงทุน 5,748 ล้านบาท จะมีขึ้นในเดือนต.ค.2550 และการรับมอบเครื่องบินพิสัยไกลขนาดกลาง แบบ A340-600 จำนวน 1 ลำ เงินลงทุน 6,179 ล้านบาท จะมีขึ้นในเดือนต.ค.2551
ขณะเดียวกัน เอกสารของกระทรวงคมนาคม ยังระบุถึงความจำเป็นของโครงการดังกล่าวว่า “ในแผนวิสาหกิจปี 2548/49-2552/53 บกท.ได้วางเป้าหมายที่จะทำให้ บกท. เป็นสายการบินชั้นนำของโลก โดยจะขยายเส้นทางบินเชิงกลยุทธ์ทั้งเส้นทางข้ามทวีปและภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค..."
แม้ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบริหารกิจการ และปัญหาการทุจริต บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ของคณะทำงานฯที่ ถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม แต่งตั้งขึ้น ชี้ประเด็นว่า ‘ปฐมบท’ ที่ทำให้บริษัท การบินไทย ประสบปัญหาขาดทุน มาจากการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัส A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ ในขณะที่การจัดซื้อเครื่องบินทั้ง 2 รุ่นดังกล่าว เกิดขึ้นในสมัยที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงแหน่งรมว.คมนาคม เมื่อ 17-18 ปีที่แล้ว
แต่จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ยังไม่สามารถ 'ตัดสิน' ได้ว่าการจัดซื้อเครื่องบินแอร์บัสทั้ง 10 ลำ เป็นการตัดสินใจที่ ‘ผิดพลาด’ ทางนโยบายหรือไม่ และบุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ อย่างไร
https://siamrath.co.th/n/179982
รู้สึกปวดหัวแทนลุงตู่ที่ต้องมาแก้ปัญหาในยุคก่อนๆแทบทุกเรื่อง..