Apep
ในปี 2018 นักดาราศาสตร์ชาวซิดนีย์ได้ค้นพบระบบดาวที่ไม่เหมือนใครซึ่งอยู่ห่างออกไป 8000 ปีแสงซึ่งกำลังจะระเบิดในซูเปอร์โนวา
นักดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์กับทีมของเขากล่าวว่านี่เป็นระบบดาวดวงแรกที่รู้จักกันในกาแลคซีทางช้างเผือกเพื่อผลิตสิ่งที่เรียกว่า "การระเบิดรังสีแกมมา" ซึ่งเป็นระเบิดที่มีพลังมหาศาล
มันตั้งอยู่ในกลุ่มดาวเนปจูนและเป็นระบบสามดาวซึ่งประกอบด้วยดาว Wolf-Rayet และดาวฤกษ์ขนาดใหญ่สองดวง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ
2XMM J160050.7-514245 ได้รับฉายาว่า Apep ตามเทพเจ้าแห่งความโกลาหลของอียิปต์ (งูขนาดใหญ่ที่แสดงถึงความชั่วร้ายและความโกลาหลศัตรูนิรันดร์ของเทพเจ้าดวงอาทิตย์รา)
เมื่อดาว Wolf-Rayet ตายมันจะเกิดซุปเปอร์โนวาและปล่อยรังสีแกมม่าที่ทรงพลังมาก เป็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังที่สุดของการแผ่รังสีของอนุภาคที่มีพลังในจักรวาลที่ไม่เคยมีการสังเกตมาก่อนในทางช้างเผือก การปะทุดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการค้นพบของนักดาราศาสตร์ซิดนีย์จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
Wolf-Rayet Star เป็นดาวมวลสูง โดยทั่วไปแล้วมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 25 เท่า (หรือระหว่าง 10-40 เท่า) มีอุณหภูมิสูงเฉลี่ย 25,000 เคลวิน มีความส่องสว่างสูงถึงหนึ่งล้านเท่าของดวงอาทิตย์ และเผาผลาญเชื้อเพลิงตนเองอย่างรวดเร็ว ด้านเปลือกผิวเต็มไปด้วยไฮโดรเจน ความรุนแรงทำให้เกิดกระแสพายุร้อนจัด ขับเคลื่อนด้วยแรงดันรังสี มากกว่าดวงอาทิตย์ของเราถึง 10 เท่า และมีความเร็วสูงถึง 3,000 กม. / วินาที โดยดาวเหล่านี้พัฒนาไปสู่วาระสุดท้ายหมดอายุขัย ภายในไม่กี่ล้านปีด้วยการระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา หรือระเบิดเป็นรังสีแกมมา พังทลายลงจบชีวิตด้วยการระเบิดอันน่าตื่นเต้น
ดาววูล์ฟ-ราเยท์ เป็นวัตถุที่หายาก มีลักษณะสืบเชื้อสายมาจากดาวโบราณ ประเภท O พบจำนวนเพียง 220 ดวงในกาแล็คซี่ของเรา แต่นักดาราศาสตร์ประเมินว่าทางช้างเผือกอาจมีวัตถุประเภทนี้ระหว่าง 1,000 ถึง 2,000 ดวงส่วนใหญ่หลบซ่อนอยู่ในเนบิวล่าฝุ่นหมอกทึบ
Cr.
https://www.facebook.com/sunflowerCSR/posts/2351311044919819/sunflowercosmos.org
The Goblin
นักดาราศาสตร์กำลังค้นหาคือสิ่งที่เรียกว่า "Ninth Planet" ซึ่งอาจมีขนาดใหญ่มากและอยู่นอกระบบสุริยะ อย่างน้อยถ้าเป็นไปตามสมมติฐานนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งนี้
ในปี 2018 นักดาราศาสตร์ค้นพบว่าในส่วนด้านนอกของระบบสุริยะ วัตถุพ้นดาวเนปจูน (transneptunian) นั้นได้รับอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงที่แปลกประหลาดของแหล่งที่ไม่รู้จัก นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแหล่งนี้อาจจะเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้า
สหพันธ์อวกาศสากล (IAU) ได้ยืนยันการค้นพบดาวเคราะห์แคระดวงใหม่บริเวณระบบสุริยะชั้นนอก ชื่อว่า 2015 TG387 หรือ "The Goblin" โดยตั้งชื่อนี้เพราะ นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่สังเกตเห็นดาวดวงนี้พบมันในช่วงฮาโลวีนปี 2015 แต่เพิ่งได้รับการเปิดเผย มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 300 ก.ม. เคลื่อนที่ช้ามากและโคจรเป็นวงรีมากๆ ทำให้ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึงรอบละ 40,000 ปี เนื่องจากวัตถุตั้งอยู่ที่ปลายสุดของระบบสุริยะเราสามารถเห็นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรทั้งหมด
การค้นพบ The Goblin เป็นเหตุการณ์สำคัญ เพราะช่วยหนุนสันนิษฐานที่ว่ามีดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีกดวงซ่อนอยู่ในระบบสุริยะชั้นนอก นักดาราศาสตร์เรียกกันว่า Planet X หรือ Planet Nine โดยเชื่อว่าใหญ่กว่าโลกราว 10 เท่าและคอยส่งอิทธิพลต่อวงโคจรของวัตถุชั้นนอก แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครค้นพบจริงๆ
Cr.
https://twitter.com/benwonx/status/1047800131519537152
Dark Matter Hurricane
การคำนวณล่าสุดของนักดาราศาสตร์พบว่า มีกระแสของกลุ่มสสารมืด (Dark matter) ที่มองไม่เห็นและไม่อาจจะรู้สึกได้ด้วยการสัมผัส กำลังพุ่งผ่านทางช้างเผือกมุ่งตรงมายังโลกและระบบสุริยะด้วยความเร็วถึง 500 กม./วินาที คล้ายกับพายุเฮอริเคนที่มีความรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง การค้นพบดังกล่าวมาจากข้อมูลของกล้องโทรทรรศน์อวกาศกายอา (Gaia) ซึ่งตรวจพบว่าสายธารของกลุ่มดาวฤกษ์ (Stellar stream) ที่ชื่อว่า S1 ในกาแล็กซีทางช้างเผือก มีเส้นทางที่กำลังพุ่งเข้าปะทะกับระบบสุริยะอย่างจัง
สายธารของกลุ่มดาวฤกษ์ S1 ประกอบไปด้วยดาวฤกษ์ราว 30,000 ดวง ซึ่งเป็นส่วนที่หลงเหลืออยู่จากดาราจักรแคระที่ถูกทำลายในอดีต ก่อนจะถูกดึงดูดเข้ามารวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก
ดร.เซียราน โอแฮร์ นักฟิสิกส์ทฤษฎีจากมหาวิทยาลัยซาราโกซาของสเปน ตีพิมพ์รายงานดังกล่าวในวารสาร Physical Review D. โดยระบุว่า แม้การพุ่งชนของสายธารกลุ่มดาวฤกษ์ดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับโลกและระบบสุริยะ แต่อาจสันนิษฐานได้ว่าสายธารดังกล่าวได้พัดพาเอา "สสารมืด" ซึ่งเป็นโครงสร้างต้นกำเนิดของดาราจักรแคระในอดีตมาด้วย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่นักวิทยาศาสตร์จะได้พยายามตรวจจับและศึกษาสสารมืดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการตรวจจับสสารมืดได้โดยตรงมาก่อน จากผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า จักรวาลประกอบไปด้วยพลังงานและสสารธรรมดาเพียง 4% แต่มีสสารมืดอยู่ 26% และพลังงานมืดอีก 70% เท่ากับว่าจักรวาลประกอบไปด้วยสสารและพลังงานมืดถึง 96%
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-46239479
Mysterious Signal
เมื่อปี 2019 ได้มีวัตถุอวกาศปริศนาบางสิ่งภายในศูนย์กลางกาแล็กซี่ทางช้างเผือก ได้ส่งสัญญาณแปลกๆทำให้นักดาราศาสตร์อาจจะพอรู้คำตอบถึงสาเหตุนั้นแล้ว หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์ Fermi ในวงโคจรรอบระยะเวลาสิบปีรอบโลก มันแสดงให้เห็นว่าสัญญาณรังสีแกมมาสะท้อนตำแหน่งของดาวฤกษ์โบราณที่ใจกลางกาแลคซี
มันก่อตัวในรูป X ไม่ใช่ทรงกลมซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของสสารมืด ด้วยการสร้างแบบจำลองเพื่อสร้างกระบวนการขึ้นใหม่ทีมพบว่าคำอธิบายที่น่าเป็นไปได้มากกว่าคือการสะสมพัลซาร์มิลลิวินาที (ดาวนิวตรอนที่เคลื่อนที่เร็ว) มีอายุราว 10 พันล้านปี การปล่อยรวมกันของพวกมันเพื่อสร้างสัญญาณให้สสารมืด
ปัจจุบันภายใต้แผนใหม่กล้อง Fermi จะยังคงสแกนทุกจุดบนท้องฟ้าอย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อจัดลำดับความสำคัญของกาแลคซีทางช้างเผือกของเรา
กลยุทธ์ใหม่นี้สามารถช่วยให้กล้อง Fermi หาดาวหมุนรอบตัวได้มากขึ้นที่เรียกว่า pulsars โดยสังเกตเมฆบนเส้นทางชนกับหลุมดำมวลมหาศาลของกาแลคซีและบางทีอาจพบหลักฐานของสสารมืด
Cr.
https://th.yair-technologies.com/center-attention-space-telescope-may-hone-heart-milky-way-hunt-729975
Aliphatic hydrocarbon
ศ. ทิม ชมิดต์ หนึ่งในทีมผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย เปิดเผยว่า พบโมเลกุลของสารอะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอน (Aliphatic hydrocarbon ) ที่ล่องลอยในอวกาศ ในปริมาณมากกว่าที่เคยคาดไว้ โดยมีถึง 1 หมื่นล้านล้านล้านล้านล้านตันในกาแล็กซีทางช้างเผือก หรือเทียบเท่ากับปริมาณไขมันในเนยจำนวน 40 ล้านล้านล้านล้านล้านล้านก้อน (เลข 4 ตามด้วยเลขศูนย์ 37 ตัว)
ผลการค้นพบนี้ตีพิมพ์ในวารสารรายเดือนของราชสมาคมดาราศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน (MNRAS) โดยทีมผู้วิจัยระบุว่า อนุภาคฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ระหว่างดวงดาวนั้น ประกอบด้วยส่วนที่เป็นทั้งเถ้าเขม่า ซิลิกา และอนุภาคคาร์บอนที่คล้ายไขมัน โดยลมสุริยะคอยพัดให้ส่วนที่คล้ายไขมันล่องลอยไปมาอยู่ในระบบสุริยะของเรา
มีสัดส่วนของอนุภาคคาร์บอนที่เหมือนไขมันนี้อยู่เป็นจำนวน 100 อะตอม ต่อไฮโดรเจนทุก 1 ล้านอะตอมในกาแล็กซีทางช้างเผือก คิดเป็นปริมาณราว 25-50% ของคาร์บอนทั้งหมดในดาราจักรที่เราอาศัยอยู่
ผลการค้นพบนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ใกล้จะคำนวณปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในห้วงอวกาศได้ โดยถือเป็นข้อมูลสำคัญในการทำความเข้าใจวัฏจักรของคาร์บอนในระดับจักรวาล ซึ่งมีผลต่อกระบวนการก่อตัวของดวงดาวและกำเนิดสิ่งมีชีวิต
"ไขมันจากอนุภาคคาร์บอนชนิดนี้ ไม่ใช่แบบเดียวกับเนยที่เราเอามาทาขนมปังรับประทาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของฝุ่นละอองระหว่างดวงดาวที่สกปรกและเป็นพิษ โดยอนุภาคนี้จะเกิดขึ้นได้ในอวกาศและสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมภายในห้องทดลองเท่านั้น" ศ. ชมิดต์ กล่าว
Cr.
https://www.bbc.com/thai/international-44648688
v Indi
เมื่อราวๆ 10,000 ล้านปีที่แล้วกาแล็กซีทางช้างเผือกมีการชนกับกาแล็กซีขนาดเล็กกว่าชื่อไกอา-เอนเซลาดัส (Gaia-Enceladus) ปัจจุบันก็ยังเห็นดวงดาวจำนวนมากจากกาแล็กซีไกอา-เอนเซลาดัส ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าต้องมีผลกระทบอย่างมากต่อวิวัฒนาการกาแล็กซีทางช้างเผือก
ล่าสุด ดาวฤกษ์เดี่ยวในกลุ่มดาวอินเดียนแดง (constellation of Indus) ที่มองเห็นได้ทางซีกโลกใต้ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกใหม่เกี่ยวกับการชนในครั้งโบราณของ 2 กาแล็กซี
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาตินำโดยมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ในอังกฤษ เผยว่า ได้นำวิธีการแบบใหม่มาประยุกต์ใช้พิสูจน์ลักษณะทางนิติวิทยาศาสตร์ของดาวฤกษ์ที่เรียกว่า v Indi เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ของทางช้างเผือก ถือเป็นบันทึกซากดึกดำบรรพ์ที่จะให้คำตอบถึงสภาพแวดล้อมเมื่อก่อตัวขึ้น โดยทีมได้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะขององค์การนาซา คือดาวเทียมเทสส์ และกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินเพื่อปลดล็อกข้อมูลนี้
ทีมอธิบายว่าการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ v Indi ได้รับผลกระทบจากการชนของกาแล็กซีไกอา-เอนเซลาดัส และการชนจะต้องเกิดขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อดวงดาวก่อตัว นั่นคือวิธีที่จะสามารถใช้การสั่นกระเพื่อมบนผิวดาวฤกษ์ มาระบุอายุ ตำแหน่ง และขีดจำกัดใหม่ เมื่อเหตุการณ์ชนกับกาแล็กซีไกอา-เอนเซลาดัสเกิดขึ้น
Cr.
https://www.thairath.co.th/news/society/1750978
Gaia Enceladus
มันอาจฟังดูแปลก แต่ภายใน galaxy ของเราเป็นซากของดาราจักรอื่น ในปี 2019 นักดาราศาสตร์ศึกษาการเคลื่อนที่ของดาวในทางช้างเผือกและในงานวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่นี้พบว่าประมาณ 33,000 ดาวที่ไม่ได้อยู่ในกาแลคซีของเรา
นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุได้ด้วยการเคลื่อนที่ของดาวธรรมชาติ พบว่าดาวที่ค้นพบไม่ได้เป็นของทางช้างเผือกเนื่องจากพฤติกรรมของพวกมันไม่เหมือนกับดาวดวงอื่น ๆ ในระบบใกล้เคียง จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดมากขึ้นทำให้นักวิจัยสามารถค้นหาอายุและขนาดของกาแลคซีที่พวกมันอยู่จนกระทั่งพวกมันมาถึงทางช้างเผือก โดยนักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อมันว่า Gaia Enceladus
นักดาราศาสตร์ระบุว่า ในอดีตกาแลคซีของเราได้ดูดซับดาวของเพื่อนบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมีความหนามากขึ้น Gaia Enceladus ก็จะมีชะตากรรมเดียวกันโดยเมื่อประมาณ 10 พันล้านปีก่อนขนาดของมันเท่ากับ 1/5 เท่าของทางช้างเผือกเท่านั้น ตอนนี้ซากดาวของกาแลคซีที่ถูกทำลายถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ส่วนใหญ่กลายเป็นรัศมีของทางช้างเผือก และก่อตัวเป็นแผ่นหนาด้วยทำให้รูปร่างทางช้างเผือกพองตัวขึ้น แต่ถ้าการกลืนกินนี้ไม่เกิดขึ้นกาแลคซีของเราอาจจะดูแตกต่างออกไปมาก
Cr.
https://www.space.com/42305-milky-way-absorbed-giant-dwarf-galaxy-gaia-enceladus.html
Cr.
https://vpchothuegoldenking.com/th/10-fresh-and-amazing-discoveries-related-to-the-milky-way-galaxy/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สิ่งมหัศจรรย์ล่าสุดที่ค้นพบในทางช้างเผือก
ในปี 2018 นักดาราศาสตร์ชาวซิดนีย์ได้ค้นพบระบบดาวที่ไม่เหมือนใครซึ่งอยู่ห่างออกไป 8000 ปีแสงซึ่งกำลังจะระเบิดในซูเปอร์โนวา
นักดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์กับทีมของเขากล่าวว่านี่เป็นระบบดาวดวงแรกที่รู้จักกันในกาแลคซีทางช้างเผือกเพื่อผลิตสิ่งที่เรียกว่า "การระเบิดรังสีแกมมา" ซึ่งเป็นระเบิดที่มีพลังมหาศาล
มันตั้งอยู่ในกลุ่มดาวเนปจูนและเป็นระบบสามดาวซึ่งประกอบด้วยดาว Wolf-Rayet และดาวฤกษ์ขนาดใหญ่สองดวง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ
2XMM J160050.7-514245 ได้รับฉายาว่า Apep ตามเทพเจ้าแห่งความโกลาหลของอียิปต์ (งูขนาดใหญ่ที่แสดงถึงความชั่วร้ายและความโกลาหลศัตรูนิรันดร์ของเทพเจ้าดวงอาทิตย์รา)
เมื่อดาว Wolf-Rayet ตายมันจะเกิดซุปเปอร์โนวาและปล่อยรังสีแกมม่าที่ทรงพลังมาก เป็นปรากฏการณ์ที่ทรงพลังที่สุดของการแผ่รังสีของอนุภาคที่มีพลังในจักรวาลที่ไม่เคยมีการสังเกตมาก่อนในทางช้างเผือก การปะทุดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการค้นพบของนักดาราศาสตร์ซิดนีย์จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
Wolf-Rayet Star เป็นดาวมวลสูง โดยทั่วไปแล้วมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 25 เท่า (หรือระหว่าง 10-40 เท่า) มีอุณหภูมิสูงเฉลี่ย 25,000 เคลวิน มีความส่องสว่างสูงถึงหนึ่งล้านเท่าของดวงอาทิตย์ และเผาผลาญเชื้อเพลิงตนเองอย่างรวดเร็ว ด้านเปลือกผิวเต็มไปด้วยไฮโดรเจน ความรุนแรงทำให้เกิดกระแสพายุร้อนจัด ขับเคลื่อนด้วยแรงดันรังสี มากกว่าดวงอาทิตย์ของเราถึง 10 เท่า และมีความเร็วสูงถึง 3,000 กม. / วินาที โดยดาวเหล่านี้พัฒนาไปสู่วาระสุดท้ายหมดอายุขัย ภายในไม่กี่ล้านปีด้วยการระเบิดเป็นซูเปอร์โนวา หรือระเบิดเป็นรังสีแกมมา พังทลายลงจบชีวิตด้วยการระเบิดอันน่าตื่นเต้น
ดาววูล์ฟ-ราเยท์ เป็นวัตถุที่หายาก มีลักษณะสืบเชื้อสายมาจากดาวโบราณ ประเภท O พบจำนวนเพียง 220 ดวงในกาแล็คซี่ของเรา แต่นักดาราศาสตร์ประเมินว่าทางช้างเผือกอาจมีวัตถุประเภทนี้ระหว่าง 1,000 ถึง 2,000 ดวงส่วนใหญ่หลบซ่อนอยู่ในเนบิวล่าฝุ่นหมอกทึบ
Cr.https://www.facebook.com/sunflowerCSR/posts/2351311044919819/sunflowercosmos.org
ในปี 2018 นักดาราศาสตร์ค้นพบว่าในส่วนด้านนอกของระบบสุริยะ วัตถุพ้นดาวเนปจูน (transneptunian) นั้นได้รับอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงที่แปลกประหลาดของแหล่งที่ไม่รู้จัก นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแหล่งนี้อาจจะเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้า
สหพันธ์อวกาศสากล (IAU) ได้ยืนยันการค้นพบดาวเคราะห์แคระดวงใหม่บริเวณระบบสุริยะชั้นนอก ชื่อว่า 2015 TG387 หรือ "The Goblin" โดยตั้งชื่อนี้เพราะ นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่สังเกตเห็นดาวดวงนี้พบมันในช่วงฮาโลวีนปี 2015 แต่เพิ่งได้รับการเปิดเผย มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 300 ก.ม. เคลื่อนที่ช้ามากและโคจรเป็นวงรีมากๆ ทำให้ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึงรอบละ 40,000 ปี เนื่องจากวัตถุตั้งอยู่ที่ปลายสุดของระบบสุริยะเราสามารถเห็นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรทั้งหมด
การค้นพบ The Goblin เป็นเหตุการณ์สำคัญ เพราะช่วยหนุนสันนิษฐานที่ว่ามีดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีกดวงซ่อนอยู่ในระบบสุริยะชั้นนอก นักดาราศาสตร์เรียกกันว่า Planet X หรือ Planet Nine โดยเชื่อว่าใหญ่กว่าโลกราว 10 เท่าและคอยส่งอิทธิพลต่อวงโคจรของวัตถุชั้นนอก แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครค้นพบจริงๆ
Cr.https://twitter.com/benwonx/status/1047800131519537152
สายธารของกลุ่มดาวฤกษ์ S1 ประกอบไปด้วยดาวฤกษ์ราว 30,000 ดวง ซึ่งเป็นส่วนที่หลงเหลืออยู่จากดาราจักรแคระที่ถูกทำลายในอดีต ก่อนจะถูกดึงดูดเข้ามารวมอยู่เป็นส่วนหนึ่งของกาแล็กซีทางช้างเผือก
ดร.เซียราน โอแฮร์ นักฟิสิกส์ทฤษฎีจากมหาวิทยาลัยซาราโกซาของสเปน ตีพิมพ์รายงานดังกล่าวในวารสาร Physical Review D. โดยระบุว่า แม้การพุ่งชนของสายธารกลุ่มดาวฤกษ์ดังกล่าวจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับโลกและระบบสุริยะ แต่อาจสันนิษฐานได้ว่าสายธารดังกล่าวได้พัดพาเอา "สสารมืด" ซึ่งเป็นโครงสร้างต้นกำเนิดของดาราจักรแคระในอดีตมาด้วย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่นักวิทยาศาสตร์จะได้พยายามตรวจจับและศึกษาสสารมืดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีการตรวจจับสสารมืดได้โดยตรงมาก่อน จากผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า จักรวาลประกอบไปด้วยพลังงานและสสารธรรมดาเพียง 4% แต่มีสสารมืดอยู่ 26% และพลังงานมืดอีก 70% เท่ากับว่าจักรวาลประกอบไปด้วยสสารและพลังงานมืดถึง 96%
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-46239479
มันก่อตัวในรูป X ไม่ใช่ทรงกลมซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของสสารมืด ด้วยการสร้างแบบจำลองเพื่อสร้างกระบวนการขึ้นใหม่ทีมพบว่าคำอธิบายที่น่าเป็นไปได้มากกว่าคือการสะสมพัลซาร์มิลลิวินาที (ดาวนิวตรอนที่เคลื่อนที่เร็ว) มีอายุราว 10 พันล้านปี การปล่อยรวมกันของพวกมันเพื่อสร้างสัญญาณให้สสารมืด
ปัจจุบันภายใต้แผนใหม่กล้อง Fermi จะยังคงสแกนทุกจุดบนท้องฟ้าอย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อจัดลำดับความสำคัญของกาแลคซีทางช้างเผือกของเรา
กลยุทธ์ใหม่นี้สามารถช่วยให้กล้อง Fermi หาดาวหมุนรอบตัวได้มากขึ้นที่เรียกว่า pulsars โดยสังเกตเมฆบนเส้นทางชนกับหลุมดำมวลมหาศาลของกาแลคซีและบางทีอาจพบหลักฐานของสสารมืด
Cr.https://th.yair-technologies.com/center-attention-space-telescope-may-hone-heart-milky-way-hunt-729975
ผลการค้นพบนี้ตีพิมพ์ในวารสารรายเดือนของราชสมาคมดาราศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน (MNRAS) โดยทีมผู้วิจัยระบุว่า อนุภาคฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ระหว่างดวงดาวนั้น ประกอบด้วยส่วนที่เป็นทั้งเถ้าเขม่า ซิลิกา และอนุภาคคาร์บอนที่คล้ายไขมัน โดยลมสุริยะคอยพัดให้ส่วนที่คล้ายไขมันล่องลอยไปมาอยู่ในระบบสุริยะของเรา
มีสัดส่วนของอนุภาคคาร์บอนที่เหมือนไขมันนี้อยู่เป็นจำนวน 100 อะตอม ต่อไฮโดรเจนทุก 1 ล้านอะตอมในกาแล็กซีทางช้างเผือก คิดเป็นปริมาณราว 25-50% ของคาร์บอนทั้งหมดในดาราจักรที่เราอาศัยอยู่
ผลการค้นพบนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์ใกล้จะคำนวณปริมาณคาร์บอนทั้งหมดในห้วงอวกาศได้ โดยถือเป็นข้อมูลสำคัญในการทำความเข้าใจวัฏจักรของคาร์บอนในระดับจักรวาล ซึ่งมีผลต่อกระบวนการก่อตัวของดวงดาวและกำเนิดสิ่งมีชีวิต
"ไขมันจากอนุภาคคาร์บอนชนิดนี้ ไม่ใช่แบบเดียวกับเนยที่เราเอามาทาขนมปังรับประทาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของฝุ่นละอองระหว่างดวงดาวที่สกปรกและเป็นพิษ โดยอนุภาคนี้จะเกิดขึ้นได้ในอวกาศและสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมภายในห้องทดลองเท่านั้น" ศ. ชมิดต์ กล่าว
Cr.https://www.bbc.com/thai/international-44648688
ล่าสุด ดาวฤกษ์เดี่ยวในกลุ่มดาวอินเดียนแดง (constellation of Indus) ที่มองเห็นได้ทางซีกโลกใต้ ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกใหม่เกี่ยวกับการชนในครั้งโบราณของ 2 กาแล็กซี
ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาตินำโดยมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ในอังกฤษ เผยว่า ได้นำวิธีการแบบใหม่มาประยุกต์ใช้พิสูจน์ลักษณะทางนิติวิทยาศาสตร์ของดาวฤกษ์ที่เรียกว่า v Indi เพื่อสำรวจประวัติศาสตร์ของทางช้างเผือก ถือเป็นบันทึกซากดึกดำบรรพ์ที่จะให้คำตอบถึงสภาพแวดล้อมเมื่อก่อตัวขึ้น โดยทีมได้ใช้ข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะขององค์การนาซา คือดาวเทียมเทสส์ และกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินเพื่อปลดล็อกข้อมูลนี้
ทีมอธิบายว่าการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ v Indi ได้รับผลกระทบจากการชนของกาแล็กซีไกอา-เอนเซลาดัส และการชนจะต้องเกิดขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อดวงดาวก่อตัว นั่นคือวิธีที่จะสามารถใช้การสั่นกระเพื่อมบนผิวดาวฤกษ์ มาระบุอายุ ตำแหน่ง และขีดจำกัดใหม่ เมื่อเหตุการณ์ชนกับกาแล็กซีไกอา-เอนเซลาดัสเกิดขึ้น
Cr.https://www.thairath.co.th/news/society/1750978
นักวิทยาศาสตร์สามารถระบุได้ด้วยการเคลื่อนที่ของดาวธรรมชาติ พบว่าดาวที่ค้นพบไม่ได้เป็นของทางช้างเผือกเนื่องจากพฤติกรรมของพวกมันไม่เหมือนกับดาวดวงอื่น ๆ ในระบบใกล้เคียง จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดมากขึ้นทำให้นักวิจัยสามารถค้นหาอายุและขนาดของกาแลคซีที่พวกมันอยู่จนกระทั่งพวกมันมาถึงทางช้างเผือก โดยนักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อมันว่า Gaia Enceladus
นักดาราศาสตร์ระบุว่า ในอดีตกาแลคซีของเราได้ดูดซับดาวของเพื่อนบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนมีความหนามากขึ้น Gaia Enceladus ก็จะมีชะตากรรมเดียวกันโดยเมื่อประมาณ 10 พันล้านปีก่อนขนาดของมันเท่ากับ 1/5 เท่าของทางช้างเผือกเท่านั้น ตอนนี้ซากดาวของกาแลคซีที่ถูกทำลายถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ส่วนใหญ่กลายเป็นรัศมีของทางช้างเผือก และก่อตัวเป็นแผ่นหนาด้วยทำให้รูปร่างทางช้างเผือกพองตัวขึ้น แต่ถ้าการกลืนกินนี้ไม่เกิดขึ้นกาแลคซีของเราอาจจะดูแตกต่างออกไปมาก
Cr.https://www.space.com/42305-milky-way-absorbed-giant-dwarf-galaxy-gaia-enceladus.html
Cr.https://vpchothuegoldenking.com/th/10-fresh-and-amazing-discoveries-related-to-the-milky-way-galaxy/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)