สวัสดีครับ บทความที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์เมื่อนานมาเเล้วครับ ประมาณ 5 ปีได้เเล้วได้เลย เเล้วช่วงนี้ผมคิดว่าจะดำเนินอาชีพด้วยการทำธุรกิจบ้าง ก็เลยศึกษาเเนวธุรกิจที่อยากทำไปเรื่อยๆ จนมาคิดได้ว่าตัวผมเองนอกจากธุรกิจร้านอาหารของเเม่ ก็ยังมีเคสนึงที่น่าสนใจมาก คือ ธุรกิจของน้าชายที่ต่างจังหวัด
ในช่วงนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 ก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับ ตอนนั้นต้องไปอาศัยอยู่กับเขา เพราะเเม่มีปัญหาเเยกทางกับพ่อ ผมเลยต้องไปอยู่ที่ ตจว. กับตา น้าชาย เเละยาย ซึ่งเป็นญาติกันครับ เขาให้ช่วยอะไรก็ทำๆไป จริงๆสำหรับผมงานไม่ได้มีอะไรมาก ออกจะง่ายด้วยซ้ำโดยเฉพาะเวลาคุยกับคน เพราะผมช่วยธุรกิจของเเม่มาตลอด(ลูกมือ)
งานรถกับข้าว ในที่นี้คือ ขายของสดนั่นเเหละครับ ผัก ผลไม้ ปลา เเละเนื้อสัตว์ต่างๆ นับเป็นงานที่สนุกเลยทีเดียวครับ เพราะนั่งรถไปตามหมู่บ้านต่างๆ เเละตระเวนเร่ขายของไปเรื่อยๆ เเละเมื่อผมไปช่วยขาย เสาร์ - อาทิตย์ เเละมีช่วงปิดเทอมที่จะไปเเทบทุกวัน ก็พอว่าธุรกิจรถกับข้าวของน้าขาดทุน
ซึ่งผมมาเเยกปัจจัยให้เห็นง่ายๆเป็นข้อๆครับ
ข้อที่ 1 น้าของผมต้องผ่อนรถ เดือนหลักหมื่น นั่นหมายความว่าหากำไรต่อเดินให้ได้เกิน 1 หมื่น เพื่อเอามาจ่ายค่าผ่อนรถ ซึ่งจริงๆเเล้ว ไม่ได้ออกรถมาเพื่อขายกับข้าวนะครับ เเต่ออกมาเพราะอยากมีเฉยๆ ตาเลยให้มาขายของหาค่าผ่อนรถ
ข้อที่ 2 การจ่ายตลาด ส่วนมากการเลือกซื้อของสดก็ต้องคัดสรรค์ของที่มันสดจริงๆ เพราะเวลารับไปขายต่อนั้น มันจะต้องเจอสภาพอากาศของวันทั้งวัน พวกผัก ที่เหี่ยวเเห้งง่าย เช่น ต้นหอม ผักชี ที่เเพงมากๆก็จะเหี่ยวจนขายไม่ได้ ฉะนั้นการคัดของจึงสำคัญมากครับ เเละข้อผิดพลาดของน้าผมคือ ไม่เลือกของ เดินไปสั่งที่ร้าน ให้ที่ร้านจัดให้ เเละเเล้วสิ่งที่ได้คือ ปนของเน่าหรือของใกล้เน่ามาด้วย ยังไม่เริ่มขายก็ขาดทุนเสียเเล้ว
ข้อที่ 3 ไม่เเบ่งขาย ขายเป็นกิโลซะส่วนใหญ่ กำไรของร้านขายของพวกนี้คือ การเเบ่งวัตถุดิบทำอาหารเเบบเเบ่งขายครับ ยิ่งเเบ่งขายย่อยได้เยอะ กำไรก็จะเยอะตาม ซึ่งเน้นขายด้วยปริมาณที่เยอะๆนั่นเอง เช่นผักชีต้นหอม ทำขายรวมกันกำละ 10 บาท ย่อมได้กำไรมากกว่าเอาผักชีหรือต้นหอมมาขายเเยกโดยการชั่งกิโลเเน่นอน เเต่น้าผมเขาจับช่างหมด คุณพระ !! เเล้วกำไรจะอยู่ตรงไหน ค่าน้ำมันรถยังไม่พอเลยมั้ง คนทำกับข้าวกินกันที่บ้านเขาไม่ได้ต้องการเยอะครับ เขาเเค่เอาไปทำกับข้าว มื้อ สองมื้อเท่านั้น ซื้อมาเก็บไว้มันเหี่ยวนะ
ข้อที่ 4 เน้นซื้อของเเบบเเพ็คมาขาย มากกว่าการซื้อของเเบบเเบ่งขายได้มาขาย น้าผมจะชอบซื้อ ลูกชิ้นเเพ็ค ซึ่งน้าเเกจะเพิ่มราคาถุงละ 10-15 บาท สมมติขายได้วันละ 20ถุง กำไรก็เเค่ 200-300 บาทเท่านั้น ซึ่งรถกับข้าวมันขนตู้เเชร์ได้สองตู้ ลูกชิ้นก็ล่อไปตู้นึงเเล้ว เเละเมื่อคนเลือกซื้อของเขาก็เอาลูกชิ้นเเหละ เพราะมันดูได้เยอะดีคนชอบของถูก
อันนี้เเนวคิดผม สมมติซื้อไก่มาโลละ 80 ต้องการกำไรโลละ 20 ก็ขายราคาโลละ 100 ไป เเล้วก็ทำถุงเเบ่งขายสามขีดกว่า เเบ่งขายอีกที ขายสักถุงละ 40 บาท ถ้าขายได้ 3 ถุงคือ 1 โล การเเบ่งขายจะทำเงินได้ 120 บาท ซึ่งมันคือกำไร 40 บาท ซึ่งเราไม่ได้หลอกลูกค้านะ เราก็ขายบอกราคาให้ชัดเจน เเละก็บอกน้ำหนักให้ชัดเจนไปเลย เเบ่งขายก็ต้องเเพงกว่าซื้อเหมาสิ อธิบายเเบบนี้ใครๆก็เข้าใจ เเละบางคนไม่ได้อยากได้เยอะ อยากซื้ออย่างละนิดละหน่อยเเค่นั้น
ข้อที่ 5 ทักษะการเล่นกับคน เวลามีคนมาต่อราคา น้าเขาจะบอกว่า หูยต่อไม่ได้ของเเพง นั่นนู่นนี่ เเต่บางคนก็พูดทีเล่นทีจริง เราก็เเค่ตามให้ทันเท่านั้นครับ
เช่นขอต่อของชิ้นนี้ เราก็เสนอของว่าเอาผักชนิดนั้น ชนิดนี้ไปด้วยสิ เช่น สมมติมีคนมาขอซื้อไก่ ขอต่อราคา เราก็บอกไป ลดไม่ได้หรอกจ๊ะของเเพง เเล้วนี่เอาเครื่องต้มยำด้วยไหมครับ เดี๋ยวผมเเถมนั่นนู่นนี่ให้นิดนึง เเค่นี้จบ เราก็เลือกว่าของวันนั้นอะไรขายไม่ค่อยออก เเละมีเเนวโน้มจะเน่าเสียก่อน เช่น เเถมต้นหอมผักชีให้นิดนึง หรือ มะเขือเทศสัก 2-3 ลูก ลูกค้าก็เเฮปปี้ละ
ข้อที่ 6 เก็บวัตถุดิบได้เเย่มาก จนของเสียไวกว่าที่ควรจะเป็น
ข้อที่7 เดี๋ยวขายเดี๋ยวหยุด ตามอารมณ์ ทำให้ทุนจม
อย่าลืมว่าค้าขายต้องคิดถึงระยะยาวด้วยไม่ใช่จะเอาเเต่กำไรเเละความง่ายเข้าว่า นี่คือสิ่งที่ผมได้จากการไปช่วยน้าผมขายของครับ
ข้อคิดที่ได้เมื่อได้ไปเร่ขายของบนรถขายกับข้าว(ธุรกิจขนาดเล็ก)
ในช่วงนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 ก็ไม่ได้คิดอะไรมากครับ ตอนนั้นต้องไปอาศัยอยู่กับเขา เพราะเเม่มีปัญหาเเยกทางกับพ่อ ผมเลยต้องไปอยู่ที่ ตจว. กับตา น้าชาย เเละยาย ซึ่งเป็นญาติกันครับ เขาให้ช่วยอะไรก็ทำๆไป จริงๆสำหรับผมงานไม่ได้มีอะไรมาก ออกจะง่ายด้วยซ้ำโดยเฉพาะเวลาคุยกับคน เพราะผมช่วยธุรกิจของเเม่มาตลอด(ลูกมือ)
งานรถกับข้าว ในที่นี้คือ ขายของสดนั่นเเหละครับ ผัก ผลไม้ ปลา เเละเนื้อสัตว์ต่างๆ นับเป็นงานที่สนุกเลยทีเดียวครับ เพราะนั่งรถไปตามหมู่บ้านต่างๆ เเละตระเวนเร่ขายของไปเรื่อยๆ เเละเมื่อผมไปช่วยขาย เสาร์ - อาทิตย์ เเละมีช่วงปิดเทอมที่จะไปเเทบทุกวัน ก็พอว่าธุรกิจรถกับข้าวของน้าขาดทุน
ซึ่งผมมาเเยกปัจจัยให้เห็นง่ายๆเป็นข้อๆครับ
ข้อที่ 1 น้าของผมต้องผ่อนรถ เดือนหลักหมื่น นั่นหมายความว่าหากำไรต่อเดินให้ได้เกิน 1 หมื่น เพื่อเอามาจ่ายค่าผ่อนรถ ซึ่งจริงๆเเล้ว ไม่ได้ออกรถมาเพื่อขายกับข้าวนะครับ เเต่ออกมาเพราะอยากมีเฉยๆ ตาเลยให้มาขายของหาค่าผ่อนรถ
ข้อที่ 2 การจ่ายตลาด ส่วนมากการเลือกซื้อของสดก็ต้องคัดสรรค์ของที่มันสดจริงๆ เพราะเวลารับไปขายต่อนั้น มันจะต้องเจอสภาพอากาศของวันทั้งวัน พวกผัก ที่เหี่ยวเเห้งง่าย เช่น ต้นหอม ผักชี ที่เเพงมากๆก็จะเหี่ยวจนขายไม่ได้ ฉะนั้นการคัดของจึงสำคัญมากครับ เเละข้อผิดพลาดของน้าผมคือ ไม่เลือกของ เดินไปสั่งที่ร้าน ให้ที่ร้านจัดให้ เเละเเล้วสิ่งที่ได้คือ ปนของเน่าหรือของใกล้เน่ามาด้วย ยังไม่เริ่มขายก็ขาดทุนเสียเเล้ว
ข้อที่ 3 ไม่เเบ่งขาย ขายเป็นกิโลซะส่วนใหญ่ กำไรของร้านขายของพวกนี้คือ การเเบ่งวัตถุดิบทำอาหารเเบบเเบ่งขายครับ ยิ่งเเบ่งขายย่อยได้เยอะ กำไรก็จะเยอะตาม ซึ่งเน้นขายด้วยปริมาณที่เยอะๆนั่นเอง เช่นผักชีต้นหอม ทำขายรวมกันกำละ 10 บาท ย่อมได้กำไรมากกว่าเอาผักชีหรือต้นหอมมาขายเเยกโดยการชั่งกิโลเเน่นอน เเต่น้าผมเขาจับช่างหมด คุณพระ !! เเล้วกำไรจะอยู่ตรงไหน ค่าน้ำมันรถยังไม่พอเลยมั้ง คนทำกับข้าวกินกันที่บ้านเขาไม่ได้ต้องการเยอะครับ เขาเเค่เอาไปทำกับข้าว มื้อ สองมื้อเท่านั้น ซื้อมาเก็บไว้มันเหี่ยวนะ
ข้อที่ 4 เน้นซื้อของเเบบเเพ็คมาขาย มากกว่าการซื้อของเเบบเเบ่งขายได้มาขาย น้าผมจะชอบซื้อ ลูกชิ้นเเพ็ค ซึ่งน้าเเกจะเพิ่มราคาถุงละ 10-15 บาท สมมติขายได้วันละ 20ถุง กำไรก็เเค่ 200-300 บาทเท่านั้น ซึ่งรถกับข้าวมันขนตู้เเชร์ได้สองตู้ ลูกชิ้นก็ล่อไปตู้นึงเเล้ว เเละเมื่อคนเลือกซื้อของเขาก็เอาลูกชิ้นเเหละ เพราะมันดูได้เยอะดีคนชอบของถูก
อันนี้เเนวคิดผม สมมติซื้อไก่มาโลละ 80 ต้องการกำไรโลละ 20 ก็ขายราคาโลละ 100 ไป เเล้วก็ทำถุงเเบ่งขายสามขีดกว่า เเบ่งขายอีกที ขายสักถุงละ 40 บาท ถ้าขายได้ 3 ถุงคือ 1 โล การเเบ่งขายจะทำเงินได้ 120 บาท ซึ่งมันคือกำไร 40 บาท ซึ่งเราไม่ได้หลอกลูกค้านะ เราก็ขายบอกราคาให้ชัดเจน เเละก็บอกน้ำหนักให้ชัดเจนไปเลย เเบ่งขายก็ต้องเเพงกว่าซื้อเหมาสิ อธิบายเเบบนี้ใครๆก็เข้าใจ เเละบางคนไม่ได้อยากได้เยอะ อยากซื้ออย่างละนิดละหน่อยเเค่นั้น
ข้อที่ 5 ทักษะการเล่นกับคน เวลามีคนมาต่อราคา น้าเขาจะบอกว่า หูยต่อไม่ได้ของเเพง นั่นนู่นนี่ เเต่บางคนก็พูดทีเล่นทีจริง เราก็เเค่ตามให้ทันเท่านั้นครับ
เช่นขอต่อของชิ้นนี้ เราก็เสนอของว่าเอาผักชนิดนั้น ชนิดนี้ไปด้วยสิ เช่น สมมติมีคนมาขอซื้อไก่ ขอต่อราคา เราก็บอกไป ลดไม่ได้หรอกจ๊ะของเเพง เเล้วนี่เอาเครื่องต้มยำด้วยไหมครับ เดี๋ยวผมเเถมนั่นนู่นนี่ให้นิดนึง เเค่นี้จบ เราก็เลือกว่าของวันนั้นอะไรขายไม่ค่อยออก เเละมีเเนวโน้มจะเน่าเสียก่อน เช่น เเถมต้นหอมผักชีให้นิดนึง หรือ มะเขือเทศสัก 2-3 ลูก ลูกค้าก็เเฮปปี้ละ
ข้อที่ 6 เก็บวัตถุดิบได้เเย่มาก จนของเสียไวกว่าที่ควรจะเป็น
ข้อที่7 เดี๋ยวขายเดี๋ยวหยุด ตามอารมณ์ ทำให้ทุนจม
อย่าลืมว่าค้าขายต้องคิดถึงระยะยาวด้วยไม่ใช่จะเอาเเต่กำไรเเละความง่ายเข้าว่า นี่คือสิ่งที่ผมได้จากการไปช่วยน้าผมขายของครับ