เรื่องสั้น "วิ่งไร่ลุง"

เรื่อง                  วิ่งไร่ ลุง
เรื่องโดย            นัฐพันธ์
..........................................................................................................................................................
            เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งดังอยู่อีกฝากของพื้นที่ จนทำให้สาวใหญ่ที่อาศัยอยู่ไม่ไกลต้องแหงนหน้าออกมาจากตัวบ้าน สายตาของเจ้าหล่อนฝ้าฟางไปมากตามอายุ จึงต้องเดินไปควานหาแว่นตาที่เพิ่งตัดมาจากร้านในตลาดมาสวมใส่

            เสียงจอแจ ของเด็กกลุ่มหนึ่ง อายุสิบหกสิบเจ็ด กำลังรวมพลกันอยู่  รอสมัครพรรคพวกที่กำลังเดินทางมาร่วมกัน หัวโจกที่อยู่บนจักรยานเสือภูเขาคันใหม่หน้าตาเอาเรื่องทีเดียว

            เวลาบ่ายสี่โมง ทั่วบริเวณเงียบสงัด รอบๆเป็นผืนป่าของชาวบ้าน แสงตะวันยังแรงกล้า แผดเผาทั่วสรรพสิ่ง แต่ก็ยังแรงน้อยกว่าเมื่อช่วงเที่ยง ร่างของสาวใหญ่ชะเง้อคอออกมามองดูอย่างพินิจเพ่งมอง ไอ้เด็กพวกนี้มันมารวมตัวกันทำอะไรของมัน สาวใหญ่ครุ่นคิด ยังไม่วายคิดไปถึงเรื่องทะเลาะวิวาทซึ่งเคยได้รับข่าวสารมาจากโทรทัศน์

            เสียงเอะอะดังอยู่รอบบริเวณที่เด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นรวมตัวกัน เห็นบางคนสวมชุดกีฬา รองเท้าฟุตบอล เหมือนเตรียมตัวไปทำกิจกรรมบางอย่าง
            สาวใหญ่พาร่างอ้วนตุ๊บเดินมาตามทาง เห็นกลุ่มวัยรุ่นที่ยืนกันอยู่ เจ้าหล่อนจึงหลบมุมไปที่สุมทุมพุ่มไม้ที่อยู่บริเวณนั้นเป็นเกาะกำบังร่างใหญ่ แม้จะไม่มิดเท่าใดก็ตาม

            “มาหรือยัง จะได้เสร็จๆซะที รออยู่คนเดียว”  หัวโจกในกลุ่มเอ่ย เมื่อมองคนที่ยืนอยู่ยังมาไม่ครบ

            “แหงล่ะ ฉายาคุณชายสายเสมอ” เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยด้วยการแขวะ

            “รอๆกันหน่อย จะได้ไปพร้อมๆกัน” เพื่อนอีกคนมองนาฬิกา แม้จะรู้ว่าเลยเวลามาพอสมควร 

สาวใหญ่เงื่อหูฟังอย่างตั้งใจ ไอ้เด็กพวกนี้มันมาทำไรกัน  สาวใหญ่ครุ่นคิด

            “ให้เวลาอีกสิบนาที ไม่งั้นพวกเราออกสตาร์ทไปก่อน ไม่งั้นวิ่งกันดึกดื่นแน่”

สาวใหญ่ตาโต เมื่อได้ยินพวกเด็กเหล่านั้นสนทนากัน หูผึ่งเลยครั้งนี้  คงจะวิ่งแบบในข่าวทีวีแน่ๆ

            “เฮ้ย! สตาร์ท วิ่งเลยพวกเรา ไม่ต้องรอแล้ว เดี๋ยวมาก็ตามกันไปอง” หัวโจกบอก เพราะดูเวลา คงไม่ทัน

            “เอางั้นเลยหรอ”

ทุกคนมองหน้ากัน เอาไงก็เอากัน ไม่ลงไม่รอมันแล้ว

เมื่อพวกเด็กเหล่านั้นก็ต่างออกสตาร์ทกัน เสื้อผ้าชุดรองเท้าพร้อมก็เตรียมออกวิ่ง

            “นี่ จะมาวิ่งแถวนี้ไม่ได้นะ”  สาวใหญ่ตะโกนพร้อม โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ที่แอบ

            “เสียงใครวะ” ใครคนหนึ่งเอ่ย เมื่อได้ยินเสียง ทุกคนหยุดมองเมื่อเห็นร่างของสาวใหญ่ปรากฏ

            “เสียงดังรบกวนคนอื่นแบบนี้ เดือดร้อนไปทั่ว มาวงมาวิ่งอะไรแถวนี้”

เด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่มองหน้ากัน แม้สาวใหญ่จะเกรงๆอยู่บ้างก็ตาม นับๆดูเด็กพวกนี้มีไม่ต่ำกว่าสิบห้าคน

            “มีอะไรหรือป้า” คนหนึ่งเอ่ย

สาวใหญ่แทบกรี๊ดเมื่อโดนเรียกป้า เรียกอะไรก็ได้ มาเรียกป้ามันเจ็บจี๊ดขึ้นสมอง

            “ใครเป็นพี่แม่พวกแกไอ้เด็กบ้า” สาวใหญ่เกรี้ยวกราดด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

            “อ้าว ไม่เรียกป้าให้เรียกพี่หรอไงครับ” เมื่อโดนเกรี้ยวกราดใส่ เด็กพวกนั้นก็เลยกวนโทสะสาวใหญ่

            “ไม่ต้องมาเรียกฉัน พวกเธอนะมาเสียงดังรบกวนบ้านฉัน”

สาวใหญ่แวดใส่ๆด้วยความไม่ชอบเสียงดัง

            “พวกเราไม่ได้มาทำสิ่งไม่ดี ทำไมจะต้องมาว่ากันด้วยครับป้า”

สาวใหญ่เบ้ปาก  รอยตีนกาบนใบหน้าบ่งบอกความโรยราของอายุจนเห็นได้ชัด หล่อนเหยียดยิ้มอย่างตัวลนางร้ายในละคร 

            “มาวิ่งอะไรกัน ส่งเสียงดัง เอะอะมะเทิ่งไปถึงบ้านคนอื่น ทำไมไม่เอาเวลาไปอ่านหนังสือหนังหากันบ้าง”

            “ป้าครับ นี้มันวันเสาร์ กิจกรรมที่พวกเราทำ ก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน”

            “มาวิ่งเสียงดังนี่นะ รบกวนเดือดร้อนคนอื่นชัดๆ”  สาวใหญ่มองรอบๆ

            “อ้าว ไม่ให้เราวิ่ง แล้วจะให้เราไปซิ่งรถแข่งหรอครับ” เด็กพวกนั้นหน้าตากวนโทสะ

            “พวกเธอจะไปทำอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่มาวิ่งแถวนี้”

            “ก็มันที่ลุงผม ครับป้า”

สาวใหญ่ไม่พอใจที่โดนเด็กเถียง

            “พวกเธอนี่เถียงคอเป็นเอ็นจริงๆนะ เขาถึงว่าเด็กสมัยนี้เถียงคำไม่ตกฟาก”

            “พวกเราไม่ได้เถียงครับ แต่อธิบาย”

            “นั้นแหละ เขาเรียกว่าเถียง ฉันเป็นผู้ใหญ่ มีสิทธิ์สอนสั่งอบรมพวกเธอ ในเมื่อพวกเธอทำตัวไม่เหมาะสม ส่งเสียงดังไปทั่วจนชาวบ้านเดือดร้อน มาวิ่งไร่จับไร้สาระแบบนี้ แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือหนังหา ตำรับตำราเรียน นี่นะเขาถึงว่า เด็กรุ่นใหม่ กล้าคิด กล้าทำ แต่ทำแต่ละอย่างโดยไม่มีความคิด”

เด็กเหล่านั้นมองหน้ากันด้วยความไม่พอใจ สาวใหญ่เหมือนผู้มีชัย เหยียดปากจะพูดต่อแต่โดนแทรกเสียก่อน

            “มันไม่เกี่ยวกับเด็กรุ่นใหม่ ไม่มีความคิดหรอครับป้า พวกเราก็คิดในแบบของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะไม่ทำคือ การดูถูกความคิดคนอื่น” 
สาวใหญ่ตะลึง นี่หล่อนโดนเด็กพวกนี้ถอนหงอกหรือนี่ มันน่านัก

            “ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจริงๆ ไม่ให้เกียรติผู้หลักผู้ใหญ่บ้างเล้ย อยากรู้ว่าพ่อแม่พวกเธอไม่อบรมบ้างหรือไง”

            “การที่เราจะให้เกียรติใคร เราต้องถามตัวเองก่อนนะครับว่า เราให้เกียรติคนอื่นแล้วหรือยัง ไม่ใช่ออกมาเรียกร้องว่าคนนั่นคนนี้ไม่ให้เกียรติ ทั้งๆที่ตนเองยันเหยียดคนอื่น ยังว่าคนอื่นอยู่เลย”

สาวใหญ่ปรี๊ดแตกทันที

            “เด็กบ้า นี่พวกแกรวมหัวด่าฉันหรือไง”

            “ไม่ได้ด่าครับ ถ้าด่าต้องมีคำรุนแรงกว่านี้”

            “ฉันรุ่นพ่อแม่พวกเธอนะ เคารพกันบ้าง เถียงฉอดๆแบบนี้ได้ยังไง ”

            “คนบางคนก็แก่แต่ตัวอย่างที่คนสมัยใหม่เขาว่าจริงๆนะครับป้า อายุไม่ได้บอกว่ามีวุฒิภาวะ”

            “ฉันจะไปฟ้องพ่อแม่พวกเธอ มาถอนหงอกฉัน ฉันอบรมสอนสั่งพวกเธอดีดี แต่โดนเด็กเมื่อวานซืนมาถอนหงอก ทำแบบนี้หยามหน้าฉันนัก”

            “แล้วแต่ครับป้า พวกผมจะไปวิ่งกัน อ้อ แล้วอีกอย่าง วิ่งออกกำลัง ดีต่อสุขภาพ ดีกว่าเอาเวลามาจ้องจับผิดชาวบ้านนะครับ นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังเสียสุขภาพอีกด้วย หมายถึงสุขภาพจิตนะครับป้า” เสียงหัวเราะดังขึ้น สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากให้สาวใหญ่ แต่ก็ทำอะไรกันไม่ได้ 

            “เด็กบ้า พ่อแม่ไม่สั่งสอน”  กำลังจะด่าอีกชุกใหญ่ แต่ก็ต้องหยุดเสียก่อน ขบวนวิ่งก็หยุดไปพร้อมๆกับรถเครื่องขับเคลื่อนมาจอด ชายสูงวัยอายุรามห้าสิบเศษ เดินมา สวมชุดวิ่งอย่างเท่

            “มีอะไรกันหรือเด็กๆ” ชายสูงวัยถาม เมื่อเห็นเพื่อนบ้านสาวใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้กันยืนอยู่

            “อ้อ นี่ตู๋ หลานเธอเองหรอกหรือ เด็กพวกนี้ก้าวร้าวมากนะ มาว่าฉัน” สาวใหญ่ฟ้องทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา

ลุงตู๋ของเด็กๆมองมาที่กลุ่มวัยรุ่น

            “มาวิ่งกันเสียงดัง ฉันนั่งอ่านหนังสืออยู่ อ่านไม่ได้เลย”

            “พวกเราทำแบบนั้นหรือเปล่า” ลุงตู๋ถาม

เด็กๆส่ายหน้า

            “พวกเราขออนุญาตลุงตู๋แล้วจะมาขอซ้อมวิ่งในไร่ลุงตู๋ อาจจะมีเสียงดังไปบ้าง แต่พวกเราไม่ได้ก้าวร้าวอย่างที่ป้าเขาว่านะครับ”

            “ดูซิ เถียงคำไม่ตกฟาก แถมยังมาเรียกฉันว่าป้าอีก”

            “เอาน่า อย่าเถียงกันเลย บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หยวนๆ มีอะไรก็พูดจากันดีดี”  ลุงพยายามตัดปัญหาแต่ดูเหมือนสาวใหญ่จะไม่ยอมลดลาวาศอกแต่อย่างใด

            “เด็กๆเขาจัดกิจกรรมวิ่งกัน เลยมาขอวิ่งในไร่ ผมเห็นว่าพื้นที่มันกว้าง เลยอนุญาต ดีกว่าให้พวกเขาไปสำมะเลเทเมา ซิ่งรถแข่ง ไร้สาระอะไรแบบอีกนะครับ”

ลุงตู๋บอก เด็กวัยรุ่นยิ้มร่า

            “เชิญเถิดยะ แต่อย่าส่งเสียงดังล่ะกัน ไม่งั้นฉันจะเรียกตำรวจมาจับ” สาวใหญ่เดินไปด้วยความผิดหวัง

ลุงหันมาทางเด็กวัยรุ่น
            “ป้าแกเป็นอะไรหรือลุง”  เด็กหนุ่มถาม

            “เป็นมนนุษย์ป้า”  ลุงตู๋ทำท่าล้อเลีย จนเด็กๆหัวเราะขมขัน

            “บางคนก็แก่แต่ตัวจริงๆนะครับลุง” พูดแล้วก็ทำสีหน้าเอือมระอา

            “ว่าลุงหรอ” ลุงตู๋หันมาส่งยิ้ม

            “เปล่าครับ”เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ

            “ไปวิ่งกันดีกว่า ลุงไม่อยากแก่”  เสียงหัวเราะในลำคอทำให้บรรยากาศดีขึ้นมากกว่าเดิม

            “วิ่งไร่ลุง  ดีจะตาย อากาศดี แถมสุขภาพดีด้วย”

            “ถ้าลุงมาช้าอีกนิดพวกผมอาจ วิ่งไล่มนุษย์ป้าแทน”  แล้วทุกคนก็หัวเราะพร้อมกัน ก่อนจะออกวิ่งกันในบริเวณภายในไร่ลุงตู๋

จบ 17/01/63
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่