ถ้าเราเริ่มรู้สึกไม่รักแม่แล้ว เราผิดไหมคะ
เกริ่นเริ่มแรกเลย เราเป็นลูกสาวคนโตค่ะ เรามีน้องสาว1คน อายุห่างกัน6ปี ตอนนี้เราเรียนอยู่ม.6กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย
ซึ่งในช่วงวัยม.6ของเรา เราอยากเรียน อยากฝึกทำข้อสอบให้เต็มที่ เพื่อฟิตร่างกาย+สมองให้พร้อมไปสอบเข้ามหาลัยที่เราอยากเข้า
ซึ่งครอบครัวของเรา ไม่นับคนอื่นๆในบ้าน เรามีกันอยู่3คน แม่ เรา และน้องค่ะ ฐานะทางบ้านเราไม่ได้ลำบากอะไรนะคะ แม่เราทำอาชีพค้าขาย(อาหาร,ขนม,ข้าวแกง)
ซึ่งเราไม่รู้ว่าการที่เราเป็นลูกคนโต มันจะทำให้เราเหนื่อยขนาดนี้ ทุกวันอาทิตย์จะเป็นวันที่แม่เราต้องไปขายข้าวแกงที่ตลาดนัดพระเครื่องแถวบ้าน
พอถึงเวลา ตี5 แม่จะปลุกเราให้มาช่วยเตรียมของ เราก็ตื่นมาช่วยแม่ค่ะ แล้วก็จะตามไปช่วยแม่ที่ตลาดจนของหมดเก็บกลับบ้าน
แต่อาทิตย์นี้ เป็นอาทิตย์ช่วงใกล้สอบมิดเทอมของเรา เราเลยตื่นมาช่วยแม่แค่ตอนตี5 ไม่ออกไปช่วยที่ตลาด เพราะเราอยากอ่านหนังสือ อยากทำการบ้าน
เราบอกแม่ดีๆว่า "แม่วันนี้--ออกไปช่วยไม่ได้นะ--จะอ่านหนังสือ" พอแม่เราได้ยินที่เราพูดขึ้นมา แม่เราโมโหค่ะ เค้าพูดขึ้นมาว่า"แค่สละเวลา2-3ชั่วโมงไม่ได้เลยหรือไง"
เวลา2-3ชั่วโมงของเรา มันมีค่ามากๆ ถ้าเราตั้งใจจะอ่านหนังสือเราสามารถใช้เวลาแค่2-3ชั่วโมงนั้นอ่านได้หลายวิชาเลยค่ะ หลังจากที่เราได้ยินที่แม่พูดแบบนั้น เรานิ่ง
เราเริ่มกลับมาคิดว่า" ทำไม ทำไมแม่ไม่เคยเข้าใจเราเลย" ทั้งๆที่ทุกอาทิตย์ที่ผ่านมา เราไปช่วยแม่ตลอด แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่เราไม่ไป ทำไมแม่ไม่ฟังไม่เข้าใจเราบ้าง
เรื่องเรียนสำหรับวัยเรา เราคิดว่ามันต้องมาเป็นอันดับ1 ถ้าเราว่างเราเต็มใจไปช่วยแม่เสมออยู่แล้ว จนเรามานั่งคิดในอารมณ์ที่น้อยใจนิดๆเราคิดว่า ตั้งแต่เราโตมาเราเคยได้อะไรบ้างไหม
เราเคยโดนซัพพอร์ตบ้างไหม ตอนนี้เราม.6ทุกคนเชื่อมั้ยคะว่าเราไม่มีโน๊ตบุ๊คเอาไว้ทำงานส่วนตัว เวลามีงานที่ต้องพิมพ์ในแต่ละวิชา เราจะเดินไปขออาจารย์ท้ายคาบตลอดว่า "หนูขอเขียนได้มั้ยคะ" ซึ่งอาจารย์เกือบทุกคนก็จะอนุญาตในเราเขียนได้ในกรณีพิเศษไป แต่บางวิชาที่ต้องพิมพ์จริงๆ เราแก้ปัญหาโดยการพิมพ์ข้อความส่งไลน์ให้เพื่อน แล้วให้เพื่อนนำข้อความไปลงในเวิร์ดให้เรา เรารู้สึกว่ามันลำบาก แล้วยิ่งม.6เราต้องทำพอร์ต+กับภาระงานหลายๆอย่างที่มันจำเป็นต้องใช้ จนเราเริ่มพูดกับแม่จริงๆว่า "เนี่ยแม่โน๊ตบุ๊คน่ะมันจำเป็นนะมหาลัยก็ต้องใช้ตอนนี้ก็ต้องทำแฟ้มผลงานไว้สมัครเรียน" แม่เรารับฟังค่ะ แต่ก็ไม่ได้อะไร จนเราเริ่มมีความคิดที่อยากขายของออนไลน์ เราเลยจับการขายขนม มาเป็นอาชีพเสริมระหว่างเรียนของเรา เราขายของไปได้สักพักเราก็พูดกับแม่อีกว่า "รู้มั้ยเนี่ยที่ขายขนมเพราะจะเอาไปซื้อโน๊ตบุ๊คเองแล้วนะ" แม่เราบอกว่า "เออดี ไม่เปลือง" เราได้ยินประโยคนั้น เราจุกจนพูดไม่ออกค่ะ เราไม่รู้ว่าเราควรรู้สึกยังไง เสียใจมั้ย มันเสียใจอยู่แล้วค่ะ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ หลายๆอย่างที่เราลองคิดทบทวนมา เราไม่เคยได้อะไรที่มันควรได้ในเรื่องการเรียนเลย หนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เราซื้อเองตามมือ2ของรุ่นพี่ หรือมือ1จากร้านหนังสือในห้างเองตลอด ทุกอย่างที่ไม่ใช่ค่าเทอม+ค่าขนมไปโรงเรียน ทุกอย่างจะเป็นเงินเราเองทั้งหมด เวลาเราจะออกไปไหน แม่ไม่ค่อยอยากให้เงินเราเท่าไหร่ พอเราออกที ก็จะมีข้อแม้ "กินข้าวมาแล้วหนิ เอาไปแค่50฿พอนะ" เราก็ไม่อะไร เราอยู่ได้ในจำนวนเงิน50฿ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เสียค่ารถเมล์ไปกลับ เราอยู่ได้ค่ะ บางทีเราก็แอบคิดว่าถ้าเราไม่มีญาต(ป้า)ที่คอยสนับสนุนเราดูแลเรา ป่านนี้เราจะได้เรียนม.ปลายมั้ย เราจะมีของเล็กๆน้อยๆที่เราอยากได้บ้างมั้ย ที่เราเล่ามาทั้งหมดยังไม่รวมในเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราน้อยใจแม่นะคะ อย่างเช่นตอนนั้นเราไปตลาดกับแม่และน้อง เราอยากกินข้าวมันไก่ แม่อิกนอ แม่รับฟังเฉยๆแต่ไม่ซื้อให้ แต่น้องอยากกินหมูปิ้ง แม่บอกว่าจะเอากี่ไม้ ด้วยความที่น้องเราเป็นเด็กประถม นางก็ตอบแต่จำนวนที่นางอยากกินก็คือ2ไม้ ซึ่งถ้าปกติ ก็จะถามเราว่า--เอามั้ย?? แต่แม่ไม่ถามเราค่ะ แม่ซื้อให้แค่น้อง หมูปิ้ง2ไม้นั้น เป็นของน้อง ไม่ใช่ของเรา และวันนั้นเราก็ไม่ได้อะไรกลับไปกินที่บ้านเลย เราก็ไม่ว่าอะไรก็คิดซะว่าแม่คงมีเหตุผลของแม่ หรือแม่อาจจะไม่ได้ยินเราที่บอกอยากกินข้าวมันไก่ก็ได้
ถึงช่วงสุดท้ายแล้วค่ะ เราอาจจะเล่านอกประเด็นไปบ้าง แต่สรุปคือ ที่ผ่านมาเราพยายามคิดน้อยเรารักแม่มากๆมาตลอด พอมาถึงวันนี้วันที่เราย้อนกลับไปคิดทุกๆอย่างเเล้วเราเริ่มรู้สึกไม่อยากรักแม่อีกแล้ว ถึงกับขั้นเรามีความคิดที่ว่า วันแม่ปีนี้เราไม่ซื้อพวงมาลัยไหว้แม่..จะได้มั้ย 😥
ถ้าเราเริ่มรู้สึกไม่รักแม่แล้ว เราผิดไหมคะ
ซึ่งในช่วงวัยม.6ของเรา เราอยากเรียน อยากฝึกทำข้อสอบให้เต็มที่ เพื่อฟิตร่างกาย+สมองให้พร้อมไปสอบเข้ามหาลัยที่เราอยากเข้า
ซึ่งครอบครัวของเรา ไม่นับคนอื่นๆในบ้าน เรามีกันอยู่3คน แม่ เรา และน้องค่ะ ฐานะทางบ้านเราไม่ได้ลำบากอะไรนะคะ แม่เราทำอาชีพค้าขาย(อาหาร,ขนม,ข้าวแกง)
ซึ่งเราไม่รู้ว่าการที่เราเป็นลูกคนโต มันจะทำให้เราเหนื่อยขนาดนี้ ทุกวันอาทิตย์จะเป็นวันที่แม่เราต้องไปขายข้าวแกงที่ตลาดนัดพระเครื่องแถวบ้าน
พอถึงเวลา ตี5 แม่จะปลุกเราให้มาช่วยเตรียมของ เราก็ตื่นมาช่วยแม่ค่ะ แล้วก็จะตามไปช่วยแม่ที่ตลาดจนของหมดเก็บกลับบ้าน
แต่อาทิตย์นี้ เป็นอาทิตย์ช่วงใกล้สอบมิดเทอมของเรา เราเลยตื่นมาช่วยแม่แค่ตอนตี5 ไม่ออกไปช่วยที่ตลาด เพราะเราอยากอ่านหนังสือ อยากทำการบ้าน
เราบอกแม่ดีๆว่า "แม่วันนี้--ออกไปช่วยไม่ได้นะ--จะอ่านหนังสือ" พอแม่เราได้ยินที่เราพูดขึ้นมา แม่เราโมโหค่ะ เค้าพูดขึ้นมาว่า"แค่สละเวลา2-3ชั่วโมงไม่ได้เลยหรือไง"
เวลา2-3ชั่วโมงของเรา มันมีค่ามากๆ ถ้าเราตั้งใจจะอ่านหนังสือเราสามารถใช้เวลาแค่2-3ชั่วโมงนั้นอ่านได้หลายวิชาเลยค่ะ หลังจากที่เราได้ยินที่แม่พูดแบบนั้น เรานิ่ง
เราเริ่มกลับมาคิดว่า" ทำไม ทำไมแม่ไม่เคยเข้าใจเราเลย" ทั้งๆที่ทุกอาทิตย์ที่ผ่านมา เราไปช่วยแม่ตลอด แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่เราไม่ไป ทำไมแม่ไม่ฟังไม่เข้าใจเราบ้าง
เรื่องเรียนสำหรับวัยเรา เราคิดว่ามันต้องมาเป็นอันดับ1 ถ้าเราว่างเราเต็มใจไปช่วยแม่เสมออยู่แล้ว จนเรามานั่งคิดในอารมณ์ที่น้อยใจนิดๆเราคิดว่า ตั้งแต่เราโตมาเราเคยได้อะไรบ้างไหม
เราเคยโดนซัพพอร์ตบ้างไหม ตอนนี้เราม.6ทุกคนเชื่อมั้ยคะว่าเราไม่มีโน๊ตบุ๊คเอาไว้ทำงานส่วนตัว เวลามีงานที่ต้องพิมพ์ในแต่ละวิชา เราจะเดินไปขออาจารย์ท้ายคาบตลอดว่า "หนูขอเขียนได้มั้ยคะ" ซึ่งอาจารย์เกือบทุกคนก็จะอนุญาตในเราเขียนได้ในกรณีพิเศษไป แต่บางวิชาที่ต้องพิมพ์จริงๆ เราแก้ปัญหาโดยการพิมพ์ข้อความส่งไลน์ให้เพื่อน แล้วให้เพื่อนนำข้อความไปลงในเวิร์ดให้เรา เรารู้สึกว่ามันลำบาก แล้วยิ่งม.6เราต้องทำพอร์ต+กับภาระงานหลายๆอย่างที่มันจำเป็นต้องใช้ จนเราเริ่มพูดกับแม่จริงๆว่า "เนี่ยแม่โน๊ตบุ๊คน่ะมันจำเป็นนะมหาลัยก็ต้องใช้ตอนนี้ก็ต้องทำแฟ้มผลงานไว้สมัครเรียน" แม่เรารับฟังค่ะ แต่ก็ไม่ได้อะไร จนเราเริ่มมีความคิดที่อยากขายของออนไลน์ เราเลยจับการขายขนม มาเป็นอาชีพเสริมระหว่างเรียนของเรา เราขายของไปได้สักพักเราก็พูดกับแม่อีกว่า "รู้มั้ยเนี่ยที่ขายขนมเพราะจะเอาไปซื้อโน๊ตบุ๊คเองแล้วนะ" แม่เราบอกว่า "เออดี ไม่เปลือง" เราได้ยินประโยคนั้น เราจุกจนพูดไม่ออกค่ะ เราไม่รู้ว่าเราควรรู้สึกยังไง เสียใจมั้ย มันเสียใจอยู่แล้วค่ะ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ หลายๆอย่างที่เราลองคิดทบทวนมา เราไม่เคยได้อะไรที่มันควรได้ในเรื่องการเรียนเลย หนังสือที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เราซื้อเองตามมือ2ของรุ่นพี่ หรือมือ1จากร้านหนังสือในห้างเองตลอด ทุกอย่างที่ไม่ใช่ค่าเทอม+ค่าขนมไปโรงเรียน ทุกอย่างจะเป็นเงินเราเองทั้งหมด เวลาเราจะออกไปไหน แม่ไม่ค่อยอยากให้เงินเราเท่าไหร่ พอเราออกที ก็จะมีข้อแม้ "กินข้าวมาแล้วหนิ เอาไปแค่50฿พอนะ" เราก็ไม่อะไร เราอยู่ได้ในจำนวนเงิน50฿ ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เสียค่ารถเมล์ไปกลับ เราอยู่ได้ค่ะ บางทีเราก็แอบคิดว่าถ้าเราไม่มีญาต(ป้า)ที่คอยสนับสนุนเราดูแลเรา ป่านนี้เราจะได้เรียนม.ปลายมั้ย เราจะมีของเล็กๆน้อยๆที่เราอยากได้บ้างมั้ย ที่เราเล่ามาทั้งหมดยังไม่รวมในเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราน้อยใจแม่นะคะ อย่างเช่นตอนนั้นเราไปตลาดกับแม่และน้อง เราอยากกินข้าวมันไก่ แม่อิกนอ แม่รับฟังเฉยๆแต่ไม่ซื้อให้ แต่น้องอยากกินหมูปิ้ง แม่บอกว่าจะเอากี่ไม้ ด้วยความที่น้องเราเป็นเด็กประถม นางก็ตอบแต่จำนวนที่นางอยากกินก็คือ2ไม้ ซึ่งถ้าปกติ ก็จะถามเราว่า--เอามั้ย?? แต่แม่ไม่ถามเราค่ะ แม่ซื้อให้แค่น้อง หมูปิ้ง2ไม้นั้น เป็นของน้อง ไม่ใช่ของเรา และวันนั้นเราก็ไม่ได้อะไรกลับไปกินที่บ้านเลย เราก็ไม่ว่าอะไรก็คิดซะว่าแม่คงมีเหตุผลของแม่ หรือแม่อาจจะไม่ได้ยินเราที่บอกอยากกินข้าวมันไก่ก็ได้
ถึงช่วงสุดท้ายแล้วค่ะ เราอาจจะเล่านอกประเด็นไปบ้าง แต่สรุปคือ ที่ผ่านมาเราพยายามคิดน้อยเรารักแม่มากๆมาตลอด พอมาถึงวันนี้วันที่เราย้อนกลับไปคิดทุกๆอย่างเเล้วเราเริ่มรู้สึกไม่อยากรักแม่อีกแล้ว ถึงกับขั้นเรามีความคิดที่ว่า วันแม่ปีนี้เราไม่ซื้อพวงมาลัยไหว้แม่..จะได้มั้ย 😥