วันนี้ก็ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร เลยอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหรือความเชื่อส่วนบุคคล
จขกท. เดิมเป็นชาวพุทธ สมัยเรียนมัธยมเรียนโรงเรียนคริสต์(และได้ศึกษาคริสต์) ได้เคยบวชเรียนหลังจากปลดทหาร ก่อนจะสึกออกมาและได้เข้ารับอิสลาม จากการแต่งงาน
ว่าด้วยนิพพาน ที่ที่ซึ่งมีแต่สุขไร้ทุกข์ปะปน
ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจในเนื้อหากระทู้ก่อนๆที่กระผมได้เคยโพสต์ไว้
https://pantip.com/topic/40002400 VERSE/ภพ/ภูมิ/อนันตภพ
https://pantip.com/topic/39920300 ความตาย
https://pantip.com/topic/39612065 ตกลงโลกเรากลมหรือแบน
*ความเชื่อเรื่องหลังความตายแบบสุดโต่ง 2 ขั้ว
-เชื่อว่าตายแล้วดับไปเลย ไม่มีอะไรอีกแล้ว
-เชื่อว่าตายแล้วยังคงเดินทางต่อไป เชื่อว่ามีโลกต่อไปหลังความตาย
คุณเข้าใจว่า นิพพาน เป็นอะไรอย่างไรล่ะ ???
พระพุทธเจ้าเองก็มิได้บอกไว้ด้วยซ้ำ ว่านิพพานมีลักษณะพิเศษอะไรยังไง
แล้วไอ้ที่ป่าวๆๆ อยู่น่ะ ว่านิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ล้วนแต่เป็นการตีความไปนานาตามนานาจิตตังทั้งนั้น
ในนิยามของแต่ละคน จะให้นิยามความหมายนิพพานต่างๆกันไป
#กฏแรงดึงดูด ชอบอะไร ฝักใฝ่อะไร หากมีแต้มบุญมากพอ ก็จะมีโอกาสพบเจอได้ง่ายตามนั้น
กลับกัน หากมีแต้มบาปที่มากพอ ชอบอะไร ฝักใฝ่อะไร มักไม่ค่อยสมหวัง หากแต่สิ่งที่เกลียดที่กลัว มักจะเข้ามาหานักแล
นิพพานในนิยามผม
คือ ชีวิตนิรันดร์ และเข้าสู่สภาวะหนึ่ง ที่อาจเรียกว่าอณาธิปไตย ไม่ทุกข์ไม่สุข (แต่สามารถจูนปรับให้สุขได้)
และตัวเองสามารถกำหนดได้ ว่าจะให้พบสุขหรือทุกข์(ผจญภัย)ได้ตามใจชอบ(โดยต้องหลุดพ้นจากวัฏสังสาร)
จากการเข้าใจธรรมชาติ ว่ากลไกธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปตามธรรมชาติ(ปกติ)ของมัน
เมื่อเข้าใจแล้วก็ปล่อยวางได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งปลง และสามารถดำเนินอยู่ร่วมกันธรรม(ชาติ)ได้อย่างดี
รวมไปถึงสามารถนำความเข้าใจในกลไกนั้นๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างถูกต้องในศีลธรรมได้
# บรรลุ(การเข้าใจอย่างถ่องแท้) ธรรม(ชาติ) คือสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้ สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก หากพิจารณาอย่างมีสติ อย่างสมเหตุสมผ
ทีนี้กล่าวถึงนิพพาน หลายๆคนอาจสงสัย ว่าเป็นสภาวะที่เป็นอะไร ยังไง ก่อนอื่น ตามที่ได้ยินได้ฟังมาบ่อยๆ นิพพาน คือสภาวะ สภาวะหนึ่ง ที่ซึ่งมีแต่สุขไร้ทุกข์เจอปน แล้วเกี่ยวกับ อาบาดัน อย่างไร???
อาบาดัน ก็คือสภาวะ สภาวะหนึ่ง กล่าวคือ เป็นการตายจากโลกเก่า และเข้าสู่โลก(มิติ/ภพ/โลกธาตุ/โลกทัศน์/ความถี่) ต่อไป โดย ผู้ที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว มักจะไม่รู้ว่าตัวตาย(ได้หมดเวรหมดกรรมเก่าไปส่วนหนึ่ง) ซึ่ง ไม่รับรู้ว่าตัวเองได้ตาย(จากโลกเก่า)ไปแล้ว(เหมือนตายไม่รู้ตัว) และยังคงดำเนินชีวิตต่อไปตามที่เป็นอยู่(มักเกิดบ่อยในผู้ที่ ฟีซบีลิลลา*ค้นหาเพิ่มเติมเองนะ) โดยร่างเก่า(โลกเก่า)ได้สลัดออกเหมือนคราบของ งู,แมลง โดยที่ดวงจิตยังดำรงค์เดินต่อไปโดยได้เข้าไปยังเอกภพในร่าง(จะรู้สึกตกจากที่สูง แล้วตื่นขึ้น แบบอินเซปชั่น ฝันซ้อนฝัน ) และรับการสะท้อนจากกรรมเก่า(f<=f> :จ่ายค่าติดแบบผ่อนส่ง) (เข้าใกล้คำว่าอมตะ จะหน้าเหี่ยวหน้าแก่ ขึ้นกับการดูแลตนเอง เช่นดื่มสุราสูบบุหรี่ ไม่ดูแลตัวเอง ก็จะเห็นตัวเองแก่) และดำรงค์ต่อไป สุดแล้วแต่กรรม พบเจอทั้งสุขทุกข์ปะปนกันไปตามชีวิตปกติ
#
https://pantip.com/topic/40002400 VERSE/ภพ/ภูมิ/อนันตภพ
ความเหมือนที่แตกต่าง ของ อาบาดัน(อิสลาม) กับ นิพพาน(พุทธ) นั่นคือ นิพพานจะมีแต่สุข สาเหตุล่ะ???
ก่อนอื่นผู้ที่ต้องการดำรงค์ในสภาวะดังกล่าว จะต้อง รู้จัก ละ ปลง ปล่อยวาง(อุเบกขา) และเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ(โดยความบริสุทธิ์ทั้งปวงในธรรมชาติ รวมฟิวชั่นกัน ขอเรียกว่า พระธรรม(ชาติ) ซึ่งคุณสมบัติ ตรงกับ อัลลอฮ์ ของอิสลาม และเป็นผู้สร้างกฏแห่งกรรม ภายใต้กฏฟิสิกส์(แปลว่าธรรมชาติ) อย่างกฏพื้นฐานฟิสิกส์ f<=f> :แรงซ้ายเท่ากับแรงขวา ฉันใด กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ก็ฉันนั้น #เพื่อเป็นผู้พิพากษากรรม )
และ เมื่อเข้าใจ สภาวะ อาบาดันแล้ว(ซึ่งยังมีทุกข์เจือปนอยู่) การจะอาบาดันโดยพบแต่สุข อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า "จะต้อง รู้จัก ละ ปลง ปล่อยวาง(อุเบกขา) รู้จักที่จะละการสร้างบาปกรรม และเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ" ก็จะทำให้ห่างไกลจากทุกข์ ในขณะที่ใช้ชีวิต อาบาดัน(คล้ายอมตะ) ซึ่งหากเข้าใจและปฏิบัติตามในจุดนี้ได้ คุณ...ก็จะเข้าใกล้สภาวะ "นิพพาน" (สิ่งที่ใครๆที่รู้จักและเข้าใจ มักจะปรารถนา) ครับผม
#เนื้อหาสรุปจาก "ปัจจัตตัง" (JOURNEYs ของตนเองหลังจากที่ได้รวบรวมและสรุปจากประสบการณ์ที่ผ่านมา)
#เนื้อหาดังกล่าวอาจเข้าข่ายอจินไตย แต่ได้พยายามเรียบเรียงเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้(พยายามที่สุดแล้ว -_-)
อิสลามถือว่ามุสลีมีน(ผู้นับถืออิสลาม) คือ นักบวชทุกคน โดยเน้นการอยู่ร่วมกันในทางโลกอย่างสันติวิธี(อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข)
ซึ่งหากเป็นทางพุทธนั้น จะเน้นไปทางการศึกษาทางธรรม ซึ่งมุสลีมีนก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ โดยที่ทางอิสลามเอง ก็มีคำสอนหนึ่ง ว่า "หากมีโอกาส จงศึกษาให้กว้างให้มากที่สุด เท่าที่โอกาสเอื้ออำนวย)
#บทสรุปทางเดินแบบทางลัด ที่ใครๆก็สามารถนำไปปฏิบัติตามได้
ส่วนตัวผมเองเลือกเดินสายกลางและนำคำสอนและข้อดี ของแต่ละแคลน(ศาสนา,ลัทธิ ;ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี) มาประยุกต์ใช้ในชีวิต รวมถึงลัทธิซาตาน
https://pantip.com/topic/39877324/comment3 และวางตัวเป็นกลาง เดินควบคู่ไปกับทุกศาสนา พร้อมทั้งพยายามหาข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมเท่าที่สะดวก แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต แต่หลักๆ(ปัจจุบัน)คือถือ อิสลาม
พุทธเน้นทางธรรม และการดับทุกข์
ส่วนอิสลามเน้นการอยู่ทางโลกครับ โดยมีการเมืองการปกครองมาเกี่ยวข้องด้วย
อัลลอฮ์ = พระธรรม(ชาติ) (*ไม่ได้หมายถึงคำสอน แต่หมายถึงในส่วนจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง)
อิสลามสอน อย่าไหว้พระอิฐพระปูน โดยใช้สัญลักษณ์ อัลลอฮ์ เป็นสื่อกลางแทน ซึ่งของพุทธเอง ก็สอนเหมือนกัน อย่าไหว้พระอิฐพระปูน แต่ให้ระลึกพระธรรมคำสั่งสอนเป็นหลัก หลายๆอย่างเหมือนกันมาก ต่างกันเพียง ภาษาถิ่นที่ใช้เรียกในสิ่งที่เกี่ยวข้องเท่านั้นครับ
และอย่างที่บอก อิสลาม เน้นการอยู่ร่วมกันทางโลกร่วมกันอย่างสันติ แต่ปัญหาในปัจจุบัน มาจากการบิดเบือนคำสอน ซึ่งเป้าหมายที่เห็นชัดๆ ว่ามาจากการเมืองระหว่างประเทศและภายใน(เมือง)ทั้งนั้น
พิจารณาอย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ
ขอให้นึกภาพตาม หากท่าน คือ บุคคล ที่ได้ปฏิบัติตามคำสอนอิสลาม,พุทธ,คริสต์
ที่จะสามารถทำให้อยู่ทางโลกได้พอสมควร
เช่น
ทางโลก,สังคม,การเมือง,การบริหารจัดการ(อิสลาม)
รู้วิธีการดับทุกข์ เจริญสติ ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น โดย รู้จักการละและปลง อย่างเหมาะสม(พุทธ)
และมีความรัก เมตตากรุณา ใจกว้าง รู้รักรู้อภัย ซึ่งกันและกัน(คริสต์)
(แม้แต่ซาตานก็คือครูที่แจกบททดสอบ(สอบภาคปฏิบัติ)เรื่องจิตใจเช่นกัน)
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติก็จะเกิด
แน่นอนว่าต้องได้มาจากการเรียนการสอน มีประสบการณ์ชีวิตจากการใช้ชีวิต
คำสอนที่ดีมีอยู่มากมาย หาเรียนได้ทั่วไปและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักเพื่อพาตัวเอง
เพื่อเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)
ศาสดา ก็คือครู ที่สอนวิชาต่างๆ ที่เราเรียนกันในห้องเรียน เปลี่ยนวิชาก็เปลี่ยนครู
ส่วนจะเป็นคนดีได้แค่ไหนเรียนรู้รับทราบเข้าใจได้แค่ไหน สุดแล้วแต่กระทำตน(ขวนขวายพยายาม)
* คำแนะนำสำหรับผู้ที่ขาดทักษะการอยู่ทางโลก ควรศึกษาอิสลามควบคู่ไปด้วย
* และมุสลีมีนที่ต้องการดับทุกข์ ควรหาศึกษาวิธีการจาก พระพุทธศาสนาควบคู่กันได้เช่นกัน
* และคริสต์นั้น ได้สอนให้เราต่างรู้จักรักและให้อภัยซึ่งกันและกัน(แม้แต่กับคนที่เขาเกลียดเรา)
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขสันติสุขครับ
นิพพาน อาบาดัน ความเหมือนและแตกต่าง
จขกท. เดิมเป็นชาวพุทธ สมัยเรียนมัธยมเรียนโรงเรียนคริสต์(และได้ศึกษาคริสต์) ได้เคยบวชเรียนหลังจากปลดทหาร ก่อนจะสึกออกมาและได้เข้ารับอิสลาม จากการแต่งงาน
ว่าด้วยนิพพาน ที่ที่ซึ่งมีแต่สุขไร้ทุกข์ปะปน
ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจในเนื้อหากระทู้ก่อนๆที่กระผมได้เคยโพสต์ไว้
https://pantip.com/topic/40002400 VERSE/ภพ/ภูมิ/อนันตภพ
https://pantip.com/topic/39920300 ความตาย
https://pantip.com/topic/39612065 ตกลงโลกเรากลมหรือแบน
*ความเชื่อเรื่องหลังความตายแบบสุดโต่ง 2 ขั้ว
-เชื่อว่าตายแล้วดับไปเลย ไม่มีอะไรอีกแล้ว
-เชื่อว่าตายแล้วยังคงเดินทางต่อไป เชื่อว่ามีโลกต่อไปหลังความตาย
คุณเข้าใจว่า นิพพาน เป็นอะไรอย่างไรล่ะ ???
พระพุทธเจ้าเองก็มิได้บอกไว้ด้วยซ้ำ ว่านิพพานมีลักษณะพิเศษอะไรยังไง
แล้วไอ้ที่ป่าวๆๆ อยู่น่ะ ว่านิพพานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ล้วนแต่เป็นการตีความไปนานาตามนานาจิตตังทั้งนั้น
ในนิยามของแต่ละคน จะให้นิยามความหมายนิพพานต่างๆกันไป
#กฏแรงดึงดูด ชอบอะไร ฝักใฝ่อะไร หากมีแต้มบุญมากพอ ก็จะมีโอกาสพบเจอได้ง่ายตามนั้น
กลับกัน หากมีแต้มบาปที่มากพอ ชอบอะไร ฝักใฝ่อะไร มักไม่ค่อยสมหวัง หากแต่สิ่งที่เกลียดที่กลัว มักจะเข้ามาหานักแล
นิพพานในนิยามผม
คือ ชีวิตนิรันดร์ และเข้าสู่สภาวะหนึ่ง ที่อาจเรียกว่าอณาธิปไตย ไม่ทุกข์ไม่สุข (แต่สามารถจูนปรับให้สุขได้)
และตัวเองสามารถกำหนดได้ ว่าจะให้พบสุขหรือทุกข์(ผจญภัย)ได้ตามใจชอบ(โดยต้องหลุดพ้นจากวัฏสังสาร)
จากการเข้าใจธรรมชาติ ว่ากลไกธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไปตามธรรมชาติ(ปกติ)ของมัน
เมื่อเข้าใจแล้วก็ปล่อยวางได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งปลง และสามารถดำเนินอยู่ร่วมกันธรรม(ชาติ)ได้อย่างดี
รวมไปถึงสามารถนำความเข้าใจในกลไกนั้นๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างถูกต้องในศีลธรรมได้
# บรรลุ(การเข้าใจอย่างถ่องแท้) ธรรม(ชาติ) คือสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้ สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก หากพิจารณาอย่างมีสติ อย่างสมเหตุสมผ
ทีนี้กล่าวถึงนิพพาน หลายๆคนอาจสงสัย ว่าเป็นสภาวะที่เป็นอะไร ยังไง ก่อนอื่น ตามที่ได้ยินได้ฟังมาบ่อยๆ นิพพาน คือสภาวะ สภาวะหนึ่ง ที่ซึ่งมีแต่สุขไร้ทุกข์เจอปน แล้วเกี่ยวกับ อาบาดัน อย่างไร???
อาบาดัน ก็คือสภาวะ สภาวะหนึ่ง กล่าวคือ เป็นการตายจากโลกเก่า และเข้าสู่โลก(มิติ/ภพ/โลกธาตุ/โลกทัศน์/ความถี่) ต่อไป โดย ผู้ที่อยู่ในสภาวะดังกล่าว มักจะไม่รู้ว่าตัวตาย(ได้หมดเวรหมดกรรมเก่าไปส่วนหนึ่ง) ซึ่ง ไม่รับรู้ว่าตัวเองได้ตาย(จากโลกเก่า)ไปแล้ว(เหมือนตายไม่รู้ตัว) และยังคงดำเนินชีวิตต่อไปตามที่เป็นอยู่(มักเกิดบ่อยในผู้ที่ ฟีซบีลิลลา*ค้นหาเพิ่มเติมเองนะ) โดยร่างเก่า(โลกเก่า)ได้สลัดออกเหมือนคราบของ งู,แมลง โดยที่ดวงจิตยังดำรงค์เดินต่อไปโดยได้เข้าไปยังเอกภพในร่าง(จะรู้สึกตกจากที่สูง แล้วตื่นขึ้น แบบอินเซปชั่น ฝันซ้อนฝัน ) และรับการสะท้อนจากกรรมเก่า(f<=f> :จ่ายค่าติดแบบผ่อนส่ง) (เข้าใกล้คำว่าอมตะ จะหน้าเหี่ยวหน้าแก่ ขึ้นกับการดูแลตนเอง เช่นดื่มสุราสูบบุหรี่ ไม่ดูแลตัวเอง ก็จะเห็นตัวเองแก่) และดำรงค์ต่อไป สุดแล้วแต่กรรม พบเจอทั้งสุขทุกข์ปะปนกันไปตามชีวิตปกติ
#https://pantip.com/topic/40002400 VERSE/ภพ/ภูมิ/อนันตภพ
ก่อนอื่นผู้ที่ต้องการดำรงค์ในสภาวะดังกล่าว จะต้อง รู้จัก ละ ปลง ปล่อยวาง(อุเบกขา) และเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ(โดยความบริสุทธิ์ทั้งปวงในธรรมชาติ รวมฟิวชั่นกัน ขอเรียกว่า พระธรรม(ชาติ) ซึ่งคุณสมบัติ ตรงกับ อัลลอฮ์ ของอิสลาม และเป็นผู้สร้างกฏแห่งกรรม ภายใต้กฏฟิสิกส์(แปลว่าธรรมชาติ) อย่างกฏพื้นฐานฟิสิกส์ f<=f> :แรงซ้ายเท่ากับแรงขวา ฉันใด กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง ก็ฉันนั้น #เพื่อเป็นผู้พิพากษากรรม )
และ เมื่อเข้าใจ สภาวะ อาบาดันแล้ว(ซึ่งยังมีทุกข์เจือปนอยู่) การจะอาบาดันโดยพบแต่สุข อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า "จะต้อง รู้จัก ละ ปลง ปล่อยวาง(อุเบกขา) รู้จักที่จะละการสร้างบาปกรรม และเข้าใจความเป็นไปของธรรมชาติ" ก็จะทำให้ห่างไกลจากทุกข์ ในขณะที่ใช้ชีวิต อาบาดัน(คล้ายอมตะ) ซึ่งหากเข้าใจและปฏิบัติตามในจุดนี้ได้ คุณ...ก็จะเข้าใกล้สภาวะ "นิพพาน" (สิ่งที่ใครๆที่รู้จักและเข้าใจ มักจะปรารถนา) ครับผม
#เนื้อหาสรุปจาก "ปัจจัตตัง" (JOURNEYs ของตนเองหลังจากที่ได้รวบรวมและสรุปจากประสบการณ์ที่ผ่านมา)
#เนื้อหาดังกล่าวอาจเข้าข่ายอจินไตย แต่ได้พยายามเรียบเรียงเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้(พยายามที่สุดแล้ว -_-)
อิสลามถือว่ามุสลีมีน(ผู้นับถืออิสลาม) คือ นักบวชทุกคน โดยเน้นการอยู่ร่วมกันในทางโลกอย่างสันติวิธี(อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข)
ซึ่งหากเป็นทางพุทธนั้น จะเน้นไปทางการศึกษาทางธรรม ซึ่งมุสลีมีนก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ โดยที่ทางอิสลามเอง ก็มีคำสอนหนึ่ง ว่า "หากมีโอกาส จงศึกษาให้กว้างให้มากที่สุด เท่าที่โอกาสเอื้ออำนวย)
#บทสรุปทางเดินแบบทางลัด ที่ใครๆก็สามารถนำไปปฏิบัติตามได้
ส่วนตัวผมเองเลือกเดินสายกลางและนำคำสอนและข้อดี ของแต่ละแคลน(ศาสนา,ลัทธิ ;ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี) มาประยุกต์ใช้ในชีวิต รวมถึงลัทธิซาตาน https://pantip.com/topic/39877324/comment3 และวางตัวเป็นกลาง เดินควบคู่ไปกับทุกศาสนา พร้อมทั้งพยายามหาข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมเท่าที่สะดวก แล้วนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต แต่หลักๆ(ปัจจุบัน)คือถือ อิสลาม
พุทธเน้นทางธรรม และการดับทุกข์
ส่วนอิสลามเน้นการอยู่ทางโลกครับ โดยมีการเมืองการปกครองมาเกี่ยวข้องด้วย
อัลลอฮ์ = พระธรรม(ชาติ) (*ไม่ได้หมายถึงคำสอน แต่หมายถึงในส่วนจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง)
อิสลามสอน อย่าไหว้พระอิฐพระปูน โดยใช้สัญลักษณ์ อัลลอฮ์ เป็นสื่อกลางแทน ซึ่งของพุทธเอง ก็สอนเหมือนกัน อย่าไหว้พระอิฐพระปูน แต่ให้ระลึกพระธรรมคำสั่งสอนเป็นหลัก หลายๆอย่างเหมือนกันมาก ต่างกันเพียง ภาษาถิ่นที่ใช้เรียกในสิ่งที่เกี่ยวข้องเท่านั้นครับ
และอย่างที่บอก อิสลาม เน้นการอยู่ร่วมกันทางโลกร่วมกันอย่างสันติ แต่ปัญหาในปัจจุบัน มาจากการบิดเบือนคำสอน ซึ่งเป้าหมายที่เห็นชัดๆ ว่ามาจากการเมืองระหว่างประเทศและภายใน(เมือง)ทั้งนั้น
พิจารณาอย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ
ขอให้นึกภาพตาม หากท่าน คือ บุคคล ที่ได้ปฏิบัติตามคำสอนอิสลาม,พุทธ,คริสต์
ที่จะสามารถทำให้อยู่ทางโลกได้พอสมควร
เช่น
ทางโลก,สังคม,การเมือง,การบริหารจัดการ(อิสลาม)
รู้วิธีการดับทุกข์ เจริญสติ ใช้ชีวิตได้ดีขึ้น โดย รู้จักการละและปลง อย่างเหมาะสม(พุทธ)
และมีความรัก เมตตากรุณา ใจกว้าง รู้รักรู้อภัย ซึ่งกันและกัน(คริสต์)
(แม้แต่ซาตานก็คือครูที่แจกบททดสอบ(สอบภาคปฏิบัติ)เรื่องจิตใจเช่นกัน)
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติก็จะเกิด
แน่นอนว่าต้องได้มาจากการเรียนการสอน มีประสบการณ์ชีวิตจากการใช้ชีวิต
คำสอนที่ดีมีอยู่มากมาย หาเรียนได้ทั่วไปและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักเพื่อพาตัวเอง
เพื่อเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)
ศาสดา ก็คือครู ที่สอนวิชาต่างๆ ที่เราเรียนกันในห้องเรียน เปลี่ยนวิชาก็เปลี่ยนครู
ส่วนจะเป็นคนดีได้แค่ไหนเรียนรู้รับทราบเข้าใจได้แค่ไหน สุดแล้วแต่กระทำตน(ขวนขวายพยายาม)
* คำแนะนำสำหรับผู้ที่ขาดทักษะการอยู่ทางโลก ควรศึกษาอิสลามควบคู่ไปด้วย
* และมุสลีมีนที่ต้องการดับทุกข์ ควรหาศึกษาวิธีการจาก พระพุทธศาสนาควบคู่กันได้เช่นกัน
* และคริสต์นั้น ได้สอนให้เราต่างรู้จักรักและให้อภัยซึ่งกันและกัน(แม้แต่กับคนที่เขาเกลียดเรา)
เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขสันติสุขครับ