ในวันที่ อเมริกา ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของผู้ติดเชื้อ ผู้คนส่วนนึงไม่ใส่หน้ากาก และยังใช้ชีวิต ค่อนข้างปกติมาก ถ้าเทียบกับเมืองไทย
ผมขอนำประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงาน ที่เค้าส่งต่อเรื่องราว แปลและเล่าสู่กันฟัง
ที่เมืองไทยถ้าป่วยดี้ดี นึกถึงการเข้าถึงโรงพยาบาลที่แสนง่าย หมอและพยาบาลไทยที่ใกล้ชิดผู้ป่วย ช่วยผู้ป่วยจริง ๆครับ
มีเคสเพิ่มขึ้นเยอะมาก ต้นเดือนกรกฎา หลังเปิดเมืองอีกครั้ง ทุก ๆ อาทิตย์มีคนติดในออฟฟิศ อาทิตย์ละสิบกว่าคน
ผม เลยกลับมาทำงานที่บ้านอีกครั้ง
เรื่องที่เค้าแชร์นี้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก จากปกติ เป็นหนัก เดินแทบไม่ไหว และหายก็ จะระยะประมาณ 10 วัน
ผมเองก็ไม่รู้จักเครื่องช่วยออกกำลังหายใจ Breathing Exercise Machines นี่มันเป็นยังไงใครมีประสบการณ์ก็ร่วมแชร์กันได้นะครับ
สองวันแรก อาการแรก
23 มิ.ย หลังจากแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ ก็พบว่า ตัวร้อน พอวันไข้ 39.1'c ก็คิดว่าแช่น้ำร้อนมากเกินไปหรือเปล่า
ยังไม่มีอาการไอ แลหายใจปกติ เลยกินไทลีนอล ไข้ก็ลดลง เหลือ 37-38'c.
ตื่นขึ้นมา ไข้เหมือนลดลง เลยไปที่คลินิกเพื่อทดสอบ COVID ซะหน่อย เผื่อว่าจะเป็น วันนั้น ไข้ลดเหลือ แค่ 37'c
swap จมูก มีหมอฟังปอด ดูคอ ดูจมูกก็ยังดูดีอยู่ เลยกลับบ้านโดยโดยคิดว่า เอ หรือว่า เราแช่อ่างน้ำร้อนเมื่อคืนนานไปหรือเปล่า
เขาบอกให้กักตัวเองอยู่กับบ้านจนกว่าจะได้รับผลลัพธ์ซึ่งจะเป็น 3-5 วัน (กลายเป็น 7 วัน) ก่อนที่จะได้รับผลลัพธ์ แต่ผลออกมาเป็นลบ!
ถึงแม้ว่า การทดสอบเขาจะบอกว่ามีมีความแม่นยำ 99%
แต่ตัวฉันเองรู้ว่า ยังไงก็เหมือนจะเป็น COVID แน่ๆ หรือว่าอยู่ในระยะฟักตัว จึงตรวจไม่เจอ กับการตรวจแบบไม้กวาดจมูก (บางทีอาจจะ ไม่ลึก พอเท่าที่เพื่นอ ๆ ที่ได้กลับไปไทยแล้ไวด้ตรวจที่ state quarntine นะ) แต่รู้มั้ย 5 วันต่อมา นอกจากการกักตัวนั้น ผลเป็น Positive
วันที่ 3-4
หลังจากกลับจากคลินิกวันพุธกักกันในห้องนอนอย่างต่อเนื่อง นพฤหัสบดี - วันศุกร์ ไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก
ไข้มักจะอยู่ในช่วง 3-39.5 'c ขึ้นๆ ลง ทาน Tylenol ทั้งวัน รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ไม่มีอาการไอหรือหายใจลำบาก
แต่รู้สึกว่า ไม่สบายและร่างกายพยายามจะสู้ กับมัน ยังหวังว่ามันจะไม่ใช่ COVID เพราะม่ได้สังเกตเห็นมีปัญหาเรื่องไอ / หายใจ
ภรรยาซื้อมิเตอร์วัดออกซิเจน (แบบที่หนีบนิ้ว) O2 Saurated มาในวันศุกร์และเธอก็เริ่มตรวจสอบระดับออกซิเจนที่ปลายยนิ้วพบค่า 94 ซึ่งต่ำกว่าปกติ 96-99 แต่ยังเหมือนไม่มีปัญหา แต่ ตัวเลข มันต่ำลงเรื่อย ๆ จนถึง 92. หลังลองหายใจลึก ๆ ก็ตัวเลขไม่ขึ้น
เค้าแนะนำว่า อยู่ที่นี่ น่าจะซื้อเครื่องนี้ติดไว้สักนิด จะได้รู้ว่า ปอด มีปัญหาแล้วหรือยัง
วันที่ 5 วันเสาร์ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไข้ขึ้นๆ ลงๆ กินยาลด ไข้ และ ออกซิเจนก็คงที่
วันที่ 6 ชิป ! มาละ อาการ
เช้าวันอาทิตย์ตื่นนอนรู้สึกเหมือนเดิม แฟนสังเกตเห็นว่าหายใจเร็วขึ้น แต่จริงๆแล้วไม่รู้สึกนะ รู้สึกเหมือนยังสามารถหายใจลึก ๆ ได้
ตกบ่าย....หลังงีบหลับและเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแตกต่าง ออกซิเจนลดลงเหลือ 84!
แฟน โทรหาเพื่อนพยาบาลาตรวจดูที่บ้าน และบอกว่าต้องไป ER แล้ว หลังจากโทรคอนเฟริมกับหมอเพื่อยืนยัน
จึงรีบไป Houston Methodist Cinco Ranch ER เป็น ER ใกล้บ้านห่างไป 5 นาที
โชคดีมากที่มีห้องสำหรับ โควิต 2 ห้อง และยังว่างอยู่ เพื่อรอดูอาการ ก่อนส่งต่อดรงพยาบหลัก
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากออกซเจนลดลง แทบเดินไปที่รถไม่ได้ ตั้งแต่ที่บ้าน
เมื่อเราไปถึง ER ผมไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป และต้องขึ้นรถเข็น เข้าเข้าที่ประตูด้านข้างพิเศษสำหรับผู้ป่วย COVID และเข้าห้องแรงดันลบ
พวกเขาทำการสแกนหน้าอก CT ทันทีและยืนยันว่ามีข้อบ่งชี้ที่ของ COVID ในปอดของผม
มันเกิดขึ้นเร็วมากเพียงข้ามคืน จากคนไม่มีอาการจนแทบเดินไม่ไหวในวันถัดไป
เค้าบอกว่า ยังไม่มีการรักษา ต้องเพิ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของผมเอง
ผมต้องเอาชนะมัน ถ้าผมไม่ชนะ ผมอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเร็ว ๆ นี้ผมอาจไม่เคยเห็นภรรยาและลูก ๆ ของผมอีกเลย
…. ผมเป็นกังวลใจมาก พอ ๆ กับร่างกายที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว
หมอจะไม่เข้ามาในห้อง หมอจะติดต่อและคุยผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
พยาบาลให้ผมผึกลมหายใจและยาปฏิชีวนะทางน้ำเกลือ การฝึกลมหายใจนั้นเป็นเพียงการเปิดปอดให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ได้เป็นการรักษา
มีการใช้ยาปฏิชีวนะช่วยลดการติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบ แต่ก็ไม่ได้ต่อสู้กับ COVID !
ผมบอกตัวเองว่า“ ขึ้นอยูกับระบบภูมิคุ้มกันของผมจะสู้หรือเปล่า ลองสู้กับมันสักตั้ง !” .
ผมเริ่มคิดถึงด้วยว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อสู้กับโรคร้ายตอนนี้ดี
ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาหมอบอกผมว่าภูมิคุ้มกันดีในค่าเฉลี่ย
แต่ทำให้ดีขึ้นโดยทานอาหารที่เหมาะสม เมื่อมาถึงจุดนี้นิดย้อนคิดว่าสิ่งทีหมอเตือนตอนตรวจสุขภาพ
พวกเขาให้ออกซิเจนและผมอยู่บนเตียงตลอดคืน พวกเขาบอกผมว่าไม่มีห้องพักที่โรงพยาบาล
ดังนั้นก็จะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีที่ในโรงพยาบาล
วันที่ 7
7 โมงเช้า ได้รับแจ้งว่า มีห้องที่โรงพยาบาล และ รถพยาบาลจะมารับ
สิ่งที่ผมรอห้อง ไม่ใช่ห้องปกติ แต่เป็น ER ของโรงพยาบาลหลัก ซึ่งหมอและพยาบาลจะได้ติดตามดูอย่างใกล้ชิด
(ซึ่งกลับกลายเป็นว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เพราะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์มาก ๆ)
เมื่อถึงเวลาที่รถพยาบาลมา ผมอ่อนแอลงมาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เองจากเตียง
และเป็นกังวล ว่าต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แน่ ๆ จะ เป็นหรือตายคือกัน
เจ้าที่รถพยาบาลเป็นชายตัวใหญ่และแข็งแรง สามารถยกผมขึ้นมาโดยใช้ผ้าปูที่นอนเพื่อขนย้ายเตียงเพื่อเลื่อนโดย ที่ผมไม่มีแรงไม้แต่จะขยับ
เมื่อเราไปถึงโรงพยาบาลเราผ่านประตู COVID ER ที่ห้องโถง
สังเกตคนทั้งหมดในห้อง (ประตูกระจก) มันช่างน่ากลัว ส่วนใหญ่ดูป่วยหนัก พยายามหายใจ
แต่รู้สึกว่าคนที่แก่ที่สุดที่ฉัน จะดูดีกว่าเพื่อน เธออายุสัก 80 แล้วและยังเดินอยู่ ส่วน คนอื่น ๆ อายุราว ๆ 30-60
หลังจากผมรออยู่ บนเตียง 2-3 ชั่วโมง ในที่สุดพยาบาลก็มา
เธอให้ฝึกลมหายใจและเครื่องออกกำลังกายการหายใจ ผมบอกเธอว่าผมจะทำอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้หายไวไว
เธอบอกให้ฉันออกกำลังกายด้วยเครื่องหายใจ 10 ครั้งต่อชั่วโมง
ตอนนั้นหมอปรากฏตัวที่ประตู (แต่จะไม่เข้ามาในห้อง)
ผมถามเขาว่าผมจะทำอะไรได้มากที่สุดเพื่อที่จะมีโอกาสหาย
เขาบอกให้ผมออกกำลังกายด้วยเครื่องหายใจ ทุกๆ ครั้งที่มีโฆษณาทางทีวี
ผมถามหมอว่า ถ้าทำต่อเนื่องเลยหละ หมอบอกว่าย่งทำมากยิ่งดี
ผมไม่เคยหยุดทำการออกกำลังกายในการหายใจ (อันนี้ไม่แน่ใจเค้าทำยังไงกับเครื่อง breathing exercise machine)
เป็นเวลา 75 ชั่วโมงจนกระทั่งผมได้ออกจากโรงพยาบาล มันยากนะ ผมไม่ได้นอน ผมไม่ยอมแพ้
และคิดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะต่อสู้กับโรคนี้ได้ด้วยตัวเอง
ผม คอยดูระดับออกซิเจนบนหน้าจออยู่ตลอด
เมื่อออกกำลังกับเครื่องหายใจมากขึน ตัวเลขก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ผมมีความหวัง
และเหมือนเป็นกำลังใจว่า ทำมาถูกทางละ
วันแรกเริ่มค่าออกซิเจนที่ 80 และได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล 3 วันต่อมาเมื่อสามารถรักษาค่าออกซิเจอนอย่างน้อย 92 แต่เฉลี่ยที่ 94
จริง ๆ การได้ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลหลัก นั้นมีข้อดี
ตรงที่ผมได้มีเครื่องช่วยฝึกออกกำลังหายใจ แต่ รู้มั้ยว่า เวลากดเรียกพยาบาล ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าที่ทุกคนจะมาที่ห้องเมื่อคุณกดเรียก
มีครั้งนึง เมื่อพยาบาลเข้ามา เธอร้องไห้และบอกผมว่า เธอไม่รู้ว่าเธอจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่
เหตุผลหนึ่งที่ผม กด เรียก ต้องนั้น คือ ผมปวดปัสสาวะและไม่มีผ้าอ้อม เค้าให้ปัสสาวะบนเตียง ซี่งต้องมีเทคนิคนึดนึง ว่าใช้ยังไง
ตอนอยู่ใน ER ตลอดทั้งวันแค่ฝึกหายใจ ในที่สุดพวกเขาก็นำอาหารกลางวันมาให้ผมตอน บ่ายสามโมง ผมไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า
ตอนทุ่มนึง พวกเขาบอกผมว่ามีห้องธรรมดาให้บริการ ผมแค่ตื่นเต้นที่จะรู้ว่าผมไม่ต้องไป ICU ชายที่แข็งแรงมกำยำ สวมหน้ากาก มาช่วยเคลื่อนย้ายผม ผมริ่มมีความหวัง เขายกผมขึ้นจากเตียง ไปที่รถเข็นเ ขึ้นไปที่ชั้น 5 ตลอดเวลาบนรถ ก็มีออกซิเจนให้ช่วยหายในตลอด
วันที่ 8
ที่ห้องปกติ พยาบาลที่ดูแล Amazing มาก เขา วิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโน้นห้องนี่
อย่างรวดเร็วมาก ออกห้องนี้ถอดชุดคลุมไปห้องนั้น ห้องนี้
พวกเขาจะทำใส่เครื่องการรักษา(ไม่รู้ว่าเป็นยังไงนะ) ใช้เวลา 15 นาที พวกเขาบอกผมว่า
ให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าพวกเค้าจะกลับมาถอดออก
เวลาผ่านไปนานมากจนผมรู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง ณ จุดนี้ ผมไม่รู้จริงๆว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ผมไม่เคยได้คุยหรือพบหมอเลย ทั้งหมดที่ผมทำคือ ผม ไม่เคยหยุดออกกำลังกายหายใจและอธิษฐาน ..
ผมจะกลัวในบางครั้งที่ไม่สามารถเพิ่มระดับออกซิเจนได้ ผม พยายามอย่างหนัก ไม่รู้ว่าทางออกของโรคนี้อยู่ที่ไหน
ตาผมเริ่มลาย เห็นเส้นหยักและจุด ๆ บางครั้งผมเห็นภาพหลอน เห็นหมาที่บ้านบนเตียง ที่อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ 😊
แปลก แต่จริง ผมริ่มกังวลว่าสมองของผมขาดออกซิเจนมากจนเห็นภาพเหล่านี้ ผมแค่หายใจต่อไป
วันที่ 9
ผมไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหน แต่เป็นการวนซ้ำๆ ทุก 5 นาทีในการฝึกการหายใจ
จำได้ว่าพยาบาลกะกลางคืนดีเหลือกัน ผมน้ำตานอง ไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ไม่มีได้คุยกับหมอเลย จนถึงวันนี้ ผมดีขึ้น หรือแย่กว่าเดิม หรือจะทำอะไรได้อีกไม่มีคนบอกอะไรผม
พยาบาลกะกลางคืน เธอบอกผมว่าเธอจะพยายามหาเวลาที่แพทย์สามารถมาดู ติดตามความคืบหน้าของผม
เธอกลับมาในคืนนั้นและ บอกผมว่า หมอบอกว่าอาการผมมันดีขึ้น (หมอที่นี่นี่กะไม่เจอคนไข้เลยเนอะ)
มันเป็นความโล่งใจที่ได้ยิน ที่ผมพยายามหายใจมและคำอธิษฐานมาตลอดนั้นได้ผลการสู้กับโรคนี้ได้ผลที่ดีขึ้น
ผมถามเธอว่าจะลองยืนได้ไหม เธอบอกว่า ลองได้เลย ผมสามารถยืนได้แล้ววันนี้แบบั้น
ผม มีความสุขมาก ที่ร่างกายผมดีขึ้น
วันที่ 10
ในแต่ละวันผ่านไปช่างยาวนานเหลือเกิน ผมรู้สึกว่า ร่างกายของผมชนะ !!!
การรักษาทางเดินหายใจการออกกำลังกายการหายใจแบบไม่หยุดยั้ง สเตรียรอยด์
และคำอธิษฐาน ทั้งหมดทำให้ภูมิคุ้มกันของผมได้เอาชนะ COVID
การต่อสู้นี้ ความดันโลหิตของผมสูงถึง 170/100
ผมต้องใช้อินซูลินเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะสเตียรอยด์ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
นี่เป็นการเตือนผมเรื่องสุขภาพทั้งหัวใจและโรคเบาหวาน แม้ว่าโดยทั่วไปผมจะอายุเฉลี่ย 51 ปีมีน้ำหนักเกินเล็กน้อย
แต่ผู้ที่วิ่ง 10 ไมล์ต่อสัปดาห์อย่างผม ควรมีสุขภาพดีขึ้น ผมมีความดันโลหิตสูง
โชคดีที่มันไม่ได้สูงมากจนเป็นโรคหัวใจ แต่อยากให้สุขภาพตัวเองดีขึ้นผมไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน
แต่ผมหวังว่าจะมีระดับน้ำตาลที่ดีขึ้นและเป็นแค่ "pre-diabetic" ระหว่างนี้ผม ได้รับ blood thinning shots ที่ท้องเพื่อลดโอกาศ clots.
สุดท้ายนี้
ของคุณภรรยา เจ้าหน้าที่ Houston Methodist Conco Ranch ER, Houston Methodist West และเพื่อนฝูงที่ให้กำลังใจทุกคน
ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาก อย่างไร โรคนี้มันไม่เลือก และสามารถส่งผลกระทบต่อคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็วอย่างเหนือความคาดหมาย
ผม อาจจะติดโรคนี้จะที่ไหนไม่มีทางรู้ อาจจากบางคน แม้ว่าผมจะสวมหน้ากาก ฉีดยาฆ่าเชือบนรถเข็น แอลกอฮอลเจลที่มือ พ่นเสปร์ยที่แคชเชียร์ ทุก ๆ ครั้งด้วยความระวังตัวก็ตาม เป็นไปได้ว่าผม อาจไป Supermarket ในช่วยที่คนเยอะ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาสั่น ๆ ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ใกล้ใครในระยะในระยะ 6 ฟุต มาบ้าง แต่อาจเป็น Supermarket ที่คนเยอะ ที่ผมสงสัย ผมว่าผมน่าจะสั่งและมารับหน้าร้านแบบ curb side pick-up แต่วันนั้นผมกังวลว่าของจะหมดเลยเข้าไปซื้เอง ผมยังนึกไม่ออกว่าผมติดมาจากที่ไหน และผมยังคง กักตัว่ต่อที่บ้าน
อยากให้ทุกคนทำมากกว่า go beyond ที่ทางรัฐแนะนำ อยู่บ้านถ้าเป็นไปได้ สั่งอาหารและไปรับ อย่าเข้าไปในร้าน ใส่หน้ากาก ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน อยู่ห่างจากผุ้อื่นอย่างน้อย 6 ฟุต มีแอลกอฮอลเจตล้างมือติดตัวเสมอ และใช้ล้างทุก ๆ ครั้งที่จับอะไรก็ตาม
ขอให้ทุกคนปลอดภัย มีกำลังใจ สู้โรค
วันที่ติดโควิต ในอเมริกา 10 วัน - COVID-19 - Houston
ผมขอนำประสบการณ์ของเพื่อนร่วมงาน ที่เค้าส่งต่อเรื่องราว แปลและเล่าสู่กันฟัง
ที่เมืองไทยถ้าป่วยดี้ดี นึกถึงการเข้าถึงโรงพยาบาลที่แสนง่าย หมอและพยาบาลไทยที่ใกล้ชิดผู้ป่วย ช่วยผู้ป่วยจริง ๆครับ
มีเคสเพิ่มขึ้นเยอะมาก ต้นเดือนกรกฎา หลังเปิดเมืองอีกครั้ง ทุก ๆ อาทิตย์มีคนติดในออฟฟิศ อาทิตย์ละสิบกว่าคน
ผม เลยกลับมาทำงานที่บ้านอีกครั้ง
เรื่องที่เค้าแชร์นี้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก จากปกติ เป็นหนัก เดินแทบไม่ไหว และหายก็ จะระยะประมาณ 10 วัน
ผมเองก็ไม่รู้จักเครื่องช่วยออกกำลังหายใจ Breathing Exercise Machines นี่มันเป็นยังไงใครมีประสบการณ์ก็ร่วมแชร์กันได้นะครับ
สองวันแรก อาการแรก
23 มิ.ย หลังจากแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ ก็พบว่า ตัวร้อน พอวันไข้ 39.1'c ก็คิดว่าแช่น้ำร้อนมากเกินไปหรือเปล่า
ยังไม่มีอาการไอ แลหายใจปกติ เลยกินไทลีนอล ไข้ก็ลดลง เหลือ 37-38'c.
ตื่นขึ้นมา ไข้เหมือนลดลง เลยไปที่คลินิกเพื่อทดสอบ COVID ซะหน่อย เผื่อว่าจะเป็น วันนั้น ไข้ลดเหลือ แค่ 37'c
swap จมูก มีหมอฟังปอด ดูคอ ดูจมูกก็ยังดูดีอยู่ เลยกลับบ้านโดยโดยคิดว่า เอ หรือว่า เราแช่อ่างน้ำร้อนเมื่อคืนนานไปหรือเปล่า
เขาบอกให้กักตัวเองอยู่กับบ้านจนกว่าจะได้รับผลลัพธ์ซึ่งจะเป็น 3-5 วัน (กลายเป็น 7 วัน) ก่อนที่จะได้รับผลลัพธ์ แต่ผลออกมาเป็นลบ!
ถึงแม้ว่า การทดสอบเขาจะบอกว่ามีมีความแม่นยำ 99%
แต่ตัวฉันเองรู้ว่า ยังไงก็เหมือนจะเป็น COVID แน่ๆ หรือว่าอยู่ในระยะฟักตัว จึงตรวจไม่เจอ กับการตรวจแบบไม้กวาดจมูก (บางทีอาจจะ ไม่ลึก พอเท่าที่เพื่นอ ๆ ที่ได้กลับไปไทยแล้ไวด้ตรวจที่ state quarntine นะ) แต่รู้มั้ย 5 วันต่อมา นอกจากการกักตัวนั้น ผลเป็น Positive
วันที่ 3-4
หลังจากกลับจากคลินิกวันพุธกักกันในห้องนอนอย่างต่อเนื่อง นพฤหัสบดี - วันศุกร์ ไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายนัก
ไข้มักจะอยู่ในช่วง 3-39.5 'c ขึ้นๆ ลง ทาน Tylenol ทั้งวัน รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ไม่มีอาการไอหรือหายใจลำบาก
แต่รู้สึกว่า ไม่สบายและร่างกายพยายามจะสู้ กับมัน ยังหวังว่ามันจะไม่ใช่ COVID เพราะม่ได้สังเกตเห็นมีปัญหาเรื่องไอ / หายใจ
ภรรยาซื้อมิเตอร์วัดออกซิเจน (แบบที่หนีบนิ้ว) O2 Saurated มาในวันศุกร์และเธอก็เริ่มตรวจสอบระดับออกซิเจนที่ปลายยนิ้วพบค่า 94 ซึ่งต่ำกว่าปกติ 96-99 แต่ยังเหมือนไม่มีปัญหา แต่ ตัวเลข มันต่ำลงเรื่อย ๆ จนถึง 92. หลังลองหายใจลึก ๆ ก็ตัวเลขไม่ขึ้น
เค้าแนะนำว่า อยู่ที่นี่ น่าจะซื้อเครื่องนี้ติดไว้สักนิด จะได้รู้ว่า ปอด มีปัญหาแล้วหรือยัง
วันที่ 5 วันเสาร์ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไข้ขึ้นๆ ลงๆ กินยาลด ไข้ และ ออกซิเจนก็คงที่
วันที่ 6 ชิป ! มาละ อาการ
เช้าวันอาทิตย์ตื่นนอนรู้สึกเหมือนเดิม แฟนสังเกตเห็นว่าหายใจเร็วขึ้น แต่จริงๆแล้วไม่รู้สึกนะ รู้สึกเหมือนยังสามารถหายใจลึก ๆ ได้
ตกบ่าย....หลังงีบหลับและเมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกแตกต่าง ออกซิเจนลดลงเหลือ 84!
แฟน โทรหาเพื่อนพยาบาลาตรวจดูที่บ้าน และบอกว่าต้องไป ER แล้ว หลังจากโทรคอนเฟริมกับหมอเพื่อยืนยัน
จึงรีบไป Houston Methodist Cinco Ranch ER เป็น ER ใกล้บ้านห่างไป 5 นาที
โชคดีมากที่มีห้องสำหรับ โควิต 2 ห้อง และยังว่างอยู่ เพื่อรอดูอาการ ก่อนส่งต่อดรงพยาบหลัก
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากออกซเจนลดลง แทบเดินไปที่รถไม่ได้ ตั้งแต่ที่บ้าน
เมื่อเราไปถึง ER ผมไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป และต้องขึ้นรถเข็น เข้าเข้าที่ประตูด้านข้างพิเศษสำหรับผู้ป่วย COVID และเข้าห้องแรงดันลบ
พวกเขาทำการสแกนหน้าอก CT ทันทีและยืนยันว่ามีข้อบ่งชี้ที่ของ COVID ในปอดของผม
มันเกิดขึ้นเร็วมากเพียงข้ามคืน จากคนไม่มีอาการจนแทบเดินไม่ไหวในวันถัดไป
เค้าบอกว่า ยังไม่มีการรักษา ต้องเพิ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของผมเอง
ผมต้องเอาชนะมัน ถ้าผมไม่ชนะ ผมอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเร็ว ๆ นี้ผมอาจไม่เคยเห็นภรรยาและลูก ๆ ของผมอีกเลย
…. ผมเป็นกังวลใจมาก พอ ๆ กับร่างกายที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว
หมอจะไม่เข้ามาในห้อง หมอจะติดต่อและคุยผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
พยาบาลให้ผมผึกลมหายใจและยาปฏิชีวนะทางน้ำเกลือ การฝึกลมหายใจนั้นเป็นเพียงการเปิดปอดให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ได้เป็นการรักษา
มีการใช้ยาปฏิชีวนะช่วยลดการติดเชื้ออื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบ แต่ก็ไม่ได้ต่อสู้กับ COVID !
ผมบอกตัวเองว่า“ ขึ้นอยูกับระบบภูมิคุ้มกันของผมจะสู้หรือเปล่า ลองสู้กับมันสักตั้ง !” .
ผมเริ่มคิดถึงด้วยว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีเพื่อสู้กับโรคร้ายตอนนี้ดี
ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาหมอบอกผมว่าภูมิคุ้มกันดีในค่าเฉลี่ย
แต่ทำให้ดีขึ้นโดยทานอาหารที่เหมาะสม เมื่อมาถึงจุดนี้นิดย้อนคิดว่าสิ่งทีหมอเตือนตอนตรวจสุขภาพ
พวกเขาให้ออกซิเจนและผมอยู่บนเตียงตลอดคืน พวกเขาบอกผมว่าไม่มีห้องพักที่โรงพยาบาล
ดังนั้นก็จะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีที่ในโรงพยาบาล
วันที่ 7
7 โมงเช้า ได้รับแจ้งว่า มีห้องที่โรงพยาบาล และ รถพยาบาลจะมารับ
สิ่งที่ผมรอห้อง ไม่ใช่ห้องปกติ แต่เป็น ER ของโรงพยาบาลหลัก ซึ่งหมอและพยาบาลจะได้ติดตามดูอย่างใกล้ชิด
(ซึ่งกลับกลายเป็นว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย เพราะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์มาก ๆ)
เมื่อถึงเวลาที่รถพยาบาลมา ผมอ่อนแอลงมาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เองจากเตียง
และเป็นกังวล ว่าต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แน่ ๆ จะ เป็นหรือตายคือกัน
เจ้าที่รถพยาบาลเป็นชายตัวใหญ่และแข็งแรง สามารถยกผมขึ้นมาโดยใช้ผ้าปูที่นอนเพื่อขนย้ายเตียงเพื่อเลื่อนโดย ที่ผมไม่มีแรงไม้แต่จะขยับ
เมื่อเราไปถึงโรงพยาบาลเราผ่านประตู COVID ER ที่ห้องโถง
สังเกตคนทั้งหมดในห้อง (ประตูกระจก) มันช่างน่ากลัว ส่วนใหญ่ดูป่วยหนัก พยายามหายใจ
แต่รู้สึกว่าคนที่แก่ที่สุดที่ฉัน จะดูดีกว่าเพื่อน เธออายุสัก 80 แล้วและยังเดินอยู่ ส่วน คนอื่น ๆ อายุราว ๆ 30-60
หลังจากผมรออยู่ บนเตียง 2-3 ชั่วโมง ในที่สุดพยาบาลก็มา
เธอให้ฝึกลมหายใจและเครื่องออกกำลังกายการหายใจ ผมบอกเธอว่าผมจะทำอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้หายไวไว
เธอบอกให้ฉันออกกำลังกายด้วยเครื่องหายใจ 10 ครั้งต่อชั่วโมง
ตอนนั้นหมอปรากฏตัวที่ประตู (แต่จะไม่เข้ามาในห้อง)
ผมถามเขาว่าผมจะทำอะไรได้มากที่สุดเพื่อที่จะมีโอกาสหาย
เขาบอกให้ผมออกกำลังกายด้วยเครื่องหายใจ ทุกๆ ครั้งที่มีโฆษณาทางทีวี
ผมถามหมอว่า ถ้าทำต่อเนื่องเลยหละ หมอบอกว่าย่งทำมากยิ่งดี
ผมไม่เคยหยุดทำการออกกำลังกายในการหายใจ (อันนี้ไม่แน่ใจเค้าทำยังไงกับเครื่อง breathing exercise machine)
เป็นเวลา 75 ชั่วโมงจนกระทั่งผมได้ออกจากโรงพยาบาล มันยากนะ ผมไม่ได้นอน ผมไม่ยอมแพ้
และคิดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะต่อสู้กับโรคนี้ได้ด้วยตัวเอง
ผม คอยดูระดับออกซิเจนบนหน้าจออยู่ตลอด
เมื่อออกกำลังกับเครื่องหายใจมากขึน ตัวเลขก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ผมมีความหวัง
และเหมือนเป็นกำลังใจว่า ทำมาถูกทางละ
วันแรกเริ่มค่าออกซิเจนที่ 80 และได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล 3 วันต่อมาเมื่อสามารถรักษาค่าออกซิเจอนอย่างน้อย 92 แต่เฉลี่ยที่ 94
จริง ๆ การได้ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลหลัก นั้นมีข้อดี
ตรงที่ผมได้มีเครื่องช่วยฝึกออกกำลังหายใจ แต่ รู้มั้ยว่า เวลากดเรียกพยาบาล ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าที่ทุกคนจะมาที่ห้องเมื่อคุณกดเรียก
มีครั้งนึง เมื่อพยาบาลเข้ามา เธอร้องไห้และบอกผมว่า เธอไม่รู้ว่าเธอจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่
เหตุผลหนึ่งที่ผม กด เรียก ต้องนั้น คือ ผมปวดปัสสาวะและไม่มีผ้าอ้อม เค้าให้ปัสสาวะบนเตียง ซี่งต้องมีเทคนิคนึดนึง ว่าใช้ยังไง
ตอนอยู่ใน ER ตลอดทั้งวันแค่ฝึกหายใจ ในที่สุดพวกเขาก็นำอาหารกลางวันมาให้ผมตอน บ่ายสามโมง ผมไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า
ตอนทุ่มนึง พวกเขาบอกผมว่ามีห้องธรรมดาให้บริการ ผมแค่ตื่นเต้นที่จะรู้ว่าผมไม่ต้องไป ICU ชายที่แข็งแรงมกำยำ สวมหน้ากาก มาช่วยเคลื่อนย้ายผม ผมริ่มมีความหวัง เขายกผมขึ้นจากเตียง ไปที่รถเข็นเ ขึ้นไปที่ชั้น 5 ตลอดเวลาบนรถ ก็มีออกซิเจนให้ช่วยหายในตลอด
วันที่ 8
ที่ห้องปกติ พยาบาลที่ดูแล Amazing มาก เขา วิ่งเข้าวิ่งออก ห้องโน้นห้องนี่
อย่างรวดเร็วมาก ออกห้องนี้ถอดชุดคลุมไปห้องนั้น ห้องนี้
พวกเขาจะทำใส่เครื่องการรักษา(ไม่รู้ว่าเป็นยังไงนะ) ใช้เวลา 15 นาที พวกเขาบอกผมว่า
ให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าพวกเค้าจะกลับมาถอดออก
เวลาผ่านไปนานมากจนผมรู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง ณ จุดนี้ ผมไม่รู้จริงๆว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ผมไม่เคยได้คุยหรือพบหมอเลย ทั้งหมดที่ผมทำคือ ผม ไม่เคยหยุดออกกำลังกายหายใจและอธิษฐาน ..
ผมจะกลัวในบางครั้งที่ไม่สามารถเพิ่มระดับออกซิเจนได้ ผม พยายามอย่างหนัก ไม่รู้ว่าทางออกของโรคนี้อยู่ที่ไหน
ตาผมเริ่มลาย เห็นเส้นหยักและจุด ๆ บางครั้งผมเห็นภาพหลอน เห็นหมาที่บ้านบนเตียง ที่อยู่ด้วยกันบ่อย ๆ 😊
แปลก แต่จริง ผมริ่มกังวลว่าสมองของผมขาดออกซิเจนมากจนเห็นภาพเหล่านี้ ผมแค่หายใจต่อไป
วันที่ 9
ผมไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหน แต่เป็นการวนซ้ำๆ ทุก 5 นาทีในการฝึกการหายใจ
จำได้ว่าพยาบาลกะกลางคืนดีเหลือกัน ผมน้ำตานอง ไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
ไม่มีได้คุยกับหมอเลย จนถึงวันนี้ ผมดีขึ้น หรือแย่กว่าเดิม หรือจะทำอะไรได้อีกไม่มีคนบอกอะไรผม
พยาบาลกะกลางคืน เธอบอกผมว่าเธอจะพยายามหาเวลาที่แพทย์สามารถมาดู ติดตามความคืบหน้าของผม
เธอกลับมาในคืนนั้นและ บอกผมว่า หมอบอกว่าอาการผมมันดีขึ้น (หมอที่นี่นี่กะไม่เจอคนไข้เลยเนอะ)
มันเป็นความโล่งใจที่ได้ยิน ที่ผมพยายามหายใจมและคำอธิษฐานมาตลอดนั้นได้ผลการสู้กับโรคนี้ได้ผลที่ดีขึ้น
ผมถามเธอว่าจะลองยืนได้ไหม เธอบอกว่า ลองได้เลย ผมสามารถยืนได้แล้ววันนี้แบบั้น
ผม มีความสุขมาก ที่ร่างกายผมดีขึ้น
วันที่ 10
ในแต่ละวันผ่านไปช่างยาวนานเหลือเกิน ผมรู้สึกว่า ร่างกายของผมชนะ !!!
การรักษาทางเดินหายใจการออกกำลังกายการหายใจแบบไม่หยุดยั้ง สเตรียรอยด์
และคำอธิษฐาน ทั้งหมดทำให้ภูมิคุ้มกันของผมได้เอาชนะ COVID
การต่อสู้นี้ ความดันโลหิตของผมสูงถึง 170/100
ผมต้องใช้อินซูลินเป็นครั้งแรกในชีวิต เพราะสเตียรอยด์ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
นี่เป็นการเตือนผมเรื่องสุขภาพทั้งหัวใจและโรคเบาหวาน แม้ว่าโดยทั่วไปผมจะอายุเฉลี่ย 51 ปีมีน้ำหนักเกินเล็กน้อย
แต่ผู้ที่วิ่ง 10 ไมล์ต่อสัปดาห์อย่างผม ควรมีสุขภาพดีขึ้น ผมมีความดันโลหิตสูง
โชคดีที่มันไม่ได้สูงมากจนเป็นโรคหัวใจ แต่อยากให้สุขภาพตัวเองดีขึ้นผมไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน
แต่ผมหวังว่าจะมีระดับน้ำตาลที่ดีขึ้นและเป็นแค่ "pre-diabetic" ระหว่างนี้ผม ได้รับ blood thinning shots ที่ท้องเพื่อลดโอกาศ clots.
สุดท้ายนี้
ของคุณภรรยา เจ้าหน้าที่ Houston Methodist Conco Ranch ER, Houston Methodist West และเพื่อนฝูงที่ให้กำลังใจทุกคน
ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาก อย่างไร โรคนี้มันไม่เลือก และสามารถส่งผลกระทบต่อคนหนุ่มสาวที่มีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็วอย่างเหนือความคาดหมาย
ผม อาจจะติดโรคนี้จะที่ไหนไม่มีทางรู้ อาจจากบางคน แม้ว่าผมจะสวมหน้ากาก ฉีดยาฆ่าเชือบนรถเข็น แอลกอฮอลเจลที่มือ พ่นเสปร์ยที่แคชเชียร์ ทุก ๆ ครั้งด้วยความระวังตัวก็ตาม เป็นไปได้ว่าผม อาจไป Supermarket ในช่วยที่คนเยอะ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาสั่น ๆ ผมจำไม่ได้ว่าอยู่ใกล้ใครในระยะในระยะ 6 ฟุต มาบ้าง แต่อาจเป็น Supermarket ที่คนเยอะ ที่ผมสงสัย ผมว่าผมน่าจะสั่งและมารับหน้าร้านแบบ curb side pick-up แต่วันนั้นผมกังวลว่าของจะหมดเลยเข้าไปซื้เอง ผมยังนึกไม่ออกว่าผมติดมาจากที่ไหน และผมยังคง กักตัว่ต่อที่บ้าน
อยากให้ทุกคนทำมากกว่า go beyond ที่ทางรัฐแนะนำ อยู่บ้านถ้าเป็นไปได้ สั่งอาหารและไปรับ อย่าเข้าไปในร้าน ใส่หน้ากาก ตลอดเวลาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน อยู่ห่างจากผุ้อื่นอย่างน้อย 6 ฟุต มีแอลกอฮอลเจตล้างมือติดตัวเสมอ และใช้ล้างทุก ๆ ครั้งที่จับอะไรก็ตาม
ขอให้ทุกคนปลอดภัย มีกำลังใจ สู้โรค