สังคมคนวัยทำงาน ระหว่าง คนที่จบปริญญาตรี กับ คนที่ไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี คุณคิดว่ามันต่างกันอย่างไรเหรอครับ

ผมอายุ 20 ปีเองครับ
คือ ตอนที่ผมเรียนจบ ม.6 มาแล้ว ผมก็ออกมาทำงานเซเว่น
เพื่อนๆในที่ทำงานที่เป็นพนักงานเซเว่น คือ หลายคนจบเพียง ม.3 ม.6 ปวช. กศน.
ยกเว้น คนที่ทำงานพาร์ทไทม์ คือ เรียน ป.ตรี และก็ทำงานหารายได้เสริมไปด้วย
ผู้จัดการเซเว่นที่ผมทำเขาก็จบเพียง ม.3 เท่านั้น
การทำงาน คือ กดดันมากครับ ใครทำงานไม่เรียบร้อยโดนด่าสารพัด อย่าให้ใครมาจ้ำจี้จ้ำไช
ต้องทำงานกันเป็นระบบ งานคืองาน เล่นคือเล่น
ไม่มีการที่จะมาหยอกล้อในระหว่างการทำงาน
ผู้จัดการก็โหดสุดขีด แต่พอเวลาหลังเลิกงานแล้ว หรือทุกคนทำงานเรียบร้อยกันหมดแล้ว
เพื่อนๆในที่ทำงานก็เฮฮา พูดคุยกันปกติ หยอกล้อกันปกติ

หลังจากที่ผมทำงานเซเว่นได้ 3 เดือน ผมก็ลาออกไปเรียนมหาลัย แต่เรียนได้แค่ 3 เดือน ผมก็ตัดสินใจลาออกเพราะเรียนในสาขาที่ไม่ได้ชอบ

หลังจากที่ผมออกจากมหาลัยมา ผมก็ออกมาทำงานเป็นแคชเชียร์ที่ห้างแห่งหนึ่ง
เพื่อนๆในที่ทำงานที่อยู่ตำแหน่งแคชเชียร์คือ จบเพียง ม.3 ม.6 กศน. ปวช.
เพื่อนๆแคชเชียร์ทุกคนนั้นคือ ตั้งใจทำงานกันดีมาก งานคืองาน เล่นคือเล่น ไม่มีการมาหยอกล้ออะไรกันในระหว่างทำงานเลยสักคน
เวลาพัก เวลาเลิกงาน ทุกคนก็เฮฮา สังสรรค์ พูดคุยกันได้ตามปกติ

หลังจากที่ผมทำงานแคชเชียร์ได้ 2 เดือนผมก็ลาออกไปทำงานร้านตู้เกม บ้านบอล
ทำงานได้ไปสักพักก็มาเจอช่วงโควิด ผู้จัดการเขาเลยให้ผมเขียนใบลาออกทันที
แต่โชคดีที่ช่วงโควิด ผมได้เงินเยียวยา

หลังจากช่วงโควิดเริ่มดีขึ้น ผมก็ย้ายมาทำงานที่ร้านอาหารภัตตาคารแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตอนนี้ผมทำงานได้มาเดือนกว่าๆแล้ว
ซึ่งเพื่อนในที่ทำงานครึ่งต่อครึ่ง เป็นคนไทยและคนลาว
บอกตรงๆว่าการทำงานในที่นี้ ต้องเรียบร้อย เป๊ะหมดทุกอย่าง และเพื่อนๆในที่ทำงานทุกคนคือตั้งใจทำงานกันดีมากๆ ทำงานกันเป็นระบบ หน้าที่ใครหน้าที่มัน หากทำงานไม่เรียบร้อย โดนด่าสารพัด หากใครทำงานไม่ดีแล้ว แต่ไม่รับผิดชอบ ไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง เจ้าของร้านเขาให้ลาออกทันทีครับ

หลายคนที่เรียนจบ ป.ตรี มักมองคนที่ไม่เรียนจบ ป.ตรีว่า ตอนเรียนเป็นคนไม่ตั้งใจเรียน อนาคตการทำงานคงไม่มีความตั้งใจแน่ๆ
แต่คุณคิดผิดครับ
ผมเองมีประสบการณ์หลายๆอย่างกับการทำงานของคนที่ไม่ได้จบ วุฒิ ป.ตรี นี่ แต่ละคนคือตั้งใจทำงานกันดีมาก
ผมมองว่า ถึงคนที่ไม่ได้เรียนจบ ป.ตรี เขาอาจจะไม่เก่งเรื่องทฤษฎี แต่เขาเก่งเรื่องปฏิบัติครับ

แล้วคนที่เรียน ป.ตรี ล่ะ ถึงคุณจะเก่งเรื่องทฤษฎี แต่เรื่องปฏิบัติล่ะ คุณเก่งมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องมาวัดกันดูอีกที

อย่างกระทู้นี้ที่ผมเคยตั้งไป
https://m.pantip.com/topic/40081348?

ปีหน้านี้ผมวางแผนจะเรียนต่อมหาลัยครับ
เพราะผมเจอสาขาที่ผมชอบจริงๆแล้ว
อนาคตถ้าผมเรียนจบไป คือ ผมจะต้องทำงานร่วมกับคนที่จบ ป.ตรี อยู่แล้ว
แต่คือ ผมยังไงไม่รู้ว่าสังคมการทำงานของคนที่จบ ป.ตรี จะเป็นอย่างไรนะครับ
แต่สิ่งที่แตกต่างแน่ๆคือ เงินเดือน
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
เรามีเพื่อนหลายระดับ
พวกจบ ป.ตรี จะมีวิธีคิดที่เป็นระบบกว่า

คนจบไม่สูง ถ้าจะเข้าทำงานในที่ดีๆ ต้องตั้งใจมากอยู่แล้วค่ะ
เพราะสกิลคุณไม่ได้มีอะไรโดดเด่น หาได้ทั่วไป
ถ้าพฤติกรรมยังไม่ดีอีก ก็จะไม่มีอะไรดีเลย
ใครจะอยากจ้าง

จริงๆ ไม่ต้องจบ ป.ตรี ก็ได้ แต่ต้องมีวิธีหาเงินเลี้ยงตัวเองได้
ปวช. ปวส. ม.6 เราว่าระดับนี้ยังพอโอเค
แต่ ม.3 คือน้อยเกินไป

ที่ จขกท เขียนมา
ในวงการทำงานมันเป็นเรื่องปกติมากนะคะ
อยากได้เงินเขา ก็ต้องทำตามกฎ
ไม่ทำเขาก็หักเงิน ไม่ทำเขาก็ไล่ออก ประเมินให้คะแนนต่ำ

สิ่งที่น่าเอือมที่สุดของคนจบน้อยคือการเข้าสังคมของเขา
ไม่ถูกจริตเราเลยจริงๆ คบหาได้ แต่ให้สนิทคงไม่เอา
ส่วนใหญ่หยาบคายเป็นนิสัย พูดเรื่องใต้สะดือกันสนุกปาก ไม่ได้ดูกาลเทศะอะไร
ชอบบูลลี่และเหยียดคนอื่น และคิดว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน
การคุยทะลึ่งหยาบคายจะอยู่ในผู้ชายที่ไม่ได้จบตรีซะเยอะ ใช้คำว่า หมอนวด กะ--ี่  อะไรพวกนี้จนชินปาก
เพื่อนที่ไม่ได้จบตรี โพสอะไรลงเฟสแต่ละอย่าง มีแต่เรื่องทางลบ ใช้คำหยาบคาย
(ทำไมเราทนดู ไม่ลบเพื่อนไปล่ะ? เพราะนี่ข้อมูลพฤติกรรมคนค่ะ เราชอบสังเกตและเก็บข้อมูล)
จิตสาธารณะเขาจะไม่ค่อยมี
แบบเทศกาลที กินเหล้าเปิดเพลงดังลั่น ไม่เกรงใจใครนี่ ส่วนใหญ่คือคนกลุ่มนี้แทบทั้งนั้น

เขาก็ไม่ได้เลวร้ายหรอก เขาแค่เคยชินแบบนั้น แต่เราไม่ชิน

คนที่ดีๆ ก็มีนะคะ แต่ส่วนน้อย
ความคิดเห็นที่ 7
การเรียนระดับปริญญา หรือ ระดับอื่น ๆ
ก็เพื่อนำไปประกอบอาชีพในวันข้างหน้าครับ

เราลองมาแยกกันก่อน
ระหว่าง งานที่ต้องใช้วุฒิการศึกษา กับ งานที่ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา
- งานที่ต้องใช้วุฒิการศึกษา
  คือ งานที่ต้องใช้ความรู้ทักษะทางวิชาการ ผู้ที่จะประกอบอาชีพได้ ต้องเรียนจบคุณวุฒิตามที่กำหนด เช่น
  ทนาย, ผู้พิพากษา, แพทย์, บัญชี, เภสัช, นักโภชนาการ, พยาบาล, วิศวกร, สถาปนิก เป็นต้น
  จะสังเกตได้ว่า งานจำพวกนี้ คนที่ไม่ได้เรียนมาตรงสาย จะประกอบอาชีพเหล่านี้ไม่ได้เลย
- งานที่ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา
  คือ งานที่เน้นฝีมือ, ประสบการณ์ หรือแรงงาน มากกว่าวุฒิการศึกษา เช่น
  พนักงานขับรถ, พ่อครัว, แม่ค้า, เกษตรกร, งานบริการ, ผู้จัดการร้านค้าปลีก, แม่บ้าน, คนสวน, รปภ., ช่างภาพ, จิตรกร, ช่างศิลป์ เป็นต้น
  จะสังเกตได้ว่า งานจำพวกนี้ จะไม่ให้ความสำคัญที่วุฒิการศึกษา
  แม้คนที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรง หรือไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาเลย ก็สามารถประกอบอาชีพประเภทนี้ได้

ถ้าไม่เรียน
ยกตัวอย่าง เช่น การที่เราจบ ม.6 โดยไม่เรียนต่อมหาลัย แต่ออกมาทำงานเลยนั้น
จะใช้ได้กับกรณี งานที่ไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษา หรือ งานที่เน้นฝีมือ, ประสบการณ์ หรือแรงงาน เท่านั้น เช่น
- พนักงานขับรถยนต์ ซึ่งเน้นทักษะและประสบการณ์ในการขับรถ ไม่ได้เน้นวุฒิการศึกษา
  รถยนต์ เมื่อแยกตามประเภทใบขับขี่ จะมี 4 ประเภทหลักๆ (ขอแยกคร่าว ๆ) คือ
  1. รถยนต์ (รถยนต์ 4 ล้อทั่วไป)
  2. รถบรรทุก
  3. รถพ่วง
  4. รถบรรทุกสารอันตราย
  คนที่จบ ม.6 มา และหัดขับรถทันที เมื่ออายุ 22 - 23 (เท่ากับเพื่อนรุ่นที่จบ ป.ตรี) ก็อาจจะฝึกฝนจนสามารถขับรถพ่วงได้แล้ว
- เชฟ  ซึ่งเน้นทักษะและประสบการณ์งานครัว ไม่ได้เน้นวุฒิการศึกษา
  คนที่จบ ม.6 และเริ่มทำงานครัวเลย ย่อมมีประสบการณ์มากกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์
เป็นต้น

แต่ เมื่อมองในแง่ของ งานที่ต้องใช้วุฒิการศึกษา นั้น
อย่างที่ผมยกตัวอย่างอาชีพ เช่น ทนาย, ผู้พิพากษา, แพทย์, บัญชี, เภสัช, นักโภชนาการ, พยาบาล, วิศวกร, สถาปนิก ฯลฯ
ลองพิจารณาดู จะพบว่า อาชีพเหล่านี้จะใช้ความรู้ระดับ ม.6 ไม่ได้เลย
หรือแม้แต่จะใช้ความรู้ระดับเดียวกันหรือสูงกว่า แต่ต่างสาขา ในบางอาชีพก็ใช้ไม่ได้
เพราะสาขาพวกนี้เป็นสาขาอาชีพเฉพาะทาง
ต่อให้คุณ เริ่มงานตั้งแต่อายุ 15 คุณก็จะเข้าสู่วงการอาชีพเหล่านี้ไม่ได้ครับ
ยังไม่รวมถึงงานทั่ว ๆ ไป ที่กำหนคคุณวุฒิ ทั้งงานในหน่วยงานของรัฐ หรืองานเอกชน ต่าง ๆ
เช่น พนักงานขายสารเคมีกำจัดแมลง ซึ่งจะเจาะจงรับคนที่จบเกษตร
แม้คุณเรียนจบ ป.เอก นิติศาสตร์ ก็ไม่รับ
หรือ ข้าราชการตำแหน่งนักวิชาการเกษตร ซึ่งกำหนดรับ ป.ตรี หลายสาขา
แม้คุณจะเป็นเกษตรกรเต็มขั้น ประสบการณ์ทำเกษตร 10 ปี ถ้าไม่จบ ป.ตรี ก็บรรจุไม่ได้ เพราะระเบียบกำหนดไว้
เป็นต้น

อีกอย่างนึง
งานที่สามารถใช้วุฒิ ม.6 สมัครได้ ก็แปลว่างานนั้น ๆ ต้องการเพียงความรู้ระดับแค่วุฒิ ม.6
ประสบการณ์ที่ได้ ก็เป็นระดับงานความรู้ระดับ ม.6
สมมุติ คุณใช้วุฒิ ม.6 สมัครงานในโรงพยาบาล คุณก็จะได้ทำงานในความรู้ระดับ ม.6
คงไม่สามารถก้าวล่วงไปทำงานระดับปริญญาได้ (เช่น แพทย์, เภสัช, พยาบาล, รังสีเทคนิค เป็นต้น)
เช่น คุณทำหน้าที่พนักงานเข็นเตียง คุณก็มีประสบการณ์ในระดับพนักงานเข็นเตียง
ความก้าวหน้าก็อาจจะไปได้ถึง หัวหน้าพนักงานเข็นเตียง แล้วก็ตันอยู่แค่นั้น
จะขึ้นเป็นหัวหน้าแผนก, ผอ.โรงพยาบาล ฯลฯ ก็ไม่ได้
ถ้าอยากจะเป็น แพทย์, พยาบาล, เภสัช ก็ต้องเรียนต่อระดับปริญญา ในสาขานั้น ๆ
จะมาใช้ความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับตอนเป็นพนักงานเข็นเตียง เลื่อนขั้นเป็น แพทย์, พยาบาล, เภสัช เลยก็ไม่มีทาง
พอเห็นความสำคัญของการศึกษาบ้างรึยังครับ

หรือ สรุปสั้น ๆ
การศึกษา ไม่มีเสียเปล่าหรอกครับ
แม้การศึกษาจะไม่ใช่สิ่งรับประกันว่าจะต้องประสบความสำเร็จแน่ ๆ
แต่การศึกษา เป็นการเปิดเส้นทางสู่ความสำเร็จทางหนึ่งครับ
ถ้าอยากมีการมีงานดี ๆ ทำ แบบที่ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ
แนะนำให้เรียนให้สูงที่สุดครับ

แต่ถ้าคุณมีฝีมือความสามารถ เช่น ร้องเพลง แต่งเพลง วาดภาพ ประติมากรรม การแสดง ฯลฯ ที่เทพมาก ๆ
แบบนี้จะไม่ต้องเรียนหนังสือก็ได้ครับ
ความคิดเห็นที่ 3
คุณก็ไปตั้งแง่ของคุณเอง ผมเข้ามาอ่านก็นึกว่าจะถามความเห็นอะไร แต่นี่ตั้งแง่ตั้งแต่ต้นว่าคนจบปริญญาตรีมองคนที่ไม่จบว่าด้อยกว่า ตัดสินคนอื่นเรียบร้อยเสร็จสรรพ

เอาจริงๆ ผมก็จบปริญญาตรีนี่แหละครับ ที่เรียนเนี่ยไม่ใช่จะเอามาดูถูกคนอื่นหรือว่าจะเรียนมาเพื่อยกตนข่มท่านอะไรหรอกครับ ที่เรียนเนี่ยก็เพราะคาดหวังว่าจะได้เอาความรู้มายกระดับความเป็นอยู่ของตัวผมเองให้สูงขึ้น ตั้งใจเรียนก็เพื่อคาดหวังว่าอนาคตมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่ ก็แค่นั้นเองครับ

อย่าพยายามไปถากถางคนอื่นเลยครับ สังคมเราแบ่งแยกมากพออยู่แล้ว เขาเรียนจบปริญญาตรีก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาครับ เขาเรียนไปไม่จบปริญญาตรี หรือเขาจะจบเอก จบโทอะไร ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไปครับ ถ้าเกิดว่ามีประเด็นดราม่าเรื่องมีการมาดูถูกกันเรื่องการศึกษา ฐานะ อะไรพวกนี้ค่อยมาพูดให้เป็นประเด็นไปทีละกรณีๆดีกว่าครับ

ส่วนเรื่องที่พยายามมาแยกเรื่องเก่งทฤษฎี เก่งปฏิบัติอะไรพวกนี้ก็เหมือนกัน ผมฟังมาบ่อยจนทุกวันนี้ก็ยังได้ยินอยู่ เชื่อเถอะครับว่าคำพูดพวกนี้ไม่ได้ทำให้ใครดูดีขึ้นเลยครับ องุ่นเปรี้ยวเฉยๆ คนที่เรียนมาก็ไม่ได้เก่งทฤษฎีกันทุกคนนะครับ บางคนก็เรียนผ่านๆ บางคนก็เก่งบางด้าน บางคนก็ดันไปเก่งด้านที่ตัวเองไม่ได้เรียน แต่ที่เก่งเพราะสนใจศึกษาเอาเอง ส่วนบางคนที่ปฏิบัติมาหลายปี ก็ใช่ว่าจะเก่งกว่าคนที่เพิ่งจะเข้ามาปฏิบัตินะครับ ผมทำงานมาหลายปี ก็เคยเห็นเด็กเพิ่งเข้าทำงานกลับทำงานดีกว่าคนที่อยู่มานานก็เยอะแยะไปครับ หรือไม่ก็เห็นคนที่อายุเยอะกว่ากลับทำงานใช้แรงได้คล่องแคล่วกว่าคนที่อายุอ่อนกว่าก็เยอะแยะอีกเช่นกัน

ผมทำงานมาก็นาน พนักงานธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำเรียนสูงมากมายอะไรมา บางคนก็ทำงานได้ดี รู้หน้าที่ เชื่อฟัง ให้เกียรติผู้ร่วมงาน แต่ก็มีบางคนที่ทำงานไม่ดี ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง ไม่เชื่อฟัง ไม่ให้เกียรติผู้ร่วมงานนั่นก็มี มันมีกันทุกกลุ่มนั่นแหละครับ ไม่ว่าจะการศึกษาระดับไหน มันไม่เกี่ยวกันครับ โดยส่วนตัวผมก็ไม่เคยมองว่าเขามีศักดิ์ศรีความเป็นคนที่ต่ำกว่านะครับ แต่ระดับผู้ใต้บังคับบัญชา ศักดิ์หรืออำนาจการบริหารก็ต้องย่อมต่ำกว่าอยู่แล้วครับ ไม่มันเท่ากันหรอกครับในเชิงศักดิ์การทำงาน แต่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่ากันน่ะครับ

สังคมปริญญาตรีก็ปกติทั่วไปเหมือนสังคมอื่นๆแหละครับ มีรัก โลภ โกรธ อิจฉา ริษยา ดี ไม่ดี จริงใจ ไม่จริงใจ เป็นเหมือนสังคมอื่นๆนั่นแหละครับ แต่ต่างกันที่บุคลิกภาพ การแสดงออก อันเนื่องมาจากภาระหน้าที่ที่ต่างกัน แต่อารมณ์ความรู้สึกก็เหมือนคนทั่วไปนี่แหละครับ แต่วิสัยทัศน์ มุมมอง อะไรมันก็แตกต่างตามประสบการณ์ทำงานและสังคมการทำงานของแต่ละคนน่ะครับ
ความคิดเห็นที่ 10
เดี๋ยวโตขึ้นอีกหน่อยก็จะเข้าใจอะไรเอง คนจบ ป.ตรีส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เอาเวลาว่างว่านั่งคิดเรื่องคนไม่จบ ป.ตรีค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
ยิ่งเรียนสูง ยิ่งมีความรู้มากขึ้น
ความรู้จะเปิดประตูสู่โลกที่กว้างขึ้นได้ง่าย
เช่นเดียวกับกระทู้นี้ ที่เนื้อหาดูเหมือนยังอยู่ในโลกแคบๆของตัวเอง
อนาคตถ้าคุณได้ไปเรียนต่อจนจบ ป.ตรี สิ่งที่แตกต่างอาจไม่ใช่เงินเดือน แต่เป็นมุมมองของคุณที่มันกว้างขึ้นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่