จากเนื้อความในกระทู้เก่า
https://pantip.com/topic/40073767/comment13-9
-----------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 13-9
อรรถกถา ทั้งฉบับหลวง มหาจุฬา ตีความคงไม่แปลคำต่อคำ ไม่งั้นคงไม่ต้องเรียนบาลี ใครๆก็ใช้พจนานุกรมของอรรถกถามาเปิดแปลกัน ก็คงพอทักท้วงมาด้วยความหวังดี
บาลีจารึกไทย
[๓๔๙] กตฺถ อาโป จ ปวี จ เตโช วาโย น คาธติ
กตฺถ ทีฆญฺจ รสฺสญฺจ อนุ ถูลํ สุภาสุภํ
กตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌตีติ ฯ
ตตฺร เวยฺยากรณํ ภวติ ฯ
[๓๕๐] วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ อนนฺตํ สพฺพโตปภํ
เอตฺถ อาโป จ ปฐวี จ เตโช วาโย น คาธติ
เอตฺถ ทีฆญฺจ รสฺสญฺจ อนน ถูลํ สุภาสุภํ
เอตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌติ
วิญฺญาณสฺส นิโรเธน เอตฺเถตํ อุปรุชฺฌตีติ ฯ
ฉบับหลวง
[๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
[๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
ฉบับมหาจุฬา
[๔๙๘] แต่ควรถามอย่างนี้ว่า
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมตั้ง
อยู่ไม่ได้ในที่ไหน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียด
และหยาบ งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับสนิทในที่ไหน
[๔๙๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมตั้ง อยู่ไม่ได้ในวิญญาณ๑- ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด แต่มีท่าข้าม๒ โดยรอบด้าน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียด และหยาบ งามและไม่งาม ก็ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน นามและรูปย่อมดับสนิท ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน เพราะวิญญาณ๓- ดับไป นามและรูปนั้นก็ย่อมดับสนิทในที่นั้น”
@ ๑ วิญญาณ ในที่นี้หมายถึง พระนิพพาน (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖)
@ ๒ ท่าข้าม ในที่นี้หมายถึง กรรมฐาน ๓๘ ประการ (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๗)
@ ๓ จริมกวิญญาณบ้าง อภิสังขารวิญญาณบ้าง (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๗)
volk-w
--------------------------------------
ทั้งในเนื่อความกล่าวชัดเจนแล้วว่า นิพพาน นั้น รูป-นาม ก็ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน นามและรูปย่อมดับสนิท ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน เพราะวิญญาณ๓- ดับไป นามและรูปนั้นก็ย่อมดับสนิทในที่นั้น”
แล้วทำไม จึงให้หมายเหตุว่า @ ๑ วิญญาณ ในที่นี้หมายถึง พระนิพพาน (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖)
ตามที่ผมประเมินไว้น่าจะเป็นอย่างนี้ เมื่อกำหนดไว้ว่า วิญญาณ๑- ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด ประกอบกับ ที่ผมพอประมาณตอบไว้...
*******************************
ความจริง ถ้าตามบัญญัติ ก็จะเป็นอย่างนั้นเข้า นิพพาน ทั้ง นามรูป วิญญาณ แม้แต่สังขาร รวมทั้ง อวิชชา ย่อมดับไป
แต่ในชีวิตจริงหรือการปฏิบัติ วิญญานดับ ด้วย นิพพานแล้ว ก็ไม่ใช่ว่า วิญญานนั้นดับแล้วไม่เกิดอีก เมื่อชีวิตยังดำเนินไป
ดังนั้นการเข้า ผลสมาบัติ ของพระอริยะ ย่อมรู้(วิญญาณ) ถึงสภาวะที่ก่อนสิ้นไป .... แล้วรู้(วิญญญาณ)เมื่อเริ่มถอนออกมา
ดังที่ผมพอจำได้ที่ พระสารีบุตร ได้แสดงให้กับพระพุทธเจ้า (หรือผู้อื่น) ในพระไตรปิฏก
ดังน้น รู้(วิญญาณ)เมื่อเริ่มถอนออกมา จิตนั้นย่อมมีนิพพานเป็นอารมณ์ (เมื่อ วิญญาณนั้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด) ก็ด้วยสภาวะนี้แหละ น่าจะเป็นเหตุ ที่หมายเหตุเช่นนั้นไว้ ในส่วนของ ฉบับมหาจุฬา
*******************************
ฉบับแบบ มหาจุฬา @ ๑ วิญญาณ ในที่นี้หมายถึง พระนิพพาน (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖) ทำไมหมายเหตุไว้อย่างนั้น?
-----------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 13-9
อรรถกถา ทั้งฉบับหลวง มหาจุฬา ตีความคงไม่แปลคำต่อคำ ไม่งั้นคงไม่ต้องเรียนบาลี ใครๆก็ใช้พจนานุกรมของอรรถกถามาเปิดแปลกัน ก็คงพอทักท้วงมาด้วยความหวังดี
บาลีจารึกไทย
[๓๔๙] กตฺถ อาโป จ ปวี จ เตโช วาโย น คาธติ
กตฺถ ทีฆญฺจ รสฺสญฺจ อนุ ถูลํ สุภาสุภํ
กตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌตีติ ฯ
ตตฺร เวยฺยากรณํ ภวติ ฯ
[๓๕๐] วิญฺญาณํ อนิทสฺสนํ อนนฺตํ สพฺพโตปภํ
เอตฺถ อาโป จ ปฐวี จ เตโช วาโย น คาธติ
เอตฺถ ทีฆญฺจ รสฺสญฺจ อนน ถูลํ สุภาสุภํ
เอตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌติ
วิญฺญาณสฺส นิโรเธน เอตฺเถตํ อุปรุชฺฌตีติ ฯ
ฉบับหลวง
[๓๔๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีพยากรณ์ดังต่อไปนี้
[๓๕๐] ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใส โดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้. นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ ดังนี้.
ฉบับมหาจุฬา
[๔๙๘] แต่ควรถามอย่างนี้ว่า
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมตั้ง
อยู่ไม่ได้ในที่ไหน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียด
และหยาบ งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
นามและรูปย่อมดับสนิทในที่ไหน
[๔๙๙] ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมตั้ง อยู่ไม่ได้ในวิญญาณ๑- ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด แต่มีท่าข้าม๒ โดยรอบด้าน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียด และหยาบ งามและไม่งาม ก็ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน นามและรูปย่อมดับสนิท ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน เพราะวิญญาณ๓- ดับไป นามและรูปนั้นก็ย่อมดับสนิทในที่นั้น”
@ ๑ วิญญาณ ในที่นี้หมายถึง พระนิพพาน (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖)
@ ๒ ท่าข้าม ในที่นี้หมายถึง กรรมฐาน ๓๘ ประการ (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๗)
@ ๓ จริมกวิญญาณบ้าง อภิสังขารวิญญาณบ้าง (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๗)
volk-w
--------------------------------------
ทั้งในเนื่อความกล่าวชัดเจนแล้วว่า นิพพาน นั้น รูป-นาม ก็ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน นามและรูปย่อมดับสนิท ในวิญญาณ๑- นี้เช่นเดียวกัน เพราะวิญญาณ๓- ดับไป นามและรูปนั้นก็ย่อมดับสนิทในที่นั้น”
แล้วทำไม จึงให้หมายเหตุว่า @ ๑ วิญญาณ ในที่นี้หมายถึง พระนิพพาน (ที.สี.อ. ๔๙๙/๓๒๖)
ตามที่ผมประเมินไว้น่าจะเป็นอย่างนี้ เมื่อกำหนดไว้ว่า วิญญาณ๑- ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด ประกอบกับ ที่ผมพอประมาณตอบไว้...
*******************************
ความจริง ถ้าตามบัญญัติ ก็จะเป็นอย่างนั้นเข้า นิพพาน ทั้ง นามรูป วิญญาณ แม้แต่สังขาร รวมทั้ง อวิชชา ย่อมดับไป
แต่ในชีวิตจริงหรือการปฏิบัติ วิญญานดับ ด้วย นิพพานแล้ว ก็ไม่ใช่ว่า วิญญานนั้นดับแล้วไม่เกิดอีก เมื่อชีวิตยังดำเนินไป
ดังนั้นการเข้า ผลสมาบัติ ของพระอริยะ ย่อมรู้(วิญญาณ) ถึงสภาวะที่ก่อนสิ้นไป .... แล้วรู้(วิญญญาณ)เมื่อเริ่มถอนออกมา
ดังที่ผมพอจำได้ที่ พระสารีบุตร ได้แสดงให้กับพระพุทธเจ้า (หรือผู้อื่น) ในพระไตรปิฏก
ดังน้น รู้(วิญญาณ)เมื่อเริ่มถอนออกมา จิตนั้นย่อมมีนิพพานเป็นอารมณ์ (เมื่อ วิญญาณนั้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด) ก็ด้วยสภาวะนี้แหละ น่าจะเป็นเหตุ ที่หมายเหตุเช่นนั้นไว้ ในส่วนของ ฉบับมหาจุฬา
*******************************