ได้ดูหนัง บอร์นทูรัน ภาพยนตร์ดราม่าความยาว 112 นาที สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของ
เด็กชายชาวอินเดียนาม บุเดีย ซิงห์
และ ข้อมมูล จาก เพจ นักวิ่ง ครับ
บุเดีย เกิดในรัฐโอดิชา ประเทศอินเดีย ในราวปี 2002 (พ.ศ. 2545) พ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเป็นทารก
ผู้เป็นแม่ยากจนไม่สามารถเลี้ยงเขาต่อไปจึงขายเขาให้กับเซลส์แมนที่เดินทางผ่านมาในราคา 800 รูปี
เพื่อนำเงินมารักษาอาการป่วยเมื่อบุเดียอายุได้เพียง 2 ขวบ แต่แม่ของเขาก็ยังไปขอให้บิรันชิ แดช ผู้ดูแลศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้า และโค้ชยูโด
ให้ช่วยไปไถ่ตัวลูกออกมา บิรันชิ จ่ายเงิน 800 รูปีคืนให้กับเซลส์แมน และรับตัวบุเดียเข้าไว้ในศูนย์ดูแลเด็กกำพร้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความที่บุเดียเป็นเด็กสลัม เติบโตขึ้นมาท่ามกลางคนชั้นต่ำ ใช้ภาษาหยาบคาย ทำให้วันหนึ่งเขาใช้คำหยาบกับเพื่อนในศูนย์ฯ
เพื่อนได้นำความไปฟ้องโค้ชบิรันชิ โค้ชไม่ลงโทษเด็กในศูนย์ด้วยการตี แต่เขาลงโทษด้วยการให้ออกกำลังกาย
จึงลงโทษให้บุเดียวิ่งรอบลานซ้อมยูโดตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า แล้วโค้ชก็ออกไปทำงานนอกบ้าน ลืมไปว่าได้สั่งลงโทษให้บุเดียวิ่งอยู่
และคิดว่าเขาจะหยุดพักเองเมื่อเหนื่อย แต่พอโค้ชกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาบ่ายโมงเศษก็พบว่าบุเดียยังคงวิ่งอยู่อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ทำให้โค้ชผุดความคิดว่าน่าจะฝึกให้เขาวิ่งมาราธอน เป็นความฝันที่เขาจะสามารถปั้นนักวิ่งคนนี้ให้เป็นนักวิ่งระดับชาติ หรืออาจจะไปถึงโอลิมปิกเลยทีเดียว โค้ชจึงเริ่มสอน และฝึกซ้อมให้บุเดียวิ่งระยะไกล
จนกระทั่งบุเดียสามารถวิ่งจบฮาล์ฟมาราธอน 6 ครั้งเมื่ออายุได้ 3 ขวบ และจบฟูลมาราธอน 48 ครั้งเมื่อเขามีอายุเพียง 4 ขวบ
ในปี 2006 (พ.ศ. 2549) โค้ชได้จัดให้บุเดียวิ่งจากเมืองบุบานิสวา ไปยังเมืองภูริ เป็นระยะทาง 40 ไมล์ (65 กิโลเมตร)
ซึ่งบุเดียสามารถทำเวลาได้ 7 ชั่วโมง 2 นาที แล้วโค้ชให้เขาวิ่งต่อเพื่อไปยังสนามกีฬาของเมืองซึ่งอยู่ห่างไปอีกประมาณ 1.5 ไมล์
เพื่อพบกับผู้สื่อข่าวและชาวเมืองที่รอต้อนรับกันอยู่ บุเดียเกิดอาการสูญเสียความร้อนในร่างกายอย่างหนัก อาเจียรน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมาทั้งหมด
หลายคนเห็นว่าโค้ชบังคับ ทรมาณเด็ก จึงเริ่มมีคนต่อต้าน ทางสมาพันธ์ฯ สั่งห้ามให้เขาหยุดวิ่งระยะไกล
แต่โค้ชบิรันชิยังขัดขืนให้บุเดียวิ่งระยะไกลต่อไป สมาพันธ์ฯ ทำหนังสือออกทางสื่อต่างๆ ว่า โค้ชอาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงจากชื่อเสียงของบุเดีย
เพื่อหารายได้เป็นเงินทอง จนผู้เป็นแม่ของเด็กเข้ามาขอส่วนแบ่งรายได้ จนในที่สุดเป็นคดีฟ้องร้องเพื่อขอตัวลูกกลับไปเลี้ยงดูเอง
และสอนให้บุเดียให้ปากคำฟ้องร้องโค้ชว่า โค้ชมีการทำร้าย บังคับขู่เข็ญให้เขาวิ่ง โค้ชแพ้คดี และถูกลอบสังหารโดยมือปืนรับจ้างในเวลาต่อมาไม่นาน
บุเดียได้รับการช่วยเหลือให้เข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐ แต่ถูกจำกัดการวิ่งระยะไกล และไม่มีอาหารพิเศษใดๆ
ต่างกับครั้งที่อยู่กับโค้ชบิรันชิที่ให้เขาทานตับ และน่องไก่ เดิมทีรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้เขาวิ่งระยะไกลจนกว่าจะอายุ 12
แต่เวลานี้คำสั่งได้เปลี่ยนเป็นจนกว่าเขาจะอายุครบ 18 ปี
แต่เขาก็จะรอคอย และคิดว่ายังวิ่งระยะไกลได้เหมือนเดิม และยังฝันที่จะคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาราธอนมาให้กับโค้ชบิรันชิที่จากไปแล้วมาให้ได้
ถ้า เด็ก อินเดียBudhia Singh คนนี้ ได้ฝึกอย่างถูกต้อง เขาจะเก่งสู้ นักวิ่งมาราธอน จาก อาฟริกา มั้ย
เด็กชายชาวอินเดียนาม บุเดีย ซิงห์
และ ข้อมมูล จาก เพจ นักวิ่ง ครับ
บุเดีย เกิดในรัฐโอดิชา ประเทศอินเดีย ในราวปี 2002 (พ.ศ. 2545) พ่อเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเป็นทารก
ผู้เป็นแม่ยากจนไม่สามารถเลี้ยงเขาต่อไปจึงขายเขาให้กับเซลส์แมนที่เดินทางผ่านมาในราคา 800 รูปี
เพื่อนำเงินมารักษาอาการป่วยเมื่อบุเดียอายุได้เพียง 2 ขวบ แต่แม่ของเขาก็ยังไปขอให้บิรันชิ แดช ผู้ดูแลศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้า และโค้ชยูโด
ให้ช่วยไปไถ่ตัวลูกออกมา บิรันชิ จ่ายเงิน 800 รูปีคืนให้กับเซลส์แมน และรับตัวบุเดียเข้าไว้ในศูนย์ดูแลเด็กกำพร้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความที่บุเดียเป็นเด็กสลัม เติบโตขึ้นมาท่ามกลางคนชั้นต่ำ ใช้ภาษาหยาบคาย ทำให้วันหนึ่งเขาใช้คำหยาบกับเพื่อนในศูนย์ฯ
เพื่อนได้นำความไปฟ้องโค้ชบิรันชิ โค้ชไม่ลงโทษเด็กในศูนย์ด้วยการตี แต่เขาลงโทษด้วยการให้ออกกำลังกาย
จึงลงโทษให้บุเดียวิ่งรอบลานซ้อมยูโดตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า แล้วโค้ชก็ออกไปทำงานนอกบ้าน ลืมไปว่าได้สั่งลงโทษให้บุเดียวิ่งอยู่
และคิดว่าเขาจะหยุดพักเองเมื่อเหนื่อย แต่พอโค้ชกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาบ่ายโมงเศษก็พบว่าบุเดียยังคงวิ่งอยู่อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ทำให้โค้ชผุดความคิดว่าน่าจะฝึกให้เขาวิ่งมาราธอน เป็นความฝันที่เขาจะสามารถปั้นนักวิ่งคนนี้ให้เป็นนักวิ่งระดับชาติ หรืออาจจะไปถึงโอลิมปิกเลยทีเดียว โค้ชจึงเริ่มสอน และฝึกซ้อมให้บุเดียวิ่งระยะไกล
จนกระทั่งบุเดียสามารถวิ่งจบฮาล์ฟมาราธอน 6 ครั้งเมื่ออายุได้ 3 ขวบ และจบฟูลมาราธอน 48 ครั้งเมื่อเขามีอายุเพียง 4 ขวบ
ในปี 2006 (พ.ศ. 2549) โค้ชได้จัดให้บุเดียวิ่งจากเมืองบุบานิสวา ไปยังเมืองภูริ เป็นระยะทาง 40 ไมล์ (65 กิโลเมตร)
ซึ่งบุเดียสามารถทำเวลาได้ 7 ชั่วโมง 2 นาที แล้วโค้ชให้เขาวิ่งต่อเพื่อไปยังสนามกีฬาของเมืองซึ่งอยู่ห่างไปอีกประมาณ 1.5 ไมล์
เพื่อพบกับผู้สื่อข่าวและชาวเมืองที่รอต้อนรับกันอยู่ บุเดียเกิดอาการสูญเสียความร้อนในร่างกายอย่างหนัก อาเจียรน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมาทั้งหมด
หลายคนเห็นว่าโค้ชบังคับ ทรมาณเด็ก จึงเริ่มมีคนต่อต้าน ทางสมาพันธ์ฯ สั่งห้ามให้เขาหยุดวิ่งระยะไกล
แต่โค้ชบิรันชิยังขัดขืนให้บุเดียวิ่งระยะไกลต่อไป สมาพันธ์ฯ ทำหนังสือออกทางสื่อต่างๆ ว่า โค้ชอาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงจากชื่อเสียงของบุเดีย
เพื่อหารายได้เป็นเงินทอง จนผู้เป็นแม่ของเด็กเข้ามาขอส่วนแบ่งรายได้ จนในที่สุดเป็นคดีฟ้องร้องเพื่อขอตัวลูกกลับไปเลี้ยงดูเอง
และสอนให้บุเดียให้ปากคำฟ้องร้องโค้ชว่า โค้ชมีการทำร้าย บังคับขู่เข็ญให้เขาวิ่ง โค้ชแพ้คดี และถูกลอบสังหารโดยมือปืนรับจ้างในเวลาต่อมาไม่นาน
บุเดียได้รับการช่วยเหลือให้เข้าศึกษาในโรงเรียนของรัฐ แต่ถูกจำกัดการวิ่งระยะไกล และไม่มีอาหารพิเศษใดๆ
ต่างกับครั้งที่อยู่กับโค้ชบิรันชิที่ให้เขาทานตับ และน่องไก่ เดิมทีรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้เขาวิ่งระยะไกลจนกว่าจะอายุ 12
แต่เวลานี้คำสั่งได้เปลี่ยนเป็นจนกว่าเขาจะอายุครบ 18 ปี
แต่เขาก็จะรอคอย และคิดว่ายังวิ่งระยะไกลได้เหมือนเดิม และยังฝันที่จะคว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาราธอนมาให้กับโค้ชบิรันชิที่จากไปแล้วมาให้ได้