ตอนแรกผมก็เข้าใจมาตลอดว่า การไฟฟ้าสนับสนุนให้คนหันมาใช้รถยนต์ EV และต้องการรณรงค์ให้รถในปะรเทศเปลี่ยนมาใช้ระบบ EV โดยการจูงใจให้ผู้ให้บริการหันมาติดตั้งจุดชาร์จแบบ Quick charge ขึ้นให้มาก....
สรุปคือ ติดปัญหาที่การไฟฟ้าเรียกเก็บค่า Demand Charge อันสุดแสนแพงนั่นเอง...
Demand charge คือ ศัพท์ที่ถูกเรียกอีกด้านนึงว่า "ค่าสำรองไฟ"
ในแง่นึงก็พอเข้าใจได้นะว่าเค้าต้องสำรองไฟเอาไว้เผื่อเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไฟตก แต่การที่คิดค่าสำรองไฟโดยที่ไม่อิงกับการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และเรียกเก็บเป็นค่า "กินเปล่า" แบบนี้ผมว่ามันโหดเกินไปนะครับ...
ยกตัวอย่างตอนนี้ ถ้าใครอยากจะเปิดจุด Quick charge การไฟฟ้าเก็บ 10,000 บาท ต่อจุดเป็นขั้นต่ำ...และบวก Demand Charge เท่ากับ 70% !!!!(ตัวเลข70นี้เพราะการไฟฟ้าตีความให้ผู้ขออนุญาตเปิดจุดชาร์จตีให้เป็นธุรกิจขนาดกลาง แม้ว่าคุณจะเป็นร้านกาแฟเล็กๆริมถนนก็ตาม) สมมุติว่า 1เดือนมีการใช้ไฟฟ้าจากจุดชาร์จจุดนี้ 100,000 บาท(ช่วงหยุดยาวอะไรแบบนี้) เดือนหน้าคุณจะโดนเก็บค่าไฟ 10,000 + 70,000 ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มีการใช้ไฟในเดือนต่อไปเลยก็ตาม.....เช่นถ้า เดือนนี้ผมเปิดจุดชาร์จแต่เป็นช่วงโลซีซั่น ลูกค้าน้อยกว่าเดือนที่แล้วแบบหายไปเลย มีคนมาเติมไฟฟ้าแค่ 30,000 บาท ผมจะต้องจ่ายค่าไฟขั้นต่ำ 10,000 + 70,000 เท่ากับเดือนที่แล้ว...!!! คืออันนี้โหดมากครับ เพราะการชาร์จไฟของรถไฟฟ้าบางทีมันไม่แน่ไม่นอนส่วนใหญ่พวกรถไฟฟ้ามักจะชาร์จจากบ้านอยู่แล้วเพราะถูกกว่าชาร์จ DC ส่วนใหญ่มักจะชาร์จเร็วตอนไปต่างจังหวัด หรือ เดินทางไกลๆ...ดังนั้นร้านหรือจุดชาร์จต่างๆ รับรองเลยว่าจะทะยอยปิดจุดชาร์จวันที่คนออกเดินทางเยอะๆแน่ๆเพราะไม่อยากเสียค่า Demand charge เดือนหน้าแพงๆ
แบบนี้ รถ ev เกิดยากแน่ๆ เพราะไม่มีใครกล้าเปิดจุดควิกชาร์จเพราะกลัวคนมาใช้เยอะบ้างน้อยบ้าง เดือนไหนคนมาใช้น้อยขาดทุนยับเลย ...
อยากรู้ว่าการไฟฟ้าจะมีวิธีการคิดค่าไฟฟ้าให้ยืดหยุ่นกว่านี้ได้หรือไม่ครับ...
++ เมื่อไหร่ประเทศไทยจะยกเลิกระบบ Demand Charge ครับ++
สรุปคือ ติดปัญหาที่การไฟฟ้าเรียกเก็บค่า Demand Charge อันสุดแสนแพงนั่นเอง...
Demand charge คือ ศัพท์ที่ถูกเรียกอีกด้านนึงว่า "ค่าสำรองไฟ"
ในแง่นึงก็พอเข้าใจได้นะว่าเค้าต้องสำรองไฟเอาไว้เผื่อเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไฟตก แต่การที่คิดค่าสำรองไฟโดยที่ไม่อิงกับการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และเรียกเก็บเป็นค่า "กินเปล่า" แบบนี้ผมว่ามันโหดเกินไปนะครับ...
ยกตัวอย่างตอนนี้ ถ้าใครอยากจะเปิดจุด Quick charge การไฟฟ้าเก็บ 10,000 บาท ต่อจุดเป็นขั้นต่ำ...และบวก Demand Charge เท่ากับ 70% !!!!(ตัวเลข70นี้เพราะการไฟฟ้าตีความให้ผู้ขออนุญาตเปิดจุดชาร์จตีให้เป็นธุรกิจขนาดกลาง แม้ว่าคุณจะเป็นร้านกาแฟเล็กๆริมถนนก็ตาม) สมมุติว่า 1เดือนมีการใช้ไฟฟ้าจากจุดชาร์จจุดนี้ 100,000 บาท(ช่วงหยุดยาวอะไรแบบนี้) เดือนหน้าคุณจะโดนเก็บค่าไฟ 10,000 + 70,000 ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มีการใช้ไฟในเดือนต่อไปเลยก็ตาม.....เช่นถ้า เดือนนี้ผมเปิดจุดชาร์จแต่เป็นช่วงโลซีซั่น ลูกค้าน้อยกว่าเดือนที่แล้วแบบหายไปเลย มีคนมาเติมไฟฟ้าแค่ 30,000 บาท ผมจะต้องจ่ายค่าไฟขั้นต่ำ 10,000 + 70,000 เท่ากับเดือนที่แล้ว...!!! คืออันนี้โหดมากครับ เพราะการชาร์จไฟของรถไฟฟ้าบางทีมันไม่แน่ไม่นอนส่วนใหญ่พวกรถไฟฟ้ามักจะชาร์จจากบ้านอยู่แล้วเพราะถูกกว่าชาร์จ DC ส่วนใหญ่มักจะชาร์จเร็วตอนไปต่างจังหวัด หรือ เดินทางไกลๆ...ดังนั้นร้านหรือจุดชาร์จต่างๆ รับรองเลยว่าจะทะยอยปิดจุดชาร์จวันที่คนออกเดินทางเยอะๆแน่ๆเพราะไม่อยากเสียค่า Demand charge เดือนหน้าแพงๆ
แบบนี้ รถ ev เกิดยากแน่ๆ เพราะไม่มีใครกล้าเปิดจุดควิกชาร์จเพราะกลัวคนมาใช้เยอะบ้างน้อยบ้าง เดือนไหนคนมาใช้น้อยขาดทุนยับเลย ...
อยากรู้ว่าการไฟฟ้าจะมีวิธีการคิดค่าไฟฟ้าให้ยืดหยุ่นกว่านี้ได้หรือไม่ครับ...