คบกับแฟนมาเกือบสองปี น้ำหนักขึ้น 30 กว่าโลฯ จะทำยังไงต่อไปดี?

สวัสดีค่ะ เรามีปัญหาที่อยากเล่า และต้องการมองเรื่องนี้ด้วยมุมมองที่หลากหลายเลยตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ขึ้นค่ะ

เมื่อราวๆ สองปีก่อน เราได้พัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่า 6 ปีครึ่ง หลังจากคุยๆ กันมาได้ประมาณ 4-5 เดือน ตอนนั้นเราอายุ 23 ปีค่ะ จบมาได้ไม่เท่าไหร่ ส่วนฝ่ายชายเป็นเพื่อนกับน้องชายคนเล็ก เริ่มคุยกันตอนที่เขาไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ เริ่มจากการถามไถ่นู่นนี่ จนพัฒนาเป็นคนคุยกัน ระหว่างทางค่อนข้างมีอุปสรรค เนื่องจากเวลาท้องถิ่นที่ไม่ตรงกัน และเรากับเขาก็เห็นว่าอายุที่ต่างกันจะทำให้ไปไม่รอด เลยคุยๆ เลิกๆ จนเขากลับไทยก็ได้เจอกัน และสุดท้ายก็ตัดสินใจคบกัน เพราะต่างฝ่ายต่างรู้สึกรักกันค่ะ

หลังจากคบกันมาได้สักพัก เรื่องของไลฟ์สไตล์ ความคิดไปกันได้ดีค่ะ เขาเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ และให้ความรู้สึกว่าพูดภาษาเดียวกัน จะมีบ้างที่เราไม่สามารถไปไหนมาไหนได้แบบคบกับคนวัยทำงาน ด้วยอายุของเขา และบทบาทการเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ตลอดการคบกัน ทั้งพ่อแม่เขา และพ่อแม่เรารับทราบมาโดยตลอด คือไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ และอยู่ในสายตาผู้ใหญ่พอสมควรค่ะ เราเองก็เคยมีแฟนมาแล้วหลายคน ถ้าเทียบกับที่ผ่านมา รู้สึกว่าเขาคือคนที่เข้ากันได้ดีกว่าคนก่อนๆ แต่ถ้ามันราบรื่น และไม่น่ากังวล ก็คงไม่มีกระทู้นี้ใช่มั้ยล่ะคะ

ปัญหาที่ทำให้เรามาตั้งกระทู้นี้ คือเวลาสองปีที่ผ่านมา เราเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพมากๆ เลยค่ะ แต่ก่อนเป็นคนรูปร่างสมส่วน สูง 169 ซม น้ำหนักอยู่ที่ 53 ไม่เกิน 56 กกค่ะ แต่จากตอนนั้นเราได้มีการปรับยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าเลยทำให้น้ำหนักค่อยๆ เพิ่มแบบไม่รู้ตัว คือจริงๆ เข้ารับการรักษาตั้งแต่เรียนจบปอตรี พออาการดีขึ้นจากหน้าเป็นหลังมือเลยหยุดทานยาเอง เพราะคิดว่าเราควบคุมความคิดลบๆ และความรู้สึกได้ ช่วงก่อนเริ่มคุยกับแฟนก็เป็นช่วงที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย (ไม่ใช่ไบโพล่าร์นะคะ หมายถึงอารมณ์ไม่คงที่จากการขาดยาเฉยๆ) จนมาคุยกับแฟนได้สักพักเราก็อาการหนักขึ้นจนต้องแอดมิทกับโรงพยาบาลค่ะ ตอนนั้นเลยมีการปรับยา แล้วก็เริ่มอวบขึ้น ตอนที่ตัดสินใจคบกันเราก็ค่อนข้างมีน้ำมีนวล แต่ไม่ได้อ้วนอย่างเห็นได้ชัด คือก็มีบางคนเริ่มทักว่าดูอวบขึ้นนะ แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ถูกทุกคนทักแบบเจอ 10 เจอทัก 10 อะไรแบบนั้น

หลังจากนั้นก็ปรับยาไปมา เราเริ่มรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว คิดว่าตัวเองก็กินประมาณเดิม ทั้งๆ  ที่กินจุขึ้น ขณะที่อาการจากโรคก็ไม่ดีขึ้นมาก ทำให้เราแทบไม่ได้ใช้พลังงานเลย วันๆ เอาแต่นอน เดินน้อยลง ใช้ของหวานคลายเครียด เครียดก็กิน พอกินก็เครียด วนเป็นวัฎจักร น้ำหนักจากไม่แตะ 60 ก็มาสู่ 75 ในเวลาครึ่งปี เสื้อผ้าเริ่มแน่น เหนื่อยง่าย และตอนนั้นก็พยายามจะลดน้ำหนัก แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ช่วงนั้นเรากดดันมาก ไม่อยากเจอเพื่อน อยู่บ้านแม่ก็กดดันว่าทำไมอ้วนขนาดนี้ แต่แฟนเราก็ยังเสริมการเห็นคุณค่าในตัวเองด้วยการทำให้เราไม่รู้สึกแย่เกินไปกับรูปร่างที่เปลี่ยน เราพยายามไปออกกำลังกาย กินของดีๆ แต่ก็ทำได้แป๊บๆ แล้วก็ล้มเลิก วนไปแบบนี้จนน้ำหนักเริ่มขึ้นอีกระลอก

มกราปี 63 เราคุยกับแม่ว่าถ้าลดให้เหลือ 60 กกได้จะได้เงินสองหมื่นบาท ตอนนั้นก็คึกมาก จะลดให้ได้ แต่ก็เหลวเป๋วเช่นเดิม จากการท้าของแม่ตอนนั้น เราเลยบอกกับแฟนไปว่าคราวนี้จริงจังละ จะทำให้ได้ แฟนเราเลยเริ่มซีเรียสกับวิถีชีวิตเรามากขึ้น เริ่มบ่น เริ่มดุ ต่างจากที่เคยตามใจมาตลอด คือพอเห็นสั่งของหวาน ของทอด ของมันมากิน เขาก็จะพูดว่าไหนบอกจะลดน้ำหนักไง เริ่มบ่นๆ ที่เราเอาแต่นั่งๆ นอนๆ แล้วกระตุ้นให้ออกกำลังกาย แต่นอกจากเรื่องดุมากขึ้นจนเหมือนแม่คนที่สอง ทุกอย่างก็ยังโอเคค่ะ ยังรักกันดี

ถึงแม้แฟนจะเข้มงวดขึ้น แต่เราก็ยังตามใจตัวเองอยู่ดี เหมือนพอเราเห็นความเป็นแม่ในตัวแฟน มันก็จะมีจุดที่ฟังแล้วปล่อยผ่านไป เหมือนฟังแม่บ่น สุดท้ายช่วงกุมภา 63 น้ำหนักเราก็พุ่งไปถึง 90 และในที่สุดเราก็ตัดสินใจขอหมอให้ตัดยาที่เกิดผลข้างเคียงกับน้ำหนักออก หลังจากบอกตัวเองมาตลอดว่าต่อให้ผลข้างเคียงจะเป็นยังไง เราก็สู้กับมันให้ได้ หลังปรับยา สภาพจิตใจเราก็ไม่ดีเท่าไหร่ แฟนเองก็เคร่งเครียดกับการเข้ามหาลัย และพอทุกอย่างเริ่มลงตัว แฟนติดมหาลัย เราเริ่มปรับชีวิตตัวเองได้ โควิดก็มาเยือนค่ะ

การต้องอยู่แต่บ้านติดกันหลายเดือนทำให้เราแย่มากๆ แต่ข้อดีของโควิดก็คือ เราไม่สามารถสั่งอาหารมากินได้ตามใจอีกต่อไป นาฬิกาชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนมาดีขึ้น ยาที่ปรับใหม่ก็เหมือนจะเริ่มเข้าที่ พอหมดเดือนพฤษภา 63 ที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น น้ำหนักเราก็กลับมาที่ 80 จนได้ ทว่าเรากลับไม่รู้สึกดีใจเลย เราเอาแต่มองว่าตัวเองก็ยังอ้วนอยู่อย่างนั้น เมื่อเทียบกับเราตอนน้ำหนัก 53-54 และถึงเราจะลดมา 80 ได้ คนที่คอยซัพพอร์ตจิตใจเราอย่างแฟนก็ยังบ่นดุเสมอต้นเสมอปลาย จนบางทีก็ทำให้เราเซ็งมากๆ แต่คือ อีกใจเราก็รู้สึกแย่ที่เหมือนเราโกงเขาอะค่ะ เหมือนเราชวนเขามากินข้าวด้วยภาพอาหารสวยๆ ที่เราเคยทำ แล้วพอเขามากิน จานแรกก็ไม่เป็นไร จานที่สองก็ยังโอเค แต่พอจานต่อมามันกลับออกมาดูแย่ ถึงมันจะยังอร่อย แต่กลายเป็นว่าเราไม่สามารถทำอาหารให้ออกมาดีแบบสองจานแรกได้อีกแล้วอะค่ะ จะไปบอกว่าเขาแย่ที่อยากได้อาหารแบบจานแรกก็ไม่ถูก หรือจะบอกว่าเราแย่ที่ทำอาหารแบบเดิมออกมาไม่ได้ มันก็แบบ แล้วไงต่อ โทษตัวเองไปก็ไม่ได้จะกลับไปทำออกมาแบบจานแรกได้แล้ว ประมาณนี้ค่ะ

ตอนนี้เราเลยค่อนข้างมีความคิดหลายๆ แบบตีกันอยู่ในหัว คือถ้าเรายังมีเอเนอร์จี้ที่อยากผอม ตอนนี้ก็คงไม่มานั่งตั้งกระทู้แล้วไปฟิตหุ่นแล้ว แต่ปัญหาคือช่วงมิถุนาที่เราตัดสินใจย้ายมาทำงานที่ต่างจังหวัด และเริ่มสร้างความมั่นใจด้วยตัวเอง เราก็เริ่มพอใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ไปประมาณ 70-80% น่ะค่ะ ซึ่งพอก่อนหน้านี้มันมีการให้ความหวังคนรอบข้างว่าจะกลับไปผอม เลยรู้สึกว่าเราควรวางตัวเองไว้ตรงไหนดี จะลดก็ไม่ได้มีแรงจูงใจมากขนาดนั้น จะปล่อยชิลล์ก็รู้สึกผิดกับแฟน กับแม่ที่รอเราผอม อีกใจนึงก็ค่อนข้างห่วงแฟนค่ะ ถ้าเรื่องนี้เป็นส่วนนึงให้เขาลังเลในความสัมพันธ์ เราก็กลัวว่าเขาจะรู้สึกแย่กับตัวเองอีกที จะบอกว่าเห้ย รักกันจริงจะอ้วนขึ้น ผอมลงมันไม่เกี่ยว มันก็ไม่ใช่แบบนั้นโดยสมบูรณ์มั้ยอะคะ อีกอย่างคือ ถ้าเราไม่ลดละ แล้วยกหน้าที่อยู่กับมันให้ชินกับแฟน ก็เหมือนว่าในเรื่องนี้ เราอยู่ของเราที่เดิม แต่ให้แฟนปรับแบบ 100% แต่ถ้าแฟนเราอยู่ที่เดิม แล้วเราลดความอ้วนแทน มันก็เหมือนเราปรับแบบ 100% อยู่ดี เราเลยอยากรู้ว่ามันจะมีวิธีการแบบไหนมั้ยที่ทั้งเราและแฟนจะได้ปรับไปด้วยกัน อาจจะไม่ 50/50 แต่เป็น 60/40 ก็ยังดีกว่าต้องมีใครคนใดคนนึงแบกไปเต็มร้อยน่ะค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่