มาใช้ความรู้สึกวิเคราะห์เรื่องราวกันเถอะ : ดาวดำผู้ไม่มีความรู้

กระทู้คำถาม
ก็...ขอกราบสวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่านนะครับ กระผมดาวดำไงจะใครล่ะ เจ้าของงานเขียนไร้สาระเบาสมอง ไม่หนักสองมือและสองเท้าจนต้องแบกต้องหามนั่นเองนะครับผม ถึงแม้งานเขียนในบอร์ดของผมจะเป็นดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่ผมรู้นะว่ามีคนชอบอ่านและแอบติดตามงานเขียนของผมอยู่ เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่หนอผมจะเขียนให้อ่านอีก จริงๆ มันก็ไม่ใช่หน้าที่หรืออะไรที่ผมต้องพยายามทำหรอก ผมนึกอยากเขียนก็เขียน นึกอยากเกรียนก็เกรียน หรือบางทีอยากเขียนแต่ติดงานไม่ได้เขียน...ก็มี 
 
เข้าประเด็นกันดีกว่า ผมเคยพูดเรื่องระบอบการปกครองไปรอบหนึ่งแล้วนะครับ พูดแบบผิวเผิน แบบคนไม่อินการเมือง แบบคนธรรมดาหาชาวกินค่ำ แบบคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงรัฐศาสตร์หรือนิติศาสตร์ใดๆ หรือพูดง่ายๆ คือพูดแบบคนทั่วไปมองนั่นละ และวันนี้ผมก็จะมาพูดแบบเดิมอีก แต่ต่างที่จะพยายามยกตัวอย่างให้คนอ่านนึกภาพ ที่ลอยอยู่ในหัวผมชัดเจนมากขึ้น
 
เริ่มตรงไหนก่อนดี ตรง...อืม การบังคับยัดเยียด ใช้ถ้อยคำนี้น่าจะเข้ากับเรื่องที่ผมต้องการจะสื่อสารมากที่สุด ผมเคยดูหนังฝรั่งเรื่อง The Blind Side เมื่อราวๆ 4-5 ปีก่อน เดี๋ยวนะ...นิดหนึ่งนะครับ คือผมอยากบอกว่าใครเป็นคอหนังและยังไม่ได้ดู ถ้าไม่อยากเสียอรรถรสก่อนดู ให้ออกจากกระทู้ผมแล้วไปดูให้จบก่อนนะครับ เพราะส่วนที่ผมจะพูดคือประเด็นหลักของหนังที่ผมตีความออกมา ถ้าได้อ่านมันก็จะอารมณ์ประมาณว่า ผมเฉลยตอนจบของหนังเรื่องนี้เลยนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนรักหนัง ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอ่านก่อนดูนะครับผม
 
มาเข้าเนื้อหากันต่อ The Blind Side จะเป็นการเล่าถึงเด็กผู้ชายอเมริกันผิวสีคนหนึ่ง ที่เร่ร่อนอยู่ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งของประเทศเขานะครับ เร่ร่อนนี่...มันจะประมาณว่า แกไม่นอนบ้าน กลางคืนก็โต๋เต๋ๆ หาที่นอนอยู่ระแวกโรงเรียนอะไรประมาณนั้น ทีนี้ปะเหมาะเคราะห์ดีมีครอบครัวอเมริกันผิวขาวครอบครัวหนึ่ง เห็นความผิดสังเกตของเด็กผิวสีคนดังกล่าว ก็สืบสาวราวเรื่องนู่นนี่นั่น ปรากฏว่าสงสารเลยรับไปอุปถัมภ์ ออกทุนส่งเสียให้เรียนหนังสือ ดูแลเหมือนลูกเหมือนเต้าคนหนึ่ง ไม่รู้เรียกว่าความบังเอิญหรือเปล่านะ เด็กคนนี้เป็นเพชรเม็ดงามหยดเลยครับผม คือแกมีพรสวรรค์ทางด้านกีฬามาก มากถึงขนาดติดทีมโรงเรียนและได้ทุนไปเรียนต่อมหาลัยชั้นนำของประเทศเลย
 
ตรงนี้ละครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกมาพูดคุย แต่ขอเล่าต่อก่อน ทีนี้ด้วยความว่าเด็กมีพรสวรรค์มาก ก็มีหนังสือทาบทามให้เข้ามหาวิทยาลัยจากหลายที่ แกมีตัวเลือกให้เลือกมากว่าหนึ่ง สิ่งที่เป็นปมของเรื่องมันอยู่ตรงนี้ครับ คือหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ทาบทามมา เป็นสถาบันที่พ่อแม่อุปถัมภ์จบมาครับ คือสองคนนั้นเป็นศิษย์เก่าว่าอย่างนั้นเถอะ หนังเรื่องนี้ก็นำเสนอได้ดีนะ คือเอาธรรมชาติจริงๆ ของความรู้สึกคนมานำเสนอ โดยปกติของคนเราน่ะ เราจบที่ไหนมาส่วนใหญ่ก็รักในสถาบันที่เราจบมาถูกไหมครับ เรื่องนี้มันก็เป็นแบบนั้นเลยครับ คือพอได้รู้ว่ามหาวิทยาลัยเก่าของตัวเอง ส่งหนังสือมาทาบทามลูกบุญธรรมไปเรียน ก็เชียร์สิครับจะรออะไร แกสองคนก็พยายามใหญ่เลยนะ เล่านู่นเล่านี่เกี่ยวกับมหาลัยให้ลูกบุญธรรมฟังเยอะแยะ คือเขาก็เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็กแล้ว ในความรู้สึกของเขาสองคน
 
อย่างที่บอกครับว่าจุดนั้นมันคือปมหลักของหนังเรื่องนี้ จากนั้นครับ...อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีองค์กรอะไรสักอย่างของทางฝรั่งเขาน่ะนะ เข้าใจว่าเขาจะมีหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลสิทธิของเด็กและเยาวชนอะไรทำนองนี้แหละ ครับ...นั่นแหละ องค์กรที่ว่าไปได้ข่าวอะไรมาจากไหนยังไงไม่รู้ ว่า...พ่อแม่อุปถัมภ์บังคับยัดเยียดให้ลูกบุญธรรมไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ตัวเองชอบ โดย...นะครับโดย โดยเด็กไม่ได้เต็มใจหรือยินยอมที่จะไปเองอย่างแท้จริง อารมณ์แบบทำตัวครอบงำความคิดเด็กอะไรแบบนั้น ถึงตรงนี้ผมร้อง...เห้ย! (จริงๆ ไม่ได้ร้องว่าอย่างนี้หรอก) ดังมาก ...ไรของมันแว้!!!
 
ผมก็ไม่รู้นะ...ว่าฝรั่งเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก คือเราด้วยว่าอยู่ในสังคมไทยน่ะ สมมติน้องเราสอบเข้าเรียนได้สองที่ เอาเป็น จุฬากับธรรมศาสตร์ละกัน ถ้าเราชอบธรรมศาสตร์เราก็อยากให้น้องเราเรียนธรรมศาสตร์ถูกไหม เราก็คงจะหาข้อดีของธรรมศาสตร์มาพูดให้น้องเราฟังว่ามันดีแบบนั้นแบบนี้ และอาจจะมีจิกกัดจุฬาบ้างเล็กน้อย เพื่อให้น้ำหนักมันเอียงมาทางธรรมศาสตร์มากขึ้น ถามว่าผิดไหม...จริงๆ มันก็ผิดนะ แต่ผมว่ามันน้อยจนเราแทบไม่รู้สึกว่ามันผิด และที่สำคัญบ้านเมืองเรามันไม่มีองค์กรแบบนั้นมาดูแลหรือจับตาเรื่องแบบนี้ด้วย อันที่จริงปัญหาอย่างที่ว่าบ้านเรามันก็เจอน้อยมาก คือ...แบบ...สอบเข้าได้สักที่ก็ยากแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องว่าจะเลือกที่ไหนเลย
 
ครับ...ขอเล่าหนังแค่นี้ละกัน บทสรุปจะเป็นแบบไหนยังไง ก็ไปหาดูกันเอาเองนะครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
มักจะสอนหรือพูดต่อ ๆ กันมาว่า
" ปี 2475 คือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย "
ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นประชาธิปไตยแบบแหกตา หรือเป็นประชาธิปไตยแบบยัดเยียดให้กับประชาชน
โดยที่พวกเขายังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยเลย.....หรือเปล่า

นายกคนแรก ก็ถูกทำรัฐประหารจากประชาธิปไตยแบบคณะราษฎร เป็นประเดิมเสียแล้ว

นายกคนต่อมา ก็ได้มาจากการทำรัฐประหาร แล้วก็ได้เป็นต่อหลังจากจัดให้มีการเลือกตั้ง
แล้วก็ได้เป็นนายกต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยมติของสภาผู้แทนฯ แม้ว่าจะลาออกไปแล้วถึง 2 ครั้งก็ตาม

นายกคนต่อ ๆ ๆ ๆ มาอีก 20 - 30 ปี ก็มีแต่สมาชิกคณะราษฎร

เราจึงไม่ค่อยจะเข้าใจในคำว่า "ประชาธิปไตย" ของคณะราษฎรและที่สอน ๆ กันต่อมาว่า
เป็นประชาธิปไตยแบบใดกันแน่ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่