'
รองโฆษกพปชร.' จวก 'ปิยบุตร' เลิกหลับตานั่งวิจารณ์ในห้องแอร์ เกือบ 4 เดือนไม่เห็นคณะก้าวหน้าลงพื้นที่
2 ก.ค.63 - น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้าและอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดหลงเหลือในการคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สนใจสุขภาพอนามัยของประชาชน ไม่สนใจข้อมูลสถิติทางการแพทย์ เหมือนมีเจตนาปลุกระดมโดยลงทุนแค่อัดคลิปอยู่ในห้องแอร์
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ 119 คนและอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศได้รับฟังความคิดเห็นที่แท้จริงจากประชาชน ซึ่งไม่พบว่าได้รับความเดือดร้อนใดๆ จากการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ตรงกันข้ามกลับชื่นชมและพร้อมให้ความร่วมมือ เห็นว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถช่วยให้การประสานงานและการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนรู้สึกปลอดภัยเพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน กลัวว่าจะกลับมามีการระบาดระลอกใหม่แล้วยากที่จะควบคุม การลงทุนและความเสียสละที่ผ่านมาหลายเดือนจะสูญเปล่า ซึ่งนี่คือเสียงสะท้องที่แท้จริงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่ความคิดเห็นจากคนที่ขลุกตัวกลัวติดเชื้ออาศัยอยู่แต่ในห้องแอร์ และยังสอดคล้องกับที่ “กรุงเทพโพลล์” เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ว่า ประชาชน ร้อยละ 76.7 ระบุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีส่วนต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
“พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มีเป้าหมายทางการเมือง ผลของการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ประเทศไทยควบคุมโรคได้ดี จนได้รับโอกาสต่างๆ เช่น สหภาพยุโรปให้ผลเมืองไทยได้รับอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ ต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเนื่องจากมีความปลอดภัย และเชื่อว่าโอกาสต่างๆจะตามมาอีกมาก ในการพิจารณาคง พ.ร.ก.ฉุนเฉินนั้น มีการพิจารณารอบด้านทุกมิติจากทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องว่ายังมีความจำเป็นเพราะในเดือน ก.ค.จะมีการผ่อนคลายในระยะที่ 5 ของกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในโซนสีแดง ล่อแหลมต่อการระบาดของโควิดมากที่สุด ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญในการป้องกันอย่างมาก จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปเพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดระลอกใหม่”น.ส.ทิพานัน กล่าว
“คณะก้าวหน้ากลับไม่เคยก้าวเท้าออกมาจากบ้านลงพื้นที่ เพิ่งจะมีการลงพื้นที่ครั้งแรก คือวันที่ 27 มิ.ย. ตามที่นายธนาธร ได้ให้สัมภาษณ์ใว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าระหว่างช่วงเวลาวิกฤติที่ผ่านมาเกือบ 4 เดือน คณะก้าวหน้าไม่เคยได้รับฟังเสียงประชาชนจริงๆ เลย การกล่าวอ้างต่างๆ ว่าเป็นเสียงของประชาชน อาจจะมาจากเสียงของแกนนำ 3 คนที่คุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้นหรือไม่ ส่วนที่อ้างความเห็นของสื่อญี่ปุ่นประกอบการวิพากษ์วิจารณ์จากห้องแอร์ของนายปิยบุตรนั้นก็ดูตลก เหมือนจัดฉากทำเป็นขบวนการโดยให้ฝ่ายตัวเองให้ข่าวกับสื่อญี่ปุ่น แล้วเอาข่าวของสื่อญี่ปุ่นมากล่าวอ้างอีกที เพราะไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่สื่อญี่ปุ่นได้รับนั้นเป็นความเห็นฝ่ายเดียวจากความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.พรรคก้าวไกลที่ให้สัมภาษณ์สื่อประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นของนายปิยบุตรเป็นไปเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง”รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
https://www.thaipost.net/main/detail/70348
ช่อ- "พรรณิการ์" เผย ผู้เกี่ยวข้องยิงเลเซอร์ตามหาความจริงโดนหมายเรียก ชี้รัฐคุกคามผู้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ระบุถึงกรณีที่คณะก้าวหน้าจัดกิจกรรม"พฤษภา 35I53 ความจริงต้องปรากฏ"ที่จบลงตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ซึ่งก่อนหน้านี้กิจกรรมดังกล่าว มีการจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์โดยการฉายเลเซอร์ตามสถานที่ต่างๆ รอบกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 พฤษภาคม ทั้งนี้เวลาผ่านเกือบ 2 เดือนปรากฏว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบริษัทให้เช่าเครื่องปั่นไฟ,บริษัทที่ให้ยืมอุปกรณ์ยิงเลเซอร์,คนขับรถ และช่างภาพอิสระที่ถ่ายภาพกิจกรรม ถูกหมายเรียกจากตำรวจ
โดยระบุผู้ฟ้องร้องคือ“กระทรวงกลาโหม”ฟ้อง“กลุ่มบุคคลที่นำเครื่องเลเซอร์ฉายภาพและข้อความต่างๆหลายจุดในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2477 มาตรา 52 ทั้งนี้นางสาวพรรณิการ์ ได้แสดงความกังวลพร้อมตั้งข้อสังเกตว่า
1.เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม แต่หมายเรียกกลับมาในวันที่ 23 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีกลุ่มนักกิจกรรมฟื้นฟูประชาธิปไตย ประกาศจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 โดยจะมีการฉาย hologram ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
2.คนขับรถบริษัทที่เช่าอุปกรณ์การฉาย โดนตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้าตรวจสอบและคุกคามถึงบ้านโดยที่ไม่ได้ตั้งข้อหาว่าทำผิดอะไร
3.จากเหตุการณ์ครั้งนี้เราถึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้ฟ้อง พยายามกระทำการปิดปากประชาชนข่มขู่ไม่ให้มีการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ขึ้นอีก
นางสาวพรรณิการ์ ระบุว่า เรื่องนี้เป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน ที่มีคุณค่าทางศิลปะและสร้างสรรค์ แต่ทางเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายความมั่นคงกลับมีความกังวล ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นการข่มขู่ให้กลุ่มศิลปินหวาดกลัว แม้หมายที่ออกจะเป็นหมายเรียกพยาน แต่บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ใช้วิธีออกหมายเรียกพยานเพื่อเรียกบุคคลไปสอบสวน แล้วตั้งข้อหาในภายหลัง โดยการสอบพยาน ผู้ถูกสอบจะเสียเปรียบ เนื่องจากไม่สามารถนำทนายเข้าไปร่วมฟังการสอบสวนได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวพรรณิการ์กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะก้าวหน้า มีความกังวลและเป็นห่วง ไม่อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการแสดงออกครั้งนี้ ได้รับความเดือดร้อน กลายเป็นกลุ่มบุคคลมีคดีความ พร้อมกันนี้ขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันจับตามองว่าคดีจะกลายเป็นความผิดจริงหรือ ซึ่งการฉายเลเซอร์ไม่ได้เป็นการก่อให้เกิดความรำคาญหรือสร้างความเสียหายแก่สถานที่หรือทรัพย์สินใดๆ เป็นเพียงการแสดงออกทางศิลปะเพียงเท่านั้น ไม่ฝ่าฝืนเวลาเคอร์ฟิวแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่าคณะก้าวหน้าในฐานะผู้ริเริ่มกิจกรรมพร้อมแสดงความรับผิดชอบ และยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกหมายเรียกทุกคน
https://www.komchadluek.net/news/politic/435879?utm_source=homepage&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=section_ข่าววันนี้
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน....ไม่เคยทำให้ประชาชนเดือดร้อน นอกจากพวกที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่รู้จะทำไปเพื่อออะไร ในเมื่อบ้านเมืองต้องการเดินหน้าที่มาอย่างถูกทางแล้ว
ก้าวหน้าตามหาความจริง ก็เลยเจอความจริงที่ต้องยอมรับสิคะ ไปยิงเลเซอร์ผิดที่ทาง แล่วยังบิดเบือนให้ปชช.เข้าใจผิด กล้าทำก็ต้องกล้ารับความจริง
ส่วนความจริง 3,000 บาท คนต้องการทราบยังเงียบสนิทเลยนะคะ
เปิดปากเสียทีเถอะค่ะ ประชาชนรอรับทราบ จากคณะก้าวหน้า
เวลานี้คือเวลาพักผ่อน....😴
🎪🎪🎪🎪/มาลาริน/พปชร.จวกปิยบุตรเลิกหลับตาในห้องแอร์ 4 เดือนไม่เห็นลงพื้นที่ ตามหาความจริงยิงเลเซอร์ โดนหมายเรียกแล้วค่ะ
2 ก.ค.63 - น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้าและอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นว่าไม่มีความจำเป็นใดหลงเหลือในการคงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สนใจสุขภาพอนามัยของประชาชน ไม่สนใจข้อมูลสถิติทางการแพทย์ เหมือนมีเจตนาปลุกระดมโดยลงทุนแค่อัดคลิปอยู่ในห้องแอร์
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ 119 คนและอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐทั่วประเทศได้รับฟังความคิดเห็นที่แท้จริงจากประชาชน ซึ่งไม่พบว่าได้รับความเดือดร้อนใดๆ จากการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ตรงกันข้ามกลับชื่นชมและพร้อมให้ความร่วมมือ เห็นว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถช่วยให้การประสานงานและการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนรู้สึกปลอดภัยเพราะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน กลัวว่าจะกลับมามีการระบาดระลอกใหม่แล้วยากที่จะควบคุม การลงทุนและความเสียสละที่ผ่านมาหลายเดือนจะสูญเปล่า ซึ่งนี่คือเสียงสะท้องที่แท้จริงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ใช่ความคิดเห็นจากคนที่ขลุกตัวกลัวติดเชื้ออาศัยอยู่แต่ในห้องแอร์ และยังสอดคล้องกับที่ “กรุงเทพโพลล์” เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ว่า ประชาชน ร้อยละ 76.7 ระบุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีส่วนต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
“พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่มีเป้าหมายทางการเมือง ผลของการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ประเทศไทยควบคุมโรคได้ดี จนได้รับโอกาสต่างๆ เช่น สหภาพยุโรปให้ผลเมืองไทยได้รับอนุญาตเดินทางเข้าประเทศ ต่างประเทศสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเนื่องจากมีความปลอดภัย และเชื่อว่าโอกาสต่างๆจะตามมาอีกมาก ในการพิจารณาคง พ.ร.ก.ฉุนเฉินนั้น มีการพิจารณารอบด้านทุกมิติจากทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องว่ายังมีความจำเป็นเพราะในเดือน ก.ค.จะมีการผ่อนคลายในระยะที่ 5 ของกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในโซนสีแดง ล่อแหลมต่อการระบาดของโควิดมากที่สุด ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญในการป้องกันอย่างมาก จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปเพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดระลอกใหม่”น.ส.ทิพานัน กล่าว
“คณะก้าวหน้ากลับไม่เคยก้าวเท้าออกมาจากบ้านลงพื้นที่ เพิ่งจะมีการลงพื้นที่ครั้งแรก คือวันที่ 27 มิ.ย. ตามที่นายธนาธร ได้ให้สัมภาษณ์ใว้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าระหว่างช่วงเวลาวิกฤติที่ผ่านมาเกือบ 4 เดือน คณะก้าวหน้าไม่เคยได้รับฟังเสียงประชาชนจริงๆ เลย การกล่าวอ้างต่างๆ ว่าเป็นเสียงของประชาชน อาจจะมาจากเสียงของแกนนำ 3 คนที่คุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้นหรือไม่ ส่วนที่อ้างความเห็นของสื่อญี่ปุ่นประกอบการวิพากษ์วิจารณ์จากห้องแอร์ของนายปิยบุตรนั้นก็ดูตลก เหมือนจัดฉากทำเป็นขบวนการโดยให้ฝ่ายตัวเองให้ข่าวกับสื่อญี่ปุ่น แล้วเอาข่าวของสื่อญี่ปุ่นมากล่าวอ้างอีกที เพราะไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่สื่อญี่ปุ่นได้รับนั้นเป็นความเห็นฝ่ายเดียวจากความเห็นส่วนตัวของ ส.ส.พรรคก้าวไกลที่ให้สัมภาษณ์สื่อประเทศญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นของนายปิยบุตรเป็นไปเพื่ออะไรกันแน่ เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของประชาชน หรือเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง”รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
https://www.thaipost.net/main/detail/70348
ช่อ- "พรรณิการ์" เผย ผู้เกี่ยวข้องยิงเลเซอร์ตามหาความจริงโดนหมายเรียก ชี้รัฐคุกคามผู้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นางสาวพรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ระบุถึงกรณีที่คณะก้าวหน้าจัดกิจกรรม"พฤษภา 35I53 ความจริงต้องปรากฏ"ที่จบลงตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ซึ่งก่อนหน้านี้กิจกรรมดังกล่าว มีการจัดแคมเปญประชาสัมพันธ์โดยการฉายเลเซอร์ตามสถานที่ต่างๆ รอบกรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 พฤษภาคม ทั้งนี้เวลาผ่านเกือบ 2 เดือนปรากฏว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นบริษัทให้เช่าเครื่องปั่นไฟ,บริษัทที่ให้ยืมอุปกรณ์ยิงเลเซอร์,คนขับรถ และช่างภาพอิสระที่ถ่ายภาพกิจกรรม ถูกหมายเรียกจากตำรวจ
โดยระบุผู้ฟ้องร้องคือ“กระทรวงกลาโหม”ฟ้อง“กลุ่มบุคคลที่นำเครื่องเลเซอร์ฉายภาพและข้อความต่างๆหลายจุดในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2477 มาตรา 52 ทั้งนี้นางสาวพรรณิการ์ ได้แสดงความกังวลพร้อมตั้งข้อสังเกตว่า
1.เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม แต่หมายเรียกกลับมาในวันที่ 23 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีกลุ่มนักกิจกรรมฟื้นฟูประชาธิปไตย ประกาศจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 โดยจะมีการฉาย hologram ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
2.คนขับรถบริษัทที่เช่าอุปกรณ์การฉาย โดนตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้าตรวจสอบและคุกคามถึงบ้านโดยที่ไม่ได้ตั้งข้อหาว่าทำผิดอะไร
3.จากเหตุการณ์ครั้งนี้เราถึงตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและกระทรวงกลาโหมในฐานะผู้ฟ้อง พยายามกระทำการปิดปากประชาชนข่มขู่ไม่ให้มีการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ขึ้นอีก
นางสาวพรรณิการ์ ระบุว่า เรื่องนี้เป็นการริดรอนสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน ที่มีคุณค่าทางศิลปะและสร้างสรรค์ แต่ทางเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายความมั่นคงกลับมีความกังวล ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นการข่มขู่ให้กลุ่มศิลปินหวาดกลัว แม้หมายที่ออกจะเป็นหมายเรียกพยาน แต่บ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่ใช้วิธีออกหมายเรียกพยานเพื่อเรียกบุคคลไปสอบสวน แล้วตั้งข้อหาในภายหลัง โดยการสอบพยาน ผู้ถูกสอบจะเสียเปรียบ เนื่องจากไม่สามารถนำทนายเข้าไปร่วมฟังการสอบสวนได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวพรรณิการ์กล่าวทิ้งท้ายว่า คณะก้าวหน้า มีความกังวลและเป็นห่วง ไม่อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการแสดงออกครั้งนี้ ได้รับความเดือดร้อน กลายเป็นกลุ่มบุคคลมีคดีความ พร้อมกันนี้ขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันจับตามองว่าคดีจะกลายเป็นความผิดจริงหรือ ซึ่งการฉายเลเซอร์ไม่ได้เป็นการก่อให้เกิดความรำคาญหรือสร้างความเสียหายแก่สถานที่หรือทรัพย์สินใดๆ เป็นเพียงการแสดงออกทางศิลปะเพียงเท่านั้น ไม่ฝ่าฝืนเวลาเคอร์ฟิวแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่าคณะก้าวหน้าในฐานะผู้ริเริ่มกิจกรรมพร้อมแสดงความรับผิดชอบ และยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกหมายเรียกทุกคน
https://www.komchadluek.net/news/politic/435879?utm_source=homepage&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=section_ข่าววันนี้
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน....ไม่เคยทำให้ประชาชนเดือดร้อน นอกจากพวกที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่รู้จะทำไปเพื่อออะไร ในเมื่อบ้านเมืองต้องการเดินหน้าที่มาอย่างถูกทางแล้ว
ก้าวหน้าตามหาความจริง ก็เลยเจอความจริงที่ต้องยอมรับสิคะ ไปยิงเลเซอร์ผิดที่ทาง แล่วยังบิดเบือนให้ปชช.เข้าใจผิด กล้าทำก็ต้องกล้ารับความจริง
ส่วนความจริง 3,000 บาท คนต้องการทราบยังเงียบสนิทเลยนะคะ
เปิดปากเสียทีเถอะค่ะ ประชาชนรอรับทราบ จากคณะก้าวหน้า
เวลานี้คือเวลาพักผ่อน....😴