ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ถึงข้อดีและข้อเสียส่วนตัวเฉยๆ นะครับ
จากที่เดือนเมาษายนทั้งเดือน ผผไม่ได้เดินทางมาที่ทำงานเลย ทำงานอยู่บ้านทุกวัน
ข้อดีที่ผมได้รับก็คือ
1. ผมประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมากๆๆๆ ในยามปกติเก่า ผมเสียค่าเดินทางเดือนละ 2000+ ไม่รวมค่าซื้อของกินที่ทำงาน
แต่พอมาทำงานอยู่บ้าน ผมใช้เงินวันนึงไม่เกิน 100 บาท บางวันก็ซื้อข้าวร้านใกล้ๆ บ้าน 40 บาท บางวันไม่ได้ใช้เงินเลยก็มี
หาอะไรในตู้เย็นทำกินแบบชิลๆ
**เท่ากับว่าผมประหยัดตังไปได้เดือนละประมาณ 12,000 +- ถ้าผมมีวินัยแบบนี้ไปได้ปีนึง ผมก็มีเงินเก็บมากขึ้นปีละประมาณ 144,000 ว้าว เอาไปทำอะไรดี
2. ผมไม่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ในยามปกติเก่า ผมตื่น 06.00 แต่ตอนทำงานที่บ้าน ผมตื่น 08.00 ก็ยังเหลือเฟือ มันทำให้ผมนอนดึกขึ้นได้อีก 2 ชม.
**เท่ากับว่า ผมมีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้นอีกวันละ 2 ชม. เดือนละ 40 ชม. คิดดูว่าจะทำในสิ่งที่อยากทำได้แค่ไหน
3. ผมไม่ต้องเสียเวลาและเสียสุขภาพจิต ในการเดินทางไปทำงาน ผมใช้เวลาเดินทางไปทำงานไปกลับ 2 ชม.
**เท่ากับว่า ผมมีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้นอีกแล้ววันละ 2 ชม. เดือนละอีก 40 ชม. แถมไม่เสียสุขภาพจิตด้วย
4. ผมไม่ต้องรีดหรือซักชุดทำงานเลยเดือนนึง
5. ไม่ต้องไปเจอหน้าคนที่เราไม่ชอบด้วย
6. อันนี้ส้วนตัวล้วนๆ ปกติเวลาเลิกงาน 17.30 แล้วกว่าจะลุกจากโต๊ะออกมา(ถึงเวลาปุ๊ปออกเลยไม่ได้นะ คนอื่นจะมองว่ากลับไว ทั้งที่ก็กลับตามเวลา)
กว่าจะเดินทางถึงบ้าน ก็ปาไปทุ่มกว่า แต่อันนี้เลิกงานปุ๊ป ถึงบ้านปั๊ป อย่างฟิน
**ปล1 แต่ปริมาณงานที่ทำไม่ได้ลดลงเลยนะ ยังทำงานได้ตามปกติ
**ปล2 ความจริงที่บริษัทเขาจ้างเรานั้น เขาต้องการผลงานจากเรานะ เขาไม่ได้ต้องการเวลาชีวิตเราหรอก
**ปล3 ถ้าบริษัทไหน new normal WFH ได้ ก็อยากให้ทำครับ
ส่วนข้อเสียก็มีนะครับ
1. ไม่ได้เจอเพื่อนเฮอาปาจิงโกะ ไม่ได้เม้ามอยกัน มันเหงา ได้ไปทำงานสักสัปดาห์ละวันก็โอเคร
**ปล4 อีกสองเดือนถัดมาผมต้องเดินทางมาทำงานสัปดาห์ละ 2 วัน จึงทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
**ปล5 สามเดือนที่ทำงานอยู่บ้าน ผมไม่เคยดู Netflix ในเวลางานเลย จะดูหลังเลิกงานหรือก่อนนอน มันฟินกว่า
นี่ก็เป็นความรู้สึกที่ได้รับส่วนตัวนะครับ ^^ เล่าสู่กันฟัง
แชร์ประสบการ Work from home สามเดือนที่ผ่านมา
จากที่เดือนเมาษายนทั้งเดือน ผผไม่ได้เดินทางมาที่ทำงานเลย ทำงานอยู่บ้านทุกวัน
ข้อดีที่ผมได้รับก็คือ
1. ผมประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมากๆๆๆ ในยามปกติเก่า ผมเสียค่าเดินทางเดือนละ 2000+ ไม่รวมค่าซื้อของกินที่ทำงาน
แต่พอมาทำงานอยู่บ้าน ผมใช้เงินวันนึงไม่เกิน 100 บาท บางวันก็ซื้อข้าวร้านใกล้ๆ บ้าน 40 บาท บางวันไม่ได้ใช้เงินเลยก็มี
หาอะไรในตู้เย็นทำกินแบบชิลๆ
**เท่ากับว่าผมประหยัดตังไปได้เดือนละประมาณ 12,000 +- ถ้าผมมีวินัยแบบนี้ไปได้ปีนึง ผมก็มีเงินเก็บมากขึ้นปีละประมาณ 144,000 ว้าว เอาไปทำอะไรดี
2. ผมไม่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ในยามปกติเก่า ผมตื่น 06.00 แต่ตอนทำงานที่บ้าน ผมตื่น 08.00 ก็ยังเหลือเฟือ มันทำให้ผมนอนดึกขึ้นได้อีก 2 ชม.
**เท่ากับว่า ผมมีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้นอีกวันละ 2 ชม. เดือนละ 40 ชม. คิดดูว่าจะทำในสิ่งที่อยากทำได้แค่ไหน
3. ผมไม่ต้องเสียเวลาและเสียสุขภาพจิต ในการเดินทางไปทำงาน ผมใช้เวลาเดินทางไปทำงานไปกลับ 2 ชม.
**เท่ากับว่า ผมมีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้นอีกแล้ววันละ 2 ชม. เดือนละอีก 40 ชม. แถมไม่เสียสุขภาพจิตด้วย
4. ผมไม่ต้องรีดหรือซักชุดทำงานเลยเดือนนึง
5. ไม่ต้องไปเจอหน้าคนที่เราไม่ชอบด้วย
6. อันนี้ส้วนตัวล้วนๆ ปกติเวลาเลิกงาน 17.30 แล้วกว่าจะลุกจากโต๊ะออกมา(ถึงเวลาปุ๊ปออกเลยไม่ได้นะ คนอื่นจะมองว่ากลับไว ทั้งที่ก็กลับตามเวลา)
กว่าจะเดินทางถึงบ้าน ก็ปาไปทุ่มกว่า แต่อันนี้เลิกงานปุ๊ป ถึงบ้านปั๊ป อย่างฟิน
**ปล1 แต่ปริมาณงานที่ทำไม่ได้ลดลงเลยนะ ยังทำงานได้ตามปกติ
**ปล2 ความจริงที่บริษัทเขาจ้างเรานั้น เขาต้องการผลงานจากเรานะ เขาไม่ได้ต้องการเวลาชีวิตเราหรอก
**ปล3 ถ้าบริษัทไหน new normal WFH ได้ ก็อยากให้ทำครับ
ส่วนข้อเสียก็มีนะครับ
1. ไม่ได้เจอเพื่อนเฮอาปาจิงโกะ ไม่ได้เม้ามอยกัน มันเหงา ได้ไปทำงานสักสัปดาห์ละวันก็โอเคร
**ปล4 อีกสองเดือนถัดมาผมต้องเดินทางมาทำงานสัปดาห์ละ 2 วัน จึงทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย
**ปล5 สามเดือนที่ทำงานอยู่บ้าน ผมไม่เคยดู Netflix ในเวลางานเลย จะดูหลังเลิกงานหรือก่อนนอน มันฟินกว่า
นี่ก็เป็นความรู้สึกที่ได้รับส่วนตัวนะครับ ^^ เล่าสู่กันฟัง