เมื่อต้องเป็นหนี้ ที่เกิดจากมารดานำไปใช้จ่ายอย่างไม่มีสติ

ขอเกริ่นเรื่องราวชีวิตก่อนนะครับ เพื่อระบายความในใจ หนี้นี้เกิดขึ้นจากมารดาพาผมไปให้กู้เงิน จากธนาคารสีน้ำเงิน ตั้งแต่ช่วงเรียนจบใหม่ๆ

พูดง่ายๆคือพอมีเงินเดือนปุ้ป ก็มัดมือผมไปกู้เงินให้เลย ไม่ให้ได้ตั้งตัวกันเลยที่เดียว 

ด้วยความที่เป็นลูกครับ ก็ไม่อยากปฏิเสธ คิดว่าเค้าให้เราได้เกิดมาแล้ว ทำตามที่เค้าอยากได้ละกัน 

ซึ่งต้องบอกก่อนว่ามารดาไม่ค่อยจะเลี้ยงดูผมดีสักเท่าไหร่ ถูกทำร้ายด้วยวาจาและกำลังอยู่เสมอในขณะที่อาศัยอยู่ด้วยกัน เงินที่จะได้จากเขาสักบาทก็ต้องผ่านการด่าทอด้วยคำหยาบคายมากมาย

เป็นเหตุผลให้ผมต้องไปขอความช่วยเหลือจากญาติคนอื่นๆ ยังมีความโชคดีในควาคโชคร้ายที่ยังมีญาติที่ดีคอยช่วยเหลือค่ากินอยู่ ใช้สำหรับไปโรงเรียน 

และในยามที่สอบติดมหาลัย ขนาดติดมหาลัยชั้นนำของประเทศก็ไม่มีวี่แววคอยมารดาว่าจะช่วยเหลือค่าเทอมเดือนแรก สำหรับใช้เข้ามหาลัย แต่เที่ยวไปป่าวประกาศกับชาวบ้านว่าลูกสอบติด 

โดยที่ไม่สนใจใยดีว่าลูกจะหาเงินจากไหนไปเข้าเรียนมหาลัย ก็ยังโชคดีที่มีญาติช่วยค่าเทอม เทอมแรกให้ผ่านพ้นไปได้ และได้ทุนเรียนฟรีมาอีกจนจบถือว่าเป็นความโชคดีอีกอย่างในชีวิต 

เมื่อเข้าเรียนมหาลัยได้ 1 ปีผมก็หนีออกมาจากบ้านเพื่อไปอยู่กับเพื่อน เพราะมารดามีปัญหากับสามีใหม่จนสติแตกให้ผมคอยพาไปตามหาราวีสามีใหม่ คิดถึงขั้นจะไปหายาบ้ามายัดให้สามีใหม่โดนจับ พอทราบความคิดแบบนี้แล้วรับไม่ได้  และช่วงนั้นเสียเวลาการเรียนอย่างมาก ขนาดตอนเราสอบยังบังคับให้ขับมอเตอร์ไซค์ไปไล่ตามหาสามี 

ที่เล่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเจ็บปวดในชีวิตครอบครัวของผม แต่ก็คิดเสมอว่ายังคงมีคนที่เจออะไรหนักกวาเราและมันก็ต้องผ่านไปได้ 

ความคิดนี้นำพาให้ผมเรียนจบมหาลัยมาจนได้ในที่สุด จนวันที่ได้มีงานทำ มารดาก็ได้พบกับผู้ชายคนใหม่อีกคน และหลังจากรู้ว่าเราได้งานแล้วก็ขอให้ไปกู้ร่วมโดยมีผมเป็นผู้กู้หลัก และมีบ้านของเค้าเป็นตัวค้ำประกันกับธนาคาร โดยที่ผู้ชายคนใหม่นั้นแนะนำให้กู้เงิน เพื่อไปปล่อยกู้ !!! ช่างเป็นความคิดที่บรรลัยมากจริงๆ  

ในตอนแรกตกลงกันไว้ว่าขอให้มารดากู้ 200-300k ก็พอนะครับ สรุปวันเซ็นสัญญาตัวเลขออกมาที่ 750k ผมงงใจอย่างมาก จะเอาเงินไปทำอะไรเยอะขนาดนั้น เขาก็บอกว่าจะนำไปทำธุรกิจ และไปปล่อยกู้ส่วนนึง 

ผมเองซึ่งยังเด็กก็ได้แต่แนะนำว่าอย่าไปปล่อยกู้เลยนะครับมันเสี่ยงเกินไป นำไปทำธุรกิจสร้างตัวเถอะ ก็ตามนั้นละครับ เขานำเงินไปปล่อยกู้เกือบทั้งหมด และนำไปใช้จ่ายเข้าคลินิคต่างๆนาๆ จนเงินหมดภายในปีครึ่งเท่านั้น 

สุดท้ายหลังจากเงินหมด โดยที่แทบไม่ได้ใช้เงินจำนวนนี้เลยสักบาท (ได้มาดาวน์รถ 20000 คืนให้เขาไปอีก 15000 ใช้จริงเพียง 5000) ก็ต้องมาจ่ายหนี้ให้เขาแทนตามที่ตัวเองเคยได้คิดไว้ว่าเลวร้ายที่สุดคือเค้าก็ทิ้งให้เราจ่ายแบบนี้แหละ 

จนตอนนี้ผ่านมา 5-6 ปีแล้วกับการที่ผมต้องปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคาร และจ่ายหนี้เอง โดยเสียเงินที่เป็นเพียงดอกเบี้ยไปแล้ว กว่า 300k บาท 

ดอกเบี้ยกู้แบบนี้มันโหดร้ายมาก มีแต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตกเดือนละประมาณ 9000 บาท ไม่มีทางเข้าเงินต้นได้เลยถ้าจ่ายไม่เกินหมื่น 

เงินจำนวนนี้สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าน้อย แต่สำหรับผมที่ถือได้ว่าตัวคนเดียวไม่มีใครซัพพอท และต้นทุนแทบจะเป็น 0 มันก็หนักหนาสาหัสอยู่ 

บางทีก็คิดอิจฉาคนที่มีมรดกจากครอบครัวเป็นสินทรัพย์หรือธุรกิจ แต่สำหรับผมมีแค่หนี้ก้อนนี้ที่เป็นมรดกให้ต้องใช้มันต่อไป และก็ไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินใดๆได้เลยตั้งแต่มีเงินเดือน เพราะติดปรับโครงสร้างหนี้ 

ที่เล่ามาทั้งหมดก็อยากให้เป็นอุธาหรณ์สำหรับใครก็ตามที่คิดจะกู้ร่วมกับใคร ขอให้ระวังให้ดี เพราะแม้แต่มารดาแท้ๆก็สามารถทำให้คุณเป็นหนี้ฟรีๆได้  

ปล.พี่ๆน้องๆคนไหน มี Solution สำหรับปัญหานี้ช่วยบอกผมทีนะครับ หนทางในการย้ายหนี้นี้ให้ดอกเบี้ยลดลงมีทางใดบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้ผมหลุดพ้นจากกงกรรมนี้ไปได้สักทีจะ Refinance ไปก็ติดไอคำว่าปรับโครงสร้างหนี้เนี่ยละ จนไม่รู้จะไปหาทางออกไหน

ถ้าให้มารดาขายสินทรัพย์ที่วางค้ำประกันไว้ ก็คงอีกนาน เพราะขนาดค่างวดยังไม่คิดรับผิดชอบอะไรเลย

หรือจะปล่อยไว้โดยไม่จ่ายให้รอโดนฟ้องทีเดียวเพื่อยึดทรัพย์ ผมก็ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยเป็นสิ่งที่กดดันให้มารดาผมยอมจ่ายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆถ้าไม่จ่ายดอกเบี้ยบานแน่นอนเลยต้องทนจ่ายต่อไปเรื่อยๆ ขนาดตอนนี้ต้นรวมดอก ก็จะ ล้านนึงแล้ว ขนาดจ่ายทิ้งไปแล้วเกือบ 3  แสนบาท

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
สำหรับเรานะคะ
เค้าเป็นคนให้ชีวิตเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องตอบแทนเค้าด้วยชีวิตของเราทั้งชีวิตเราค่ะ
เค้าเป็นคนให้ชีวิตเราก็จริง แต่ถ้าเค้าไม่ได้เลี้ยงดูเรา หรือทำหน้าทีของคนที่เป็นแม่ควรจะทำ
เราก็ไม่เห็นว่าเราควรต้องทำหน้าที่ลูก ที่กตัญญูจนต้องทิ้งชีวิตของตัวเองให้กับคนที่เค้าไม่เคยใยดีเราค่ะ
เป็นเรา เราจะหยุดการช่วยเหลือค่ะ
สิ่งที่ช่วยเหลือไปแล้ว ก็ถือว่านั่นคือสิ่งที่ตอบแทนบุญคุณกันไปแล้ว
หลังจากนี้ เป็นเรื่องที่เค้าต้องช่วยเหลือตัวเองแล้วค่ะ
เราติดกับดักของคำว่ากตัญญูเกินไป
ถ้าคนๆนั้น แค่ได้ชื่อว่าแม่ แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ของแม่
เราเองก็ไม่จำเป้นที่ต้องที่ต้องทำหน้าที่ลูกเหมือนกันค่ะ

บ้าน ปล่อยให้โดนยึดขายทอดตลาด จ่ายหนี้ไปค่ะ
คนไหนเป็นคนก่อปัญหา ก็ให้คนที่ก่อปัญหารับภาระค่ะ
ไม่ใช่ปล่อยให้สบายตัวไป เพราะคำแค่ว่าแม่
แล้วเราต้องมาตามล้างตามเช็ดให้แบบนี้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่