ถ้าลาออกจากงานในสถานการณ์แบบนี้ ถือว่าเราจิตใจอ่อนแอเกินไปไหม

ยาวมาก แต่อยากให้อ่านจริงๆ เราพยายามถ่ายทอดความรู้สึกและปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นมา 2 ปีกว่าๆ 

เราอายุใกล้ 30 ทำงานเป็นพนักงานในหน่วยงานกำกับของรัฐ และทำที่นี่มาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี มีปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นเรื้อรังคือ ปัญหาระหว่างเรากับหัวหน้า คือทัศนคติที่ไม่ตรงกัน ความคิดที่ไม่ตรงกัน และสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ เวลาเราทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดไปหมดเลย ถ้าถามความรู้สึกเราก็คือ เรามีหัวหน้าที่ไม่เข้าใจหรือยอมรับในตัวตนของเรา เราไม่ใช่คนเลว แค่มีนิสัยเงียบๆ แต่โดนหัวหน้าดุเป็นประจำ บางเรื่องก็ไม่ควรโดน เพราะเราไม่ผิด แต่เหมือนหัวหน้าจะหาที่ลงไม่ได้ (ลูกน้องคนอื่นๆ ก็อยู่มานาน อายุก็เยอะๆ กันแล้ว) จึงมาลงกับเรา และยิ่งเราเองก็ไม่เคยตอบโต้ จึงเป็นที่ลงได้อย่างดี

หัวหน้าพยายามบีบบังคับให้เราปรับตัวเข้ากับเขาตลอด แต่เราก็ทำไม่ได้ (ข้อเสียเรามีอยู่แล้ว แต่พยายามปรับเท่าที่ได้ ปรับไปทีละนิด เท่าที่ตัวเองจะไม่ฝืนมากนัก ซึ่งหัวหน้ามองว่าเราไม่ปรับ) ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหัวหน้าจึงระหองระแหง อาจมีบางช่วงที่เขาคุยดีๆกับเรา แต่เป็นแบบนี้ได้ไม่นาน ส่วนใหญ่เราจะทุกข์ใจเมื่อต้องอยู่กับเขามากกว่า เคยไปพบจิตแพทย์และกินยาแก้ซึมเศร้า แต่ตอนนี้เลิกกินแล้ว เพราะรู้สึกว่ายิ่งกินก็ยิ่งแย่

ลักษณะงานของเราคือทำร่วมกับรุ่นพี่อีกคนนึงที่มีประสบการณ์มากกว่าเป็นสิบๆ ปี เขาเก่งกว่าเรา และไม่ค่อยมอบหมายงานยากๆ ให้เราทำ (ประมาณว่า เมื่อก่อนเขาทำอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำคนเดียวไม่ไหว จึงรับเราเข้ามาเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานส่วนที่ง่ายๆ หรือพวกงานรูทีน) และเขาก็ไม่เคยดุเราด้วย เราจึงมีความสุขที่ได้ทำงานกับเขา (ถึงจะรู้สึกอยากลองทำงานยากๆ ให้ได้เหมือนเขาบ้างก็เถอะ แต่ในเมื่อเราเคยถามเขาแล้วเขาไม่ให้เราทำ เราก็ไม่ได้ตื๊ออะไร) และนอกจากนี้ก็เป็นงานของฝ่ายโดยรวม (ฝ่ายเราก็จะมีหลายงานแยกกัน) เช่น เป็นเลขาประชุม หรือช่วยงานเฉพาะกิจ

เมื่อต้นปีนี้ เป็นช่วงที่โควิดเริ่มระบาด และก็เป็นช่วงการประเมินผลงานของเรา หัวหน้าประเมินให้เราเกือบตก เพราะเรื่องต่างๆ ที่เขาไม่พอใจเรา ตอนนั้นเราทำงานได้ 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ได้คะแนนประเมินดีมาตลอด แต่ครั้งนี้ได้เกือบตก เราเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน จึงแอบไปสมัครและสัมภาษณ์งานฝ่ายอื่น แล้วเรื่องนี้ไปถึงหูผู้บริหารสูงสุดของฝ่ายเรา ผู้บริหารก็เรียกเราไปคุย เราก็บอกความจริงไป บอกไปว่ามีปัญหาอะไร เขาก็เรียกหัวหน้าเราไปคุย เรียกรุ่นพี่ที่ทำงานกับเราไปคุย แล้วตกลงกันว่าจะให้เวลา 1 เดือนเพื่อดูว่าสถานการณ์ดีขึ้นไหม เรารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่ามันจะไม่ดีขึ้น แต่ก็ยอมเชื่อฟังผู้บริหาร เพราะเขาเป็นคนรับเราเข้าทำงาน (ไม่ใช่หัวหน้าเป็นคนรับ แต่หัวหน้าเป็นคนประเมินการทำงาน)

หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหัวหน้าก็ห่างเหินกันมากขึ้น (ถ้าไม่จำเป็นจะไม่คุยกันเลย) รุ่นพี่ที่ทำงานกับเราก็โดนหัวหน้าเรียกไปต่อว่า เพราะเขาพูดปกป้องเข้าข้างเราต่อผู้บริหาร แต่รุ่นพี่บอกว่าเขาแค่พูดไปตามความจริง รุ่นพี่โดนว่าแต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไร เพราะว่าหัวหน้ายังต้องการเขาอยู่ แต่เรานี่สิ นอกจากสถานการณ์จะไม่ดีขึ้นแล้ว ยังแย่ลงเรื่อยๆ อีก ถ้าเราทำอะไรไม่ถูกใจหัวหน้า เราจะโดนเขาตำหนิต่อหน้าคนอื่นๆ ในห้องเลย (เมื่อก่อนยังเรียกไปว่าแบบส่วนตัว) บางทีก็ตำหนิในไลน์กลุ่มงาน ใช้งานเราอย่างนึง พอเราทำให้ ก็บอกว่าไม่ใช่แบบนี้ๆ เราก็แบบ...อิหยังวะ บ่อยมาก

ผ่านไป 2 เดือน เรากับรุ่นพี่ที่ทำงานกับเราก็เข้าไปพบผู้บริหารของฝ่ายอีกครั้ง ก็ไปเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รุ่นพี่บอกเขาว่าย้ายเราไปทำงานอื่นเถอะ ให้อยู่กับหัวหน้าคนอื่นแทน เพราะหัวหน้าคนเดิมไม่เอาเราแล้ว (เขาอาจไล่เราออกไม่ได้ เพราะเรามีผู้บริหารปกป้อง แต่เขาก็บีบให้เราอยากออกได้) เราบอกไปว่า เรากลุ้มใจกับการประเมินผลงานที่จะมาถึงในครั้งต่อไป (ปีนึงประเมิน 2 ครั้ง) คิดว่าต้องถูกประเมินด้วยคะแนนไม่ดีอีกแน่ๆ ผู้บริหารก็บอกว่าช่างสิ จะคะแนนเท่าไหร่ก็ช่าง รุ่นพี่ก็บอกว่าเรื่องคะแนนไม่มีผลต่อการขึ้นเงินเดือน ไม่ต้องไปกลัว (เราก็ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่การได้คะแนนนแย่ๆ มันก็บั่นทอนจิตใจ)

ตอนนี้เราก็เลยถูกย้ายงาน แต่ลักษณะการย้ายของเราคือ ตัวเราก็ยังนั่งอยู่ในห้องทำงานเดิม กับหัวหน้าคนเดิม แต่งานที่เคยทำอยู่นั้นถูกตัดออกไป เราต้องไปทำงานให้หัวหน้า 2 คนแทน เราพยายามเรียนรู้ ทำทุกอย่างที่เขาสั่ง ทำมาได้ 2 เดือน ตอนนี้รู้สึกเบื่อมากอีกแล้ว เพราะงานไม่มีอะไรเลยนอกจาก...ประชุม กับทำรายงานประชุม...คืองานเลขาแบบนี้ไม่ได้ตรงกับความถนัดของเรา วันไหนที่มีประชุม วันนั้นเราต้องเตรียมอดหลับอดนอน เพราะต้องปั่นรายงานประชุมในเรื่องที่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ (มันเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา) แล้วเราก็ไม่ได้ใช้เวลาทำแค่แป๊บเดียว นั่งปั่นทั้งคืนบางทีก็ยังไม่เสร็จ ต้องเอาไปทำต่อในที่ทำงานอยู่ดี

ลักษณะงานที่เราอยากทำ คือการทำงานด้านคอมพิวเตอร์ ไม่เน้นประสานงานกับคนอื่นมากนัก (การประสานงานมันมีหลายลักษณะ) ไม่ต้องคอยตามจิกงานจากใครหลายครั้ง ซึ่งเราก็ได้บอกทุกคนไปแล้ว แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ทำ คือเราไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าแค่ให้เราเข้าประชุม เพราะเรื่องที่ประชุมมันก็มีประโยชน์ต่อเรา แต่นี่เราเหมือนต้องเป็นเลขาด้วย ต้องจัดประชุม ต้องดำเนินการประชุม คอยประสานงานกับผู้เข้าประชุม คอยตามจิกงานจากเขา คือมันไม่ใช่แบบที่เราต้องการ

ส่วนหัวหน้าคนใหม่ 2 คนนี้ พอเราไปทำงานให้เขา ก็ดูเหมือนเขาจะเริ่มใจร้ายกับเรา เทียบกับตอนที่เรายังไม่ทำงานให้เขา มีการตำหนิเราเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกด้วย (เราตั้งกระทู้ไปก่อนหน้านี้แล้ว) การมีหัวหน้ามากกว่า 1 คนก็นับว่าแย่แล้ว บางทีก็ยังต้องข้องเกี่ยวกับหัวหน้าคนเดิมอยู่ เพราะนั่งอยู่ห้องเดียวกัน จะไปประชุมก็ต้องบอกเขา เจอเขาก็ต้องไหว้ทักทาย (ซึ่งเขาก็จะเมินเฉย แต่ถ้าเราไม่ทำ เขาก็โกรธ) เราคิดว่าถ้าต้องทำงานแบบนี้ไปนานๆ เราคงไม่ไหวแน่ เราไม่อยากไปพบผู้บริหารฝ่ายเพื่อเล่าปัญหาเป็นครั้งที่ 3 อีก สุขภาพจิตเราก็แย่ ไปทำงานก็ไม่เคยมีความสุขสักวัน  

คนที่บ้านก็เริ่มเข้าใจเราแล้ว บอกว่าถ้าไม่ไหวก็ออกมา (จากเมื่อก่อนที่พยายามรั้งไม่ให้ออก เพราะเห็นว่าเราทำงานในที่ๆดี) เราไม่ได้มีเงินเก็บเยอะ แต่บ้านเราก็ไม่ได้ลำบาก ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว ถ้าเราเดือดร้อนจริงๆ บ้านก็ยังเป็นที่พึ่งให้เราได้ (ไม่ได้หมายความว่าเราจะกลับไปเกาะพ่อแม่กินทันทีที่ออกจากงาน เราจะพยายามดิ้นรนด้วยตัวเองก่อน) และเราก็อยากเรียนต่อ แต่เราไม่สามารถเรียนต่อในสภาพแบบนี้ได้ จิตใจเราไม่พร้อม เวลาก็ไม่พร้อม อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาประเมินผลงานของเรา และคนที่จะประเมินเราก็เป็นหัวหน้าทั้ง 3 คน เรานี่แบบ... คือคิดไว้ล่วงหน้าเลยว่าได้คะแนนไม่ดีแน่ๆ และเราคิดว่าถ้าได้คะแนนไม่ดีอีก เราจะออก จะไม่ขออยู่ต่อให้รู้สึกแย่อีก หลังจากที่ต้องทนมาเกือบ 3 ปี นี่เราอ่อนแอเกินไปไหม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่