ขออภัยที่หายไปหลายวัน กลับมาวันนี้จะมาต่อปากีสถานให้จบ และรวมถึงเกร็ดเล็กน้อยหลายอย่างที่อยากบอก หากมีใครสนใจอยากเดินทางไปเยือนปากีสถานกันนะคะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
https://pantip.com/topic/39977660
มาๆ ไปต่อกันเลย
นี่คือวิวที่โรงแรมเซเรน่า ที่หุบเขาสวัต ซึ่งถือว่าสวยมาก แม้จะสู้วิวสวยๆจากหุบเขาทางตอนเหนือไม่ได้ก็เถอะ แต่เมื่อบวกกับอากาศดีๆ ของที่นี่แล้วนับว่าเป็นเช้าที่สดชื่นมาก ตื่นมาเจออะไรแบบนี้
นี่ห้องพัก นอนคนเดียวแต่ได้ 2 เตียง แถมให้ ..

เชคเอ้าท์ออกจากโรงแรมกันอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่ที่แรกที่เราจะไปเยือนกันเลย
และนี่คือวิวข้างทาง
เช้านี้เราจะไปชมพระพุทธรูปกันให้ชุ่มปอด
เนื่องด้วยหุบเขา swat นั้น แต่เดิมเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
จากการสำรวจทางดบราณคดี ในปัจจุบันทราบว่ามีแหล่งขุดค้นทางพุทธศาสนาราว 400 แห่งในหุบเขาแห่งนี้
ซึ่งสิ่งที่คงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันมีไม่กี่ชนิด นั่นคือ พระพุทธรูป, สถูป และอาคารในทางพุทธศาสนา
สันนิฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นยุคหลังจากพุทธกาลไม่นานนัก อย่างช้าสุดราวๆ พุทธศตวรรษที่ 5
คงเหลือร่องรอยทางโบราณคดีกระจายอยู่โดยทั่วในหุบเขาแห่งนี้
หมู่บ้านกลาลีไกร์ (ไม่แน่ใจว่าสะกดอย่างไร) อยู่ห่างจากตัวเมืองในหุบเขา swat ราว 14 กิโลเมตร
เป็นอีกแห่งหนึ่งที่คงความสำคัญมาตั้งแต่ครั้งอดีต แม้ในปัจจุบันจะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ
แต่ยังคงมีร่องรอยของพุทธศาสนาปรากฏชัด ซึ่งนั่นก็คือพระพุทธรูปแกะสลักจากหินธรรมชาติขนาดสูงใหญ่ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ติดริมถนน
ถามว่าขนาดใหญ่แค่ไหน อันนี้จำไม่ได้ว่ากี่เมตร แต่ที่แน่ๆ คือใกล้ๆ กันมีการแกะสลักพระพุทธรูปไว้จำนวนมาก(แต่ส่วนมากเลือนหายไปเกือบหมดแล้ว)
นี่คือทางเดินขึ้นไปเพื่อไปชมพระพุทธรูปข้างบน
เดินกันได้ 1 เหนื่อย ถ่ายรูปกันพอสมควรแก่เวลาแล้วเราก็เดินทางไปกันต่อ
จุดหมายแรกของเราคือสถูปซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
แม้ในปัจจุบันจะกลายเป็นสถูปที่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนเกือบหมดแล้ว แต่ยังคงมีคุณค่าทางจิตใจอย่างยิ่งสำหรับชาวพุทธ
สถูปแห่งนี้ เชื่อว่าสร้างโดยกษัตริย์ของเมืองในหุบเขาswat แห่งนี้ ซึ่งสร้างไว้เพื่อเก็บรักษาส่วนหนึ่งของอัฐิของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการจัดสรรมา
สำหรับปัจจุบันสถูปแห่งนี้ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล และชาวบ้านโดยรอบแม้ว่าจะเป็นชาวมุสลิมกันหมด แต่ก็ไม่มีใครนึกอยากทำลาย ไม่เหมือนในอาฟกานิสถาน
พูดถึงเรื่องชาวบ้าน เห็นหน้าตาเด็กๆ แถวนี้ (พอดีมีเด็กกลุ่มใหญ่เดินไปโรงเรียนผ่านมา) เด็กทุกคนล้วนหน้าตาแบบฝรั่ง
เห็นตอนแรกงงมาก ทำไมคนแถบนี้ถึงหน้าตาไม่เหมือนคนอินเดีย แต่ค่อนไปทางฝรั่ง กล่าวคือ ผมสีอ่อน ไม่ดำปี๋ เช่นสีน้ำตาล บางคนเกือบๆ จะผมทอง ดวงตาสีไม่ดำ เด็กบางคนมีดวงตาสีเทา สีฟ้าด้วยซ้ำ จมูกโด่งสันเป็นคมกันเลยทีเดียว ถามไกด์ ก็ได้ความว่า.. คาดว่าเป็นผลมาจากกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
จำได้ใช่ไหมจากตอนที่แหล้วที่เราไปเหมืองเกลือกัน กองทัพของพะรองค์เดินทางมาถึงปากีสถาน ความตั้งใจในครานั้นคือจะพิชิตอินเดีย แต่ในความเป็นจริงกองทัยไม่เคยเดินทางถึงอินเดีย(ในปัจจุบัน) เพราะดินแดนตรงนี้คือปากีสถาน ไม่ใช่อินเดียอีกต่อไปแล้ว
พอพระองค์ยกทัพกลับ ย่อมทิ้งคนกรีก ไว้ปกครองที่นี่ แล้วด้วยความที่มันเป็นหุบเขา ผู้คนไม่ค่อยจะย้ายออก ย้ายเข้ากันมากมายเท่าไหร่คนกรีกที่มาอยู่ก็ผสมกลมกลืนกลายเป็นคนท้องถิ่นที่นี่ แล้วจนถึงปัจจุบันคนแถบนี้จึงหน้าตายังค่อนไปทางฝรั่งอยู่บ้าง และไม่เหมือนอินเดียซะทีเดียว
กลับมาที่สถูปกันต่อ
ด้วยเรื่องราวที่อลังการถึงขั้นสร้างสมัยพุทธกาลแน่นอนว่าก่อนมาย่อมรู้สึกว้าวมาก อยากไปชมด้วยตาตัวเองอย่างมาก แต่พอมาเจอตรงหน้าก็ไม่ค่อยอะไรมากนัก เพราะมีสถูปอยู่แค่องค์เดียว รอบๆ ไม่มีอะไรให้ดู และยังเป็นสถูปที่ได้รับบูรณะแล้วด้วย
หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถขับกันไปต่อ ผ่านร้านขายส้ม
ส้มจร้าาาาาาาาาาาาาาาาา ส้ม
มองเห็นแต่ไกลลิบลับ

อดใจไม่ไหวต้องจอดซื้อส้มกันหน่อย ส้มที่นี่ไม่ได้หมวานเจีญบแต่เอาไปคั้นน้ำส้มก็อร่อยอยู่
บรรยากาศในหุบเขา
วิวสวยดี ตอนนั้นก็จำได้ว่าตื่นเต้นอยู่ ก่อนที่หลังจากนั้นจะไปเที่ยวปากีสถานตอนเหนือถึงได้รู้ว่านี่แค่วิวเด็กๆ ของจริงต้องขึ้นเหนือคาราโคลัมไฮเวย์นี่สวรรค์ของแท้เลยวิวของอลังการจริงๆ
และแน่นอนว่ามาเมืองแขกก็ต้องมีถั่วขาย ถั่วมากมายพร้อมด้วยเครื่องเทศ

สำหรับอินทผาลัมที่นี่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ ความที่ไปเมืองแขกๆ มาพอสมควร จึงคิดว่าอิทผาลัมที่นี่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
ที่เที่ยวที่สำคัญสำหรับวันนี้ก็คือ พิพิธภัณฑ์เมือง swat
พอขับรถเข้ามาถึงก็เจอนี่เลยศาลาซึ่งสร้างอัลกุรอ่านเล่มโตไว้ด้านหน้าตามประสาเมืองแขก

สำหรับพิพิธภัณธ์แห่งนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2502 ด้วยความช่วยเหลือทางโบราณคดีของอิตาลี และได้รับความเสียหายเพราะแผ่นดินไหว เมื่อ พ.ศ. 2548 รัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาช่วยบูรณะ (อันที่จริง ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือทางโบราณคดีแก่ปากีสถานที่แหล่งโบราณคดีหลายแห่งมาก) หลังจากนั้นเมื่อพ.ศ. 2550 ก็เหมือนเป็นคราวเคราะห์ เพราะหุบเขาแห่งนี้ถูกโจมตีและพยายามจะยึดครองโดยอาฟกานิสถาน(กลุ่มตาลีบัน) แน่นอนว่าพวกนั้นพยายามจะทำลายพิพิธภัณธ์แห่งนี้ เนื่องด้วยเป็นที่เก็บรวมรวมโบราณวัตถุอันไม่ใช่ศาสนาอิสลาม (ตรรกะเดียวกันกับการทำลายพระพุทธรูปที่บามียัน)
ระหว่างปี 2551 ก็ได้มีการย้ายข้าวของจำนวนมากไปอยู่ที่พิพิธภัณธ์เมืองตักศิลาแทน ต้องขอบคุณรัฐบาลปากีสถาที่เห็นความสำคัญกับโบราณวัตถุเหล่านี้ จึงทำให้เราได้ไปเยือนได้วันนี้ ไม่เช่นนั้นคงถูกถล่มเละแทะไปแล้ว เนื่องด้วยมีการยิงถล่มกันที่พิพิธภัณธ์แห่งนี้ด้วยเมื่อปี 2551
โชคยังดีที่ในที่สุดก็สามารถขับไล่พวกตาลีบันออกไปได้สำเร็จ และมีการย้ายข้าวของกลับมาจัดแสดงที่เดิมอีกครั้ง เมื่อพ.ศ. 2554
และนี่คือเหตุผลที่เราดั้นด้นเข้าหุบเขา swat มาชม
และเริ่มไม่แปลกใจที่ตอนจะเข้าหุบเขามีเจ้าหน้าที่ของปากีสถานไม่ยอมให้เข้าเขตพื้นที่ของเขา เพราะเขาก็ไม่เข้าใจว่าเราจะมาดูอะไรในเมื่อมันเป็นเขตที่ติดอาฟกานิสถาน และเขาไม่อาจรับผิดชอบอะไรได้หากเกิดอะไรขึ้นกับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ในเขตความรับผิดชอบของเขา
เอาหละ อาจจะฟังดูน่ากลัวอยู่สักหน่อย แต่สุดท้ายเราก็มาถึง(และกลับไปโดยสวัสดิภาพล่ะนะ)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็มีอะไรที่น่าสนใจให้ดูไม่น้อย
โดยโบราณวัตถุล้วนมาจากแหล่งขุดค้นรอบๆ หุบเขาแห่งนี้ทั้งสิ้น
[CR] เมื่อฉันไปปากีสถาน จากใต้ตรดเหนือ ตอนที่ 3 (จบ)
ความเดิมตอนที่แล้ว
https://pantip.com/topic/39977660
มาๆ ไปต่อกันเลย
นี่คือวิวที่โรงแรมเซเรน่า ที่หุบเขาสวัต ซึ่งถือว่าสวยมาก แม้จะสู้วิวสวยๆจากหุบเขาทางตอนเหนือไม่ได้ก็เถอะ แต่เมื่อบวกกับอากาศดีๆ ของที่นี่แล้วนับว่าเป็นเช้าที่สดชื่นมาก ตื่นมาเจออะไรแบบนี้
นี่ห้องพัก นอนคนเดียวแต่ได้ 2 เตียง แถมให้ ..
เชคเอ้าท์ออกจากโรงแรมกันอีกครั้ง มุ่งหน้าสู่ที่แรกที่เราจะไปเยือนกันเลย
และนี่คือวิวข้างทาง
เช้านี้เราจะไปชมพระพุทธรูปกันให้ชุ่มปอด
เนื่องด้วยหุบเขา swat นั้น แต่เดิมเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
จากการสำรวจทางดบราณคดี ในปัจจุบันทราบว่ามีแหล่งขุดค้นทางพุทธศาสนาราว 400 แห่งในหุบเขาแห่งนี้
ซึ่งสิ่งที่คงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบันมีไม่กี่ชนิด นั่นคือ พระพุทธรูป, สถูป และอาคารในทางพุทธศาสนา
สันนิฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นยุคหลังจากพุทธกาลไม่นานนัก อย่างช้าสุดราวๆ พุทธศตวรรษที่ 5
คงเหลือร่องรอยทางโบราณคดีกระจายอยู่โดยทั่วในหุบเขาแห่งนี้
หมู่บ้านกลาลีไกร์ (ไม่แน่ใจว่าสะกดอย่างไร) อยู่ห่างจากตัวเมืองในหุบเขา swat ราว 14 กิโลเมตร
เป็นอีกแห่งหนึ่งที่คงความสำคัญมาตั้งแต่ครั้งอดีต แม้ในปัจจุบันจะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็กๆ
แต่ยังคงมีร่องรอยของพุทธศาสนาปรากฏชัด ซึ่งนั่นก็คือพระพุทธรูปแกะสลักจากหินธรรมชาติขนาดสูงใหญ่ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ติดริมถนน
ถามว่าขนาดใหญ่แค่ไหน อันนี้จำไม่ได้ว่ากี่เมตร แต่ที่แน่ๆ คือใกล้ๆ กันมีการแกะสลักพระพุทธรูปไว้จำนวนมาก(แต่ส่วนมากเลือนหายไปเกือบหมดแล้ว)
นี่คือทางเดินขึ้นไปเพื่อไปชมพระพุทธรูปข้างบน
เดินกันได้ 1 เหนื่อย ถ่ายรูปกันพอสมควรแก่เวลาแล้วเราก็เดินทางไปกันต่อ
จุดหมายแรกของเราคือสถูปซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
แม้ในปัจจุบันจะกลายเป็นสถูปที่ได้รับการซ่อมแซมใหม่จนเกือบหมดแล้ว แต่ยังคงมีคุณค่าทางจิตใจอย่างยิ่งสำหรับชาวพุทธ
สถูปแห่งนี้ เชื่อว่าสร้างโดยกษัตริย์ของเมืองในหุบเขาswat แห่งนี้ ซึ่งสร้างไว้เพื่อเก็บรักษาส่วนหนึ่งของอัฐิของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการจัดสรรมา
สำหรับปัจจุบันสถูปแห่งนี้ได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล และชาวบ้านโดยรอบแม้ว่าจะเป็นชาวมุสลิมกันหมด แต่ก็ไม่มีใครนึกอยากทำลาย ไม่เหมือนในอาฟกานิสถาน
พูดถึงเรื่องชาวบ้าน เห็นหน้าตาเด็กๆ แถวนี้ (พอดีมีเด็กกลุ่มใหญ่เดินไปโรงเรียนผ่านมา) เด็กทุกคนล้วนหน้าตาแบบฝรั่ง
เห็นตอนแรกงงมาก ทำไมคนแถบนี้ถึงหน้าตาไม่เหมือนคนอินเดีย แต่ค่อนไปทางฝรั่ง กล่าวคือ ผมสีอ่อน ไม่ดำปี๋ เช่นสีน้ำตาล บางคนเกือบๆ จะผมทอง ดวงตาสีไม่ดำ เด็กบางคนมีดวงตาสีเทา สีฟ้าด้วยซ้ำ จมูกโด่งสันเป็นคมกันเลยทีเดียว ถามไกด์ ก็ได้ความว่า.. คาดว่าเป็นผลมาจากกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
จำได้ใช่ไหมจากตอนที่แหล้วที่เราไปเหมืองเกลือกัน กองทัพของพะรองค์เดินทางมาถึงปากีสถาน ความตั้งใจในครานั้นคือจะพิชิตอินเดีย แต่ในความเป็นจริงกองทัยไม่เคยเดินทางถึงอินเดีย(ในปัจจุบัน) เพราะดินแดนตรงนี้คือปากีสถาน ไม่ใช่อินเดียอีกต่อไปแล้ว
พอพระองค์ยกทัพกลับ ย่อมทิ้งคนกรีก ไว้ปกครองที่นี่ แล้วด้วยความที่มันเป็นหุบเขา ผู้คนไม่ค่อยจะย้ายออก ย้ายเข้ากันมากมายเท่าไหร่คนกรีกที่มาอยู่ก็ผสมกลมกลืนกลายเป็นคนท้องถิ่นที่นี่ แล้วจนถึงปัจจุบันคนแถบนี้จึงหน้าตายังค่อนไปทางฝรั่งอยู่บ้าง และไม่เหมือนอินเดียซะทีเดียว
กลับมาที่สถูปกันต่อ
ด้วยเรื่องราวที่อลังการถึงขั้นสร้างสมัยพุทธกาลแน่นอนว่าก่อนมาย่อมรู้สึกว้าวมาก อยากไปชมด้วยตาตัวเองอย่างมาก แต่พอมาเจอตรงหน้าก็ไม่ค่อยอะไรมากนัก เพราะมีสถูปอยู่แค่องค์เดียว รอบๆ ไม่มีอะไรให้ดู และยังเป็นสถูปที่ได้รับบูรณะแล้วด้วย
หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถขับกันไปต่อ ผ่านร้านขายส้ม
ส้มจร้าาาาาาาาาาาาาาาาา ส้ม
มองเห็นแต่ไกลลิบลับ
อดใจไม่ไหวต้องจอดซื้อส้มกันหน่อย ส้มที่นี่ไม่ได้หมวานเจีญบแต่เอาไปคั้นน้ำส้มก็อร่อยอยู่
บรรยากาศในหุบเขา
วิวสวยดี ตอนนั้นก็จำได้ว่าตื่นเต้นอยู่ ก่อนที่หลังจากนั้นจะไปเที่ยวปากีสถานตอนเหนือถึงได้รู้ว่านี่แค่วิวเด็กๆ ของจริงต้องขึ้นเหนือคาราโคลัมไฮเวย์นี่สวรรค์ของแท้เลยวิวของอลังการจริงๆ
และแน่นอนว่ามาเมืองแขกก็ต้องมีถั่วขาย ถั่วมากมายพร้อมด้วยเครื่องเทศ
สำหรับอินทผาลัมที่นี่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ ความที่ไปเมืองแขกๆ มาพอสมควร จึงคิดว่าอิทผาลัมที่นี่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่
ที่เที่ยวที่สำคัญสำหรับวันนี้ก็คือ พิพิธภัณฑ์เมือง swat
พอขับรถเข้ามาถึงก็เจอนี่เลยศาลาซึ่งสร้างอัลกุรอ่านเล่มโตไว้ด้านหน้าตามประสาเมืองแขก
สำหรับพิพิธภัณธ์แห่งนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2502 ด้วยความช่วยเหลือทางโบราณคดีของอิตาลี และได้รับความเสียหายเพราะแผ่นดินไหว เมื่อ พ.ศ. 2548 รัฐบาลญี่ปุ่นเข้ามาช่วยบูรณะ (อันที่จริง ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือทางโบราณคดีแก่ปากีสถานที่แหล่งโบราณคดีหลายแห่งมาก) หลังจากนั้นเมื่อพ.ศ. 2550 ก็เหมือนเป็นคราวเคราะห์ เพราะหุบเขาแห่งนี้ถูกโจมตีและพยายามจะยึดครองโดยอาฟกานิสถาน(กลุ่มตาลีบัน) แน่นอนว่าพวกนั้นพยายามจะทำลายพิพิธภัณธ์แห่งนี้ เนื่องด้วยเป็นที่เก็บรวมรวมโบราณวัตถุอันไม่ใช่ศาสนาอิสลาม (ตรรกะเดียวกันกับการทำลายพระพุทธรูปที่บามียัน)
ระหว่างปี 2551 ก็ได้มีการย้ายข้าวของจำนวนมากไปอยู่ที่พิพิธภัณธ์เมืองตักศิลาแทน ต้องขอบคุณรัฐบาลปากีสถาที่เห็นความสำคัญกับโบราณวัตถุเหล่านี้ จึงทำให้เราได้ไปเยือนได้วันนี้ ไม่เช่นนั้นคงถูกถล่มเละแทะไปแล้ว เนื่องด้วยมีการยิงถล่มกันที่พิพิธภัณธ์แห่งนี้ด้วยเมื่อปี 2551
โชคยังดีที่ในที่สุดก็สามารถขับไล่พวกตาลีบันออกไปได้สำเร็จ และมีการย้ายข้าวของกลับมาจัดแสดงที่เดิมอีกครั้ง เมื่อพ.ศ. 2554
และนี่คือเหตุผลที่เราดั้นด้นเข้าหุบเขา swat มาชม
และเริ่มไม่แปลกใจที่ตอนจะเข้าหุบเขามีเจ้าหน้าที่ของปากีสถานไม่ยอมให้เข้าเขตพื้นที่ของเขา เพราะเขาก็ไม่เข้าใจว่าเราจะมาดูอะไรในเมื่อมันเป็นเขตที่ติดอาฟกานิสถาน และเขาไม่อาจรับผิดชอบอะไรได้หากเกิดอะไรขึ้นกับนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ในเขตความรับผิดชอบของเขา
เอาหละ อาจจะฟังดูน่ากลัวอยู่สักหน่อย แต่สุดท้ายเราก็มาถึง(และกลับไปโดยสวัสดิภาพล่ะนะ)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แต่ก็มีอะไรที่น่าสนใจให้ดูไม่น้อย
โดยโบราณวัตถุล้วนมาจากแหล่งขุดค้นรอบๆ หุบเขาแห่งนี้ทั้งสิ้น
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้