เราอาจกำลังมองดู
"รถที่มีศักยภาพดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่สามารถ disrupt รถน้ำมันได้
ที่อยู่ในมือของทีมการตลาดของค่ายรถที่ห่วยที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
อยู่ก็ได้นะ...
ทำไมผมถึงบอกว่ามันมีศักยภาพที่จะ disrupt รถที่ใช้น้ำมันได้?
ผมรู้สึกว่า ไปๆมาๆ
เจ้า e-power มันเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผมและคุณๆ ที่ติดตามเรื่องรถ
หรืออยู่ในวงการรถไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน
ยอดขายที่มหาศาลของ e-power ในญี่ปุ่น มันมาจากพลังของนักรีวิวรถเหรอ?
ผมว่าไม่ใช่หรอก แต่มันเป็นพลังของลูกค้าทั่วไปต่างหาก
ที่สามารถสัมผัสได้ถึงความวิเศษของระบบนี้
ถ้าคุณอยู่ในวงการรถมาตลอด ถ้าคุณมีความรู้เยอะ
คุณจะมองว่ามันคือไฮบริดอนุกรมในแบบเก่า ที่เวลาเครื่องหรือมอเตอร์เสีย รถก็จะพังวิ่งไม่ได้
มันมีจุดอ่อนนั่นนี่ สูญเสียกำลังเท่านั้น เท่านี้ อัตราเร่ง 0-100 เท่านั้นเท่านี้ ประหยัดเท่านั้นเท่านี้
ผ่านมาเป็นเดือนๆ เราพูดกันอยู่แค่นี้
แต่จริงๆแล้ว มันเป็นอะไรที่เราไม่คุ้นเคยกันมาก่อนเลยนะ
ซึ่งมันเป็นอะไรทุกคนเริ่มสัมผัสเป็นครั้งแรกพร้อมกัน เหมือนกัน
สำหรับเราๆ ที่คุ้นเคยกับวงการรถ ทดสอบรถ เจอรถมามากมาย
อาจจะไป generalize มัน ความหมายคือ ตีความมันในแบบที่เราเข้าใจ
แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และมัน disrupt รถน้ำมันได้
เพราะอะไร
เพราะถ้าคุณยึดติดกับตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม/ชม.ที่ 9.3-9.5 วิ
คุณจะคิดว่ามันก็เทียบเท่ากับรถเล็กเครื่องแรงทั่วๆไป
ที่มาพร้อมกับวัสดุภายในห่วยเท่า eco car
และคุณก็มองว่า อัตราเร่งแค่นี้ แค่คู่แข่งใส่เครื่อง 1.0T หรือ 1.5T มา
ก็สามารถจูนเอาชนะได้สบาย
นี่คือมุมมองของคนที่คุ้นเคยกับวงการรถ
แต่!
ถ้าคุณเป็นลูกค้าคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องรถ หรือ พอจะรู้เรื่องรถบ้าง
ไม่ได้ติดกับเรื่อง อัตราเร่ง 0-100
สิ่งที่ลูกค้าคนนี้ได้เจอเวลาที่ทดลองขับ
ก็คือแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ณ ตอนออกตัวนะเว้ยเฮ้ย!!
ซึ่งมันไม่ได้มีความหมายกับคนเล่นรถ เพราะเรามองที่อัตราเร่งมาตรฐาน
แต่ในสายตาคนทั่วไป
มันไม่มีรถคนไหนในตลาดที่ทำแบบนี้ได้
แล้วถ้าคุณไม่ได้คิดที่จะเล่นรถไฟฟ้า
มันก็มีแต่ Kicks นี่แหล่ะที่ทำได้
เหวอเลยนะ
ถ้าคุณเป็นฝ่ายการตลาด คุณต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าได้ลอง
e-power กับ one pedal ของคุณ ทำยังไงก็ได้ให้มาลองกันมากที่สุด
ต้องทำ!
รถคันนี้หรือระบบของมันนี้จะสามารถ disrupt รถน้ำมันได้
เพราะถ้าลูกค้าติดกับระบบนี้เมื่อไหร่
รถน้ำมันจะไม่มีที่ยืน ต่อให้เป็นรถเทอร์โบก็เถอะ!
สำหรับผู้เชี่ยวชาญในวงการ ซึ่งผมก็คิดไม่ต่างกับท่านทั้งหลาย
มันไม่เห็นจะน่าตกใจ ก็รถ ZS EV มันก็ยังแรงกว่าไม่ใช่เหรอ
0-100 ก็ระดับ 8 วิกว่าๆ ตัวเลขกำลังก็เยอะกว่า (150 แรงม้า/แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร)
ราคาก็ไม่หนีกัน ล้านต้นๆ ล้านสอง
นั่นเป็นเพราะเรา generalize มันครับ
แต่ในสายตาผู้บริโภค ที่ไม่ได้มองรถไฟฟ้า
Kicks มันเป็นรถทั่วไปที่ไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใครมี
หากเราตีความว่ามันไม่มีอะไร
ระบบไฮบริดแบบอนุกรมนี่มีข้อด้อยเต็มไปหมด
เอาคนเก่งด้านวิศวะมานั่งล้อมวงคุยกัน คงหยิบข้อเสียโน้นนี่นั่นมาได้เพียบ
แต่ถ้าการตลาด Nissan จับลูกค้ามาลองรถคันนี้ได้
พวกเขาจะไม่เห็นข้อด้อยเหล่านั้น และพวกเขาจะชอบมัน
เหมือนกับคนญี่ปุ่นที่ควักเงินซื้อรถ e-power เป็นว่าเล่นไง
เพราะ e-power มันเป็นระบบที่ disrupt รถน้ำมัน และรถไฮบริดแบบพาราเรล
ในสายตาของลูกค้า
ย้ำว่าในสายตาของลูกค้านะ
ไม่ใช่สายตาของวิศวกร นักเล่นรถ พวกบ้ารถ
ผมนั่งดูคลิปคุณนิธิขับ และนักรีวิวคนอื่นขับ
มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกตื่นเต้น
"จากหน้าจอ"
"เฮ้ย! มันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนี้กับผมมาก่อนเลยนะ"
มันมีคาแรกเตอร์บางอย่างที่ มันแตกต่างจากรถทั่วไปนะ
คือเราเล่นรถ เราจะมองแค่เรื่อง
1 อัตราเร่ง 2 อัตราสิ้นเปลือง 3 การบังคับควบคุมการขับขี่
เป็นเรื่องหลักๆใช่ไหม?
แต่พอดู Kicks แล้ว เรื่องพวกนี้มันไม่อยู่ในหัวเลยอะ!?
ถ้าแบ่งรถออกเป็นสองประเภท
1) ใช้น้ำมัน กับ 2) ไม่ใช่น้ำมัน หรือ เป็นไฟฟ้า
คุณจะจับ Kicks เปรียบเทียบกับ C-HR, HR-V, CX-30 ไปจนถึง HS
XV, Forester ใช่ไหม เพราะราคามันขี่ๆกัน ล้านกว่าเหมือนกันหมด
นอกจาก Kicks แล้ว พวกที่เหลือทั้งหมด ให้อารมณ์เดียวกัน
จากการที่เครื่องยนต์ใช้น้ำมัน มีเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นไฮบริดหรือไม่ก็ตาม
ทุกคันไม่มี one pedal
คันอื่นทุกคัน คุณจะได้เจอกับประสบการณ์ที่คุ้นเคย
มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่จะแตกต่างกันที่ คนไหน handling ดีกว่า
ช่วงล่างให้อารมณ์ดีกว่า ด้อยกว่า อัตราเร่งเท่าไหร่ อัตราสิ้นเปลืองเท่าไหร่
(อันนี้เหมือนเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ข้างบนก็เขียนแบบนี้ไปรอบแล้ว)
แต่ก็นั่นแหล่ะ
ผมสรุปว่ามันคือฟีลลิ่งของรถยุคเก่าครับ
ถ้าตอนนี้คุณอายุ 30-40 อีก 20-30 ปีข้างหน้า ถ้าคุณยังคงขับรถเองอยู่
ไม่ได้มีคนขับรถให้ ไอฟีลลิ่งพวกนี้ มันก็ยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
รถคันนึงดีหรือแย่กว่าอีกคัน คุณก็ใช้ความรู้สึกเปรียบเทียบ เหมือนกับ
คนที่หูทอง เปรียบเทียบเครื่องเสียงว่ารุ่นไหน มีเสียงดีกว่า
แต่ในความเป็นจริงก็คือ คนที่หูทอง ก็มีไม่มากนะครับ
แต่เครื่องเสียงเปิดแล้วเพลงเพราะ พวกเขาก็รู้สึกโอเคแล้ว
e-power vs รถที่ใช้น้ำมันทั่วไป ก็เช่นกัน ให้รวมไปถึงรถไฮบริดพาราเรลทั้งหมดด้วย
สำหรับคนทั่วไป
e-power ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เหมือน คนไม่เคยฟังเครื่องเสียงแบบนี้มาก่อน
รถน้ำมัน/ไฮบริดพาราเรล ให้ความรู้สึกที่เหมือนรถอีกรุ่น เป็นเครื่องเสียงรุ่นใหม่ ที่ๆบ้านก็มีอยู่แล้วเครื่องหนึ่ง
คุณเห็นภาพไหมครับ
ความแตกต่างในมุมมองระหว่าง คนทั่วไป กับคนบ้ารถอย่างเราๆ
ผมกำลังจะบอกว่า e-power สามารถ disrupt รถที่ใช้น้ำมัน และอาจรวมไปถึง pararell hybrid
หากคนที่กำลังกำเทคโนโลยีนี้อยู่ในมือ สามารถยื่นไปให้ลูกค้าได้ลอง ได้สัมผัสได้
ผมมองไปถึงข้างหน้าด้วยซ้ำว่า มันมีศักยภาพที่จะขายตีคู่ไปกับรถไฟฟ้าในอนาคตได้
แต่รถที่ใช้น้ำมัน 100% กับรถ pararell hybrid มันกำลังจะตกยุค
pararell hybrid ที่จะตกยุค คือ ตกยุคในสายตาคนทั่วไป
แต่ไม่ใช่สายตาของเราๆท่านๆนะ เพราะเทคโนโลยีที่ตกยุคก็คือ series hybrid แบบ e-power ต่างหาก
แต่คนที่จะเลือกคือผู้บริโภค
ผมคิดว่าคนทั่วไป จะตื่นเต้นกับ e-power
แต่ e-power นี้มันก็อาจจะเจ๊งได้ เมื่ออยู่ในมือของทีมการตลาดที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่ถ้าผมสะลัดความคุ้นเคยเดิม เกี่ยวกับเรื่องรถเดิมๆ ที่ผมเคยชิน
ผมก็คิดว่า ผมน่าจะตื่นเต้นกับ e-power ได้เหมือนกัน เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่
ที่มองเห็นอะไรก็น่าตื่นเต้นไปหมด
ประเด็นที่ผมเขียน มันอาจจะดูซับซ้อนไปหน่อย
แต่ผมเห็นอย่างนี้ชัดเจน แล้วมันเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นมาแล้ว
แต่ทีมการตลาดของ Nissan Thailand ไม่ได้แตะเรื่องที่ผมเขียนเลยแม้แค่ 1%
ใช่ครับ เขาแค่สื่อว่า e-power คือ รถไฟฟ้า แล้วให้คนก่นด่าเล่นว่า สร้างความเข้าใจผิด
ให้ข้อมูลมั่วซั่วกับลูกค้า แล้วเขาก็ทำโฆษณาโหลๆ ดาษๆ ออกมา 4-5 แบบ ให้เรารีบคลิกปิดเวลาที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอคอม
ผมว่าค่ายอื่นๆ เขาลอง e-power แล้ว เขาก็คงรู้
ว่ามันมีศักยภาพในการ disrupt รถที่ใช้น้ำมัน กับรถ pararell hybrid ได้
ไม่ว่า Nissan จะใช้กลโกงอะไร ในการทำให้ series hybrid มันผงาดขึ้นมาได้ แต่เขาทำไปแล้ว
เหลือแต่เรื่องการตลาดเท่านั้น
ว่าด้วยตัวรถ Kicks จริงๆ มันยังดูก๊องแก๊งกว่า Mazda 2 เสียด้วยซ้ำในเรื่องวัสดุ
แต่มันถูกจับมาใส่เครื่อง e-power ไปแล้ว ดังนั้น ก็ต้องลองดู
แต่ต้องบอกว่า Nissan ทำแบบนี้ โคต รเสี่ยงเลย เพราะลูกค้าจะเมินตั้งแต่ต้นโดยที่ยังไม่ลองรถ
การตลาดคุณต้องสื่อสารให้ดีกว่านี้ กับรถที่น่าจะ disrupt ตลาดได้
แต่คุณจะพึ่งพาพวกนักรีวิวมากนักไม่ได้ เพราะพวกเขาจะ generalize โปรดักท์ของคุณ
(จากความคุ้นเคย)
คุณต้องจับพวก youtuber พวก trendsetter พวกคนที่มีอิทธิพลต่อลูกค้าทั่วไปให้ได้
พวกเด็กรุ่นใหม่ BNK อะไรแบบนี้ แต่ Toyota จัดการเอาไปให้ Yaris Ativ แล้ว
รีวิวคุณแพนถึง Kicks คือสุดยอด วีดีโอคุณนิธิก็ทำให้เห็นได้ว่าน่าตื่นเต้น
แต่คุณจะไม่ได้อ่าน impression ประมาณนี้จากนักรีวิว
เพราะผมสวมวิญญาณคนทั่วไปเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ (ปกติผมก็นักรีวิว คนบ้ารถทั่วไปคนนึง)
ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ได้ลอง Kicks คุณอาจจะพลาดโอกาสสำคัญ หรือ พลาดประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตเกี่ยวกับเรื่องรถ
ถ้าคุณได้เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าแล้ว ได้สัมผัสอะไรพวกนี้จนชินแล้ว และชอบชาร์จไฟ คุณก็จะมองว่า
Kicks ยังเป็นอะไรที่ดูล้าหลัง เพราะต้องเติมน้ำมัน แต่ถ้าคนที่ไม่มองรถไฟฟ้าเลย เลยยยยยย
Kicks นี่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ล้ำ แล้วมันมีอนาคตร่วมไปกับรถไฟฟ้าได้เลย
ลองจินตนการดู
ถ้าอีกหน่อยบนท้องถนน มีแต่รถไฟฟ้าบ้าพลัง
แต่คุณไม่อยากใช้รถไฟฟ้า
คุณใช้รถน้ำมันหรือ pararell hybrid คุณจะรู้สึกทุกข์ใจแน่
เวลาคุณเจอแรงบิดระดับปีศาจจากพวกรถไฟฟ้า
โผล่เข้ามา เวลาที่คุณกำลังจะเร่งแซงอยู่ตลอดเวลา
มันมีแต่ e-power เท่านั้นล่ะครับ
ผมถึงได้บอกว่า มัน disrupt ได้
แล้วมันทำได้จริง ถ้าลูกค้าได้สัมผัสกันเป็นส่วนใหญ่นะ
เฮ้ย! ผมว่า KICKS e-Power นี่มัน disrupt รถน้ำมันได้เลยนะ
เราอาจกำลังมองดู
"รถที่มีศักยภาพดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่สามารถ disrupt รถน้ำมันได้
ที่อยู่ในมือของทีมการตลาดของค่ายรถที่ห่วยที่สุดเท่าที่เคยมีมา"
อยู่ก็ได้นะ...
ทำไมผมถึงบอกว่ามันมีศักยภาพที่จะ disrupt รถที่ใช้น้ำมันได้?
ผมรู้สึกว่า ไปๆมาๆ
เจ้า e-power มันเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผมและคุณๆ ที่ติดตามเรื่องรถ
หรืออยู่ในวงการรถไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน
ยอดขายที่มหาศาลของ e-power ในญี่ปุ่น มันมาจากพลังของนักรีวิวรถเหรอ?
ผมว่าไม่ใช่หรอก แต่มันเป็นพลังของลูกค้าทั่วไปต่างหาก
ที่สามารถสัมผัสได้ถึงความวิเศษของระบบนี้
ถ้าคุณอยู่ในวงการรถมาตลอด ถ้าคุณมีความรู้เยอะ
คุณจะมองว่ามันคือไฮบริดอนุกรมในแบบเก่า ที่เวลาเครื่องหรือมอเตอร์เสีย รถก็จะพังวิ่งไม่ได้
มันมีจุดอ่อนนั่นนี่ สูญเสียกำลังเท่านั้น เท่านี้ อัตราเร่ง 0-100 เท่านั้นเท่านี้ ประหยัดเท่านั้นเท่านี้
ผ่านมาเป็นเดือนๆ เราพูดกันอยู่แค่นี้
แต่จริงๆแล้ว มันเป็นอะไรที่เราไม่คุ้นเคยกันมาก่อนเลยนะ
ซึ่งมันเป็นอะไรทุกคนเริ่มสัมผัสเป็นครั้งแรกพร้อมกัน เหมือนกัน
สำหรับเราๆ ที่คุ้นเคยกับวงการรถ ทดสอบรถ เจอรถมามากมาย
อาจจะไป generalize มัน ความหมายคือ ตีความมันในแบบที่เราเข้าใจ
แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และมัน disrupt รถน้ำมันได้
เพราะอะไร
เพราะถ้าคุณยึดติดกับตัวเลขอัตราเร่ง 0-100 กม/ชม.ที่ 9.3-9.5 วิ
คุณจะคิดว่ามันก็เทียบเท่ากับรถเล็กเครื่องแรงทั่วๆไป
ที่มาพร้อมกับวัสดุภายในห่วยเท่า eco car
และคุณก็มองว่า อัตราเร่งแค่นี้ แค่คู่แข่งใส่เครื่อง 1.0T หรือ 1.5T มา
ก็สามารถจูนเอาชนะได้สบาย
นี่คือมุมมองของคนที่คุ้นเคยกับวงการรถ
แต่!
ถ้าคุณเป็นลูกค้าคนหนึ่ง ที่ไม่รู้เรื่องรถ หรือ พอจะรู้เรื่องรถบ้าง
ไม่ได้ติดกับเรื่อง อัตราเร่ง 0-100
สิ่งที่ลูกค้าคนนี้ได้เจอเวลาที่ทดลองขับ
ก็คือแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ณ ตอนออกตัวนะเว้ยเฮ้ย!!
ซึ่งมันไม่ได้มีความหมายกับคนเล่นรถ เพราะเรามองที่อัตราเร่งมาตรฐาน
แต่ในสายตาคนทั่วไป
มันไม่มีรถคนไหนในตลาดที่ทำแบบนี้ได้
แล้วถ้าคุณไม่ได้คิดที่จะเล่นรถไฟฟ้า
มันก็มีแต่ Kicks นี่แหล่ะที่ทำได้
เหวอเลยนะ
ถ้าคุณเป็นฝ่ายการตลาด คุณต้องทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าได้ลอง
e-power กับ one pedal ของคุณ ทำยังไงก็ได้ให้มาลองกันมากที่สุด
ต้องทำ!
รถคันนี้หรือระบบของมันนี้จะสามารถ disrupt รถน้ำมันได้
เพราะถ้าลูกค้าติดกับระบบนี้เมื่อไหร่
รถน้ำมันจะไม่มีที่ยืน ต่อให้เป็นรถเทอร์โบก็เถอะ!
สำหรับผู้เชี่ยวชาญในวงการ ซึ่งผมก็คิดไม่ต่างกับท่านทั้งหลาย
มันไม่เห็นจะน่าตกใจ ก็รถ ZS EV มันก็ยังแรงกว่าไม่ใช่เหรอ
0-100 ก็ระดับ 8 วิกว่าๆ ตัวเลขกำลังก็เยอะกว่า (150 แรงม้า/แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร)
ราคาก็ไม่หนีกัน ล้านต้นๆ ล้านสอง
นั่นเป็นเพราะเรา generalize มันครับ
แต่ในสายตาผู้บริโภค ที่ไม่ได้มองรถไฟฟ้า
Kicks มันเป็นรถทั่วไปที่ไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใครมี
หากเราตีความว่ามันไม่มีอะไร
ระบบไฮบริดแบบอนุกรมนี่มีข้อด้อยเต็มไปหมด
เอาคนเก่งด้านวิศวะมานั่งล้อมวงคุยกัน คงหยิบข้อเสียโน้นนี่นั่นมาได้เพียบ
แต่ถ้าการตลาด Nissan จับลูกค้ามาลองรถคันนี้ได้
พวกเขาจะไม่เห็นข้อด้อยเหล่านั้น และพวกเขาจะชอบมัน
เหมือนกับคนญี่ปุ่นที่ควักเงินซื้อรถ e-power เป็นว่าเล่นไง
เพราะ e-power มันเป็นระบบที่ disrupt รถน้ำมัน และรถไฮบริดแบบพาราเรล
ในสายตาของลูกค้า
ย้ำว่าในสายตาของลูกค้านะ
ไม่ใช่สายตาของวิศวกร นักเล่นรถ พวกบ้ารถ
ผมนั่งดูคลิปคุณนิธิขับ และนักรีวิวคนอื่นขับ
มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกตื่นเต้น "จากหน้าจอ"
"เฮ้ย! มันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนี้กับผมมาก่อนเลยนะ"
มันมีคาแรกเตอร์บางอย่างที่ มันแตกต่างจากรถทั่วไปนะ
คือเราเล่นรถ เราจะมองแค่เรื่อง
1 อัตราเร่ง 2 อัตราสิ้นเปลือง 3 การบังคับควบคุมการขับขี่
เป็นเรื่องหลักๆใช่ไหม?
แต่พอดู Kicks แล้ว เรื่องพวกนี้มันไม่อยู่ในหัวเลยอะ!?
ถ้าแบ่งรถออกเป็นสองประเภท
1) ใช้น้ำมัน กับ 2) ไม่ใช่น้ำมัน หรือ เป็นไฟฟ้า
คุณจะจับ Kicks เปรียบเทียบกับ C-HR, HR-V, CX-30 ไปจนถึง HS
XV, Forester ใช่ไหม เพราะราคามันขี่ๆกัน ล้านกว่าเหมือนกันหมด
นอกจาก Kicks แล้ว พวกที่เหลือทั้งหมด ให้อารมณ์เดียวกัน
จากการที่เครื่องยนต์ใช้น้ำมัน มีเกียร์ ไม่ว่าจะเป็นไฮบริดหรือไม่ก็ตาม
ทุกคันไม่มี one pedal
คันอื่นทุกคัน คุณจะได้เจอกับประสบการณ์ที่คุ้นเคย
มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่จะแตกต่างกันที่ คนไหน handling ดีกว่า
ช่วงล่างให้อารมณ์ดีกว่า ด้อยกว่า อัตราเร่งเท่าไหร่ อัตราสิ้นเปลืองเท่าไหร่
(อันนี้เหมือนเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ ข้างบนก็เขียนแบบนี้ไปรอบแล้ว)
แต่ก็นั่นแหล่ะ ผมสรุปว่ามันคือฟีลลิ่งของรถยุคเก่าครับ
ถ้าตอนนี้คุณอายุ 30-40 อีก 20-30 ปีข้างหน้า ถ้าคุณยังคงขับรถเองอยู่
ไม่ได้มีคนขับรถให้ ไอฟีลลิ่งพวกนี้ มันก็ยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
รถคันนึงดีหรือแย่กว่าอีกคัน คุณก็ใช้ความรู้สึกเปรียบเทียบ เหมือนกับ
คนที่หูทอง เปรียบเทียบเครื่องเสียงว่ารุ่นไหน มีเสียงดีกว่า
แต่ในความเป็นจริงก็คือ คนที่หูทอง ก็มีไม่มากนะครับ
แต่เครื่องเสียงเปิดแล้วเพลงเพราะ พวกเขาก็รู้สึกโอเคแล้ว
e-power vs รถที่ใช้น้ำมันทั่วไป ก็เช่นกัน ให้รวมไปถึงรถไฮบริดพาราเรลทั้งหมดด้วย
สำหรับคนทั่วไป
e-power ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เหมือน คนไม่เคยฟังเครื่องเสียงแบบนี้มาก่อน
รถน้ำมัน/ไฮบริดพาราเรล ให้ความรู้สึกที่เหมือนรถอีกรุ่น เป็นเครื่องเสียงรุ่นใหม่ ที่ๆบ้านก็มีอยู่แล้วเครื่องหนึ่ง
คุณเห็นภาพไหมครับ
ความแตกต่างในมุมมองระหว่าง คนทั่วไป กับคนบ้ารถอย่างเราๆ
ผมกำลังจะบอกว่า e-power สามารถ disrupt รถที่ใช้น้ำมัน และอาจรวมไปถึง pararell hybrid
หากคนที่กำลังกำเทคโนโลยีนี้อยู่ในมือ สามารถยื่นไปให้ลูกค้าได้ลอง ได้สัมผัสได้
ผมมองไปถึงข้างหน้าด้วยซ้ำว่า มันมีศักยภาพที่จะขายตีคู่ไปกับรถไฟฟ้าในอนาคตได้
แต่รถที่ใช้น้ำมัน 100% กับรถ pararell hybrid มันกำลังจะตกยุค
pararell hybrid ที่จะตกยุค คือ ตกยุคในสายตาคนทั่วไป
แต่ไม่ใช่สายตาของเราๆท่านๆนะ เพราะเทคโนโลยีที่ตกยุคก็คือ series hybrid แบบ e-power ต่างหาก
แต่คนที่จะเลือกคือผู้บริโภค
ผมคิดว่าคนทั่วไป จะตื่นเต้นกับ e-power
แต่ e-power นี้มันก็อาจจะเจ๊งได้ เมื่ออยู่ในมือของทีมการตลาดที่ห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่ถ้าผมสะลัดความคุ้นเคยเดิม เกี่ยวกับเรื่องรถเดิมๆ ที่ผมเคยชิน
ผมก็คิดว่า ผมน่าจะตื่นเต้นกับ e-power ได้เหมือนกัน เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่
ที่มองเห็นอะไรก็น่าตื่นเต้นไปหมด
ประเด็นที่ผมเขียน มันอาจจะดูซับซ้อนไปหน่อย
แต่ผมเห็นอย่างนี้ชัดเจน แล้วมันเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นมาแล้ว
แต่ทีมการตลาดของ Nissan Thailand ไม่ได้แตะเรื่องที่ผมเขียนเลยแม้แค่ 1%
ใช่ครับ เขาแค่สื่อว่า e-power คือ รถไฟฟ้า แล้วให้คนก่นด่าเล่นว่า สร้างความเข้าใจผิด
ให้ข้อมูลมั่วซั่วกับลูกค้า แล้วเขาก็ทำโฆษณาโหลๆ ดาษๆ ออกมา 4-5 แบบ ให้เรารีบคลิกปิดเวลาที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอคอม
ผมว่าค่ายอื่นๆ เขาลอง e-power แล้ว เขาก็คงรู้
ว่ามันมีศักยภาพในการ disrupt รถที่ใช้น้ำมัน กับรถ pararell hybrid ได้
ไม่ว่า Nissan จะใช้กลโกงอะไร ในการทำให้ series hybrid มันผงาดขึ้นมาได้ แต่เขาทำไปแล้ว
เหลือแต่เรื่องการตลาดเท่านั้น
ว่าด้วยตัวรถ Kicks จริงๆ มันยังดูก๊องแก๊งกว่า Mazda 2 เสียด้วยซ้ำในเรื่องวัสดุ
แต่มันถูกจับมาใส่เครื่อง e-power ไปแล้ว ดังนั้น ก็ต้องลองดู
แต่ต้องบอกว่า Nissan ทำแบบนี้ โคต รเสี่ยงเลย เพราะลูกค้าจะเมินตั้งแต่ต้นโดยที่ยังไม่ลองรถ
การตลาดคุณต้องสื่อสารให้ดีกว่านี้ กับรถที่น่าจะ disrupt ตลาดได้
แต่คุณจะพึ่งพาพวกนักรีวิวมากนักไม่ได้ เพราะพวกเขาจะ generalize โปรดักท์ของคุณ
(จากความคุ้นเคย)
คุณต้องจับพวก youtuber พวก trendsetter พวกคนที่มีอิทธิพลต่อลูกค้าทั่วไปให้ได้
พวกเด็กรุ่นใหม่ BNK อะไรแบบนี้ แต่ Toyota จัดการเอาไปให้ Yaris Ativ แล้ว
รีวิวคุณแพนถึง Kicks คือสุดยอด วีดีโอคุณนิธิก็ทำให้เห็นได้ว่าน่าตื่นเต้น
แต่คุณจะไม่ได้อ่าน impression ประมาณนี้จากนักรีวิว
เพราะผมสวมวิญญาณคนทั่วไปเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ (ปกติผมก็นักรีวิว คนบ้ารถทั่วไปคนนึง)
ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ได้ลอง Kicks คุณอาจจะพลาดโอกาสสำคัญ หรือ พลาดประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตเกี่ยวกับเรื่องรถ
ถ้าคุณได้เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าแล้ว ได้สัมผัสอะไรพวกนี้จนชินแล้ว และชอบชาร์จไฟ คุณก็จะมองว่า
Kicks ยังเป็นอะไรที่ดูล้าหลัง เพราะต้องเติมน้ำมัน แต่ถ้าคนที่ไม่มองรถไฟฟ้าเลย เลยยยยยย
Kicks นี่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ล้ำ แล้วมันมีอนาคตร่วมไปกับรถไฟฟ้าได้เลย
ลองจินตนการดู
ถ้าอีกหน่อยบนท้องถนน มีแต่รถไฟฟ้าบ้าพลัง
แต่คุณไม่อยากใช้รถไฟฟ้า
คุณใช้รถน้ำมันหรือ pararell hybrid คุณจะรู้สึกทุกข์ใจแน่
เวลาคุณเจอแรงบิดระดับปีศาจจากพวกรถไฟฟ้า
โผล่เข้ามา เวลาที่คุณกำลังจะเร่งแซงอยู่ตลอดเวลา
มันมีแต่ e-power เท่านั้นล่ะครับ
ผมถึงได้บอกว่า มัน disrupt ได้
แล้วมันทำได้จริง ถ้าลูกค้าได้สัมผัสกันเป็นส่วนใหญ่นะ