สวัสดีครับ ไม่ขอเกริ่นอะไรมากนะครับ ขอเข้าเรื่องเลย ผมอายุ 35 เป็นลูกชายคนที่ 3 ของบ้านคนจีน เรียนจบมาก็รับช่วงต่อกิจการที่บ้านร่วมกับพี่ชายคนโตทันที รายได้ของผมเป็นรายเดือนที่ไม่ได้มากมายอะไรจากกิจการของบ้าน ผมคบและแต่งงานกับภรรยามาร่วม 12 ปี(คบหากันในฐานะแฟนอยู่ประมาณ 5 ปี และแต่งงานกันประมาณ 7 ปีครับ โดยที่เค้าเป็นแฟนคนแรกของผมครับ) ตลอดระยะเวลาที่คบหาและอยู่ด้วยกันมาก็มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีครับ แต่ที่เรียกว่าค่อนข้างย่ำแย่คงมีอยู่ 2 เรื่อง
สำหรับข้อที่หนึ่ง คือ ที่บ้านผมไม่ยินดีด้วยกับการคบหากัน ซึ่งคำว่าที่บ้านผมในที่นี้เน้นหนักไปที่คุณแม่นะครับ ส่วนคนอื่นๆมีบ้างที่ไม่พอใจในบางเรื่องแต่ก็เล็กน้อยครับพอเทียบกับคุณแม่แล้ว เรื่องนี้เป็นปัญหามาตลอดครับ นับแต่วันแรกที่ที่บ้านรับรู้เลยก็ว่าได้ โดยทางบ้านผมให้เหตุผลในตอนแรกว่า เค้าดูไม่ดีครับหมายถึงรูปร่างภายนอกไม่ถูกใจสำหรับที่บ้าน อาจจะด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างผอมมาก และสีผมและการแต่งตัวที่เป็นไปตามสมัยนิยม อีกอย่างหนึ่งซึ่งผมมีส่วนผิดด้วย คือ การที่ผมพาเค้ามาเจอกับที่บ้านของผมครั้งแรกด้วยลักษณะที่ไม่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นจุดที่ผิดพลาดมากจริงๆครับ และผมคิดว่าจุดนี้นี่เองที่ทำให้ทางบ้านผมเกิดอคติกับตัวเค้ามาโดยตลอด และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรก็ตามก็ไม่ถูกใจที่บ้านผมไปหมดเสมอครับ ซึ่งในช่วงแรกๆ แม้ที่บ้านผมจะไม่ชอบใจในตัวเค้า และการคบหากันของเราแต่ผมก็ยังดึงดันพาเค้าเข้าออกบ้านอย่างสม่ำเสมอด้วยความหวังว่าจะทำให้ที่บ้านคุ้นเคยและคุ้นชินกับเค้า แต่กลับกลายเป็นผลตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงครับ ที่บ้านผมยิ่งไม่ชอบเค้าเข้าไปใหญ่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เค้าเองก็ไม่ชอบและมีอคติต่อบ้านของผม จนท้ายที่สุดผมก็รับรู้แล้วว่าการทำแบบนี้คงยิ่งแย่ไปใหญ่จึงเลือกที่จะแยกครอบครัวผมออกจากเค้าอย่างชัดเจนโดยคิดว่าการไม่ให้พบปะกันการปะทะกันคงน้อยลงและความไม่ชอบคงจางไปเองครับ โดยการที่ไม่พาเค้าไปๆมาๆที่บ้านอีก เวลาเจอกันเราจะไปเจอกันที่ห้องของเค้าหรือนัดกันที่อื่นครับ รวมถึงการไม่พูดถึงเรื่องของอีกฝ่ายให้อีกฝ่ายฟังด้วย
จนกระทั่งคบกันมาได้ 4 ปี ผมก็ตัดสินใจว่าผมอยากแต่งงานครับ ซึ่งเหตุผลหลักๆเลยคือ ผมรักเค้า และผมอยากมีลูกกับเค้า โดยที่คิดว่าถ้ามีลูกที่บ้านคงจะอ่อนลงกับเค้า แต่ปัญหาส่วนของผมก็คือบ้านผมไม่เห็นด้วยกับการจะแต่งงานครับ โดยให้เหตุผลต่างๆนาๆว่าเค้าไม่ดีอย่างไรบ้างในมุมมองของที่บ้านผม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาที่ผมต้องช่วยเหลือเค้าและทางบ้านหลายต่อหลายครั้งเรื่องการเงิน ที่ทำให้ที่บ้านผมใช้คำว่าเค้าจะมาเกาะผม ปัญหาอีกข้อ คือ อย่างที่บอกครับบ้านผมเป็นบ้านคนจีนแบบครอบครัวใหญ่ ซึ่งไม่มีทางเลยที่ผมจะย้ายออกมาจากบ้านไปอยู่ข้างนอกได้ นั่นหมายความว่าถ้าแต่งงานกันเค้าต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของผม ซึ่งเค้าก็ไม่ได้เต็มใจครับแต่ก็ไม่มีทางเลือก เนื่องจากเค้าเองก็เพิ่งจบมายังไม่มีงานทำ และอย่างที่บอกว่าทางบ้านเค้าก็ลำบากมาก ถ้าเค้าไม่แต่งงานกับผมตอนนี้ ผมและเค้าเองต่างก็เห็นตรงกันว่าไม่มีทางเลยที่เค้าจะได้ใช้ชีวิตอยู่แบบสบายๆได้ครับ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลอีกส่วนที่ทำให้ผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเค้าในตอนนั้น และสุดท้ายผมก็ดึงดันชัดเจนว่าผมจะแต่งงานกับเค้าครับ จนในที่สุดที่บ้านก็ยอม โดยเป็นการจัดงานแต่งแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสองคนคุยกันเองครับว่ายังไม่อยากจด ณ ตอนนั้น
ปัญหาที่ตามมาหลังจากการแต่งงานคือ ที่บ้านผมยังคงไม่ชอบเค้า และยิ่งไม่ชอบขึ้นไปทุกวันๆครับ และภรรยาผมเองก็ไม่ชอบที่บ้านของผม จนเรียกได้ว่าพยายามใช้เวลาอยู่นอกบ้านให้นานที่สุดและกลับมาบ้านให้ดึกที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่เจอหน้ากับคนที่บ้านของผม ผมในฐานะคนกลางพยายามอย่างมากในการจับเข่าคุยกับทั้งสองฝ่ายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งจากคำของที่บ้านก็ได้แก่ การไม่ปรับตัวเข้ากับทางบ้านผมเลย เช่นกิจกรรมต่างๆของทางบ้านที่ต้องทำร่วมกันเป็นธรรมเนียมของบ้าน เช่นการทานข้าวร่วมกันทุกมื้อ ถ้าเค้าอยู่บ้านเค้าก็จะไม่ลงมาครับ จะลงมาตอนที่ทุกคนทานกันเสร็จแล้ว หรือเลือกที่จะออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าเลย และอีกข้อคือ การไม่หางานทำนอกบ้านและยังไม่ช่วยงานของที่บ้านใดๆ ซึ่งที่บ้านผมใช้คำที่รุนแรงอย่างคำว่า งอมืองอเท้าไปวันๆ และในมุมกลับกัน ผมก็พูดคัยกับภรรยาของผมครับ ซึ่งเค้าก็ได้ให้เหตุผลว่า ที่เค้าไม่ลงไปทานข้าวพร้อมกันที่บ้านของผมเพราะเค้าไม่ชินกันสิ่งนี้ และทุกๆครั้งที่เค้าลงไป เค้ารู้สึกว่ามีสายตาคอยจ้องจับผิดเค้าอยู่ตลอดเวลา เค้าทำไม่ได้จริงๆ ส่วนเรื่องงานนอกบ้านอันนี้ผมไม่ได้ถามครับ เพราะผมกับเค้าเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว และผมทราบว่าเค้าพยายามหาช่องทางการลงทุนทำบริษัทอยู่ ส่วนเรื่องงานบ้าน ในความจริงแล้วที้บานผมมีแม่บ้านคอยจัดการอยู่แล้ว และเค้าเองก็ไม่ชอบทำครับโดยให้เหตุผลถึงอาการแพ้ฟุ่นของเค้า ซึ่งผมเข้าใจและไม่นำมาเป็นประเด็นครับ ซึ่งผมก็เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ทางบ้านไปแล้ว แต่ทางบ้านก็ยังมองว่าอ้างไม่ได้ครับ ซึ่งผมเข้าใจทั้งที่บ้านและเค้ามาตลอดนะครับ ผมเห็นแล้วว่าเค้าเองก็พยายามแล้วแต่อาจจะไม่ดีพอสำหรับทางบ้านผม ผมพยายามเป็นคนกลางที่คอยไกล่เกลียนับตั้งแต่คบหากันในฐานะแฟนและยาวมาจนหลังแต่งงานได้ปีเศษ จนผมเห็นเลยว่ามันไม่เคยดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงทุกวันๆ ทุกๆทาง โดยเฉพาะระหว่างผมกับภรรยา เค้ายิ่งโมโหร้ายขึ้นทุกๆวัน ซึ่งผมเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะความเครียดในเรื่องที่บ้านของผม เราเริ่มทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวันๆ จากการที่ผมขอให้เธอพยายามโอนอ่อนและเข้าหาทางบ้านผมมากขึ้น จนสุดท้ายผมก็ต้องเลือกข้างครับ และผมก็เลือกที่จะอยู่ข้างเค้าครับ หมายถึงผมเลือกที่จะไม่สนใจเสียงบ่นใดๆของทาบานเลย และเลือกที่จะตามใจเค้า ยอมให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าสบายใจที่สุดโดยเอาตัวผมเป็นกันชนครับ ซึ่งนั่นทำให้ความสัมพันธ์เราดีขึ้นมาบ้างครับ ส่วนระหว่างผมกับที่บ้านก็กลายเป็นมึนตึงกันไป แต่ผมก็ยังพยายามทรงสภาพนี้เอาไว้
สำหรับข้อที่สอง คือ จากที่ผมบอกไปครับ เหตุผลข้อหนึ่งผมแต่งงาน คือ ผมอยากมีลูกครับ ซึ่งในตอนแรกผมกับภรรยาคุยกันในเรื่องนี้และเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าอยากมี แต่อย่างที่บอกว่ากลับกลายเป็นว่าเค้าปฎิเสธเรื่องบนเตียงทุกๆอย่างกับผม เมื่อผมทวงถามเรื่องลูกเค้าก็ให้เหตุผลแค่ว่าเหนื่อย ไม่อยากมีแล้ว ผมก็ได้แต่ยอมรับครับ จนแต่งงานกันมาได้เกือบ 5 ปี วันหนึ่งเค้าก็มาบอกกับผมว่าเค้าอยากมีลูกแล้ว ผมก็ตกลงครับ มันคือสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรอบ 5 ปี เลยครับที่ผมได้กอดเค้า
1 เดือนต่อมา ผมการตรวจออกมาว่าเค้าตั้งท้อง ผมดีใจมากครับ รู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความสัมกันธ์ระหว่างเราก็ดีขึ้นอย่างมาก ความสัมพันธ์ระหว่างที่บ้านของผมก็ดีขึ้นตามลำดับ ที่บ้านผมเริ่มอ่อนลงกับทั้งเค้าและผม ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีสำหรับผมเลยครับ
แต่นั่นแหละครับความสุขมันอยู่กับเราไม่นานครับ พอลูกคลอดออกมา สถาณการณ์ก็กลับมาย่ำแย่ลง ย่ำแย่กว่าตอนแรกซะอีก เค้าเลือกที่จะกลับไปอยู่ที่บ้านเค้า และไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านผม ขอให้ผมโอนเงินไปให้เท่านั้นไม่ให้ไปหา ส่วนเค้า 1 เดือนจะกลับมาให้ผมได้เจอลูก 2 วัน ผมก็พยายามเข้าใจเค้าครับ ที่เค้าให้เหตุผลว่าเค้าเหนื่อยกับการเลียงลูก ไม่อยากจะต้องมาเหนื่อยกับปัญหาที่บ้านผมอีก ถึงแม้ว่าจะดูว่าดีขึ้นแล้วแต่เค้าก็ยังคิดว่ามันจะกลับไปแย่เหมือนเดิมครับ จนลูกอายุได้เกือบ 9 เดือน ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ผมถึงได้มารู้เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งผมรับรู้มันผ่านเอกสารที่พี่ชายให้ผมครับ คือลูกไม่ใช่ลูกผม(ซึ่งมีการตรวจซ้ำหลายครั้ง ต่างสถานที่กัน และเรื่องนี้ที่บ้านผมมีแค่พี่ชายกับพี่สาวที่รู้ครับ ผมขอไม่ลงเหตุผลที่พี่ๆผมให้เหตุผลที่ทำ โดยพี่ๆผมยืนยันว่าให้ผมตัดสินใจต่อไปเองครับว่าจะทำอย่างไรต่อไป) คำถามของผมในวันนี้คือ ผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ ผมยังไม่ได้บอกกับทั้งที่บ้านผมและทั้งเค้าว่าผมรู้ความจริงนี้แล้ว ยังคงส่งเสียทั้งเค้า ลูกและที่บ้านของเค้าเหมือนเดิม โดยที่ใจยังทรมานกับความจริงนี้อยู่ทุกวันครับ (ด้วยเพราะช่วงโควิคทำให้ผมและเค้าไม่ได้มาเจอกันมาพักหนึ่งแล้ว ได้แต่พูดคุยกันบ้างผ่านทางข้อความ แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนเค้าส่งข้อความมาบอกว่าช่วงกลางเดือนเค้าจะพาลูกมาเจอครับ)
ควรทำอย่างไรต่อไป เมื่อลูกไม่ใช่ลูกของเรา
สำหรับข้อที่หนึ่ง คือ ที่บ้านผมไม่ยินดีด้วยกับการคบหากัน ซึ่งคำว่าที่บ้านผมในที่นี้เน้นหนักไปที่คุณแม่นะครับ ส่วนคนอื่นๆมีบ้างที่ไม่พอใจในบางเรื่องแต่ก็เล็กน้อยครับพอเทียบกับคุณแม่แล้ว เรื่องนี้เป็นปัญหามาตลอดครับ นับแต่วันแรกที่ที่บ้านรับรู้เลยก็ว่าได้ โดยทางบ้านผมให้เหตุผลในตอนแรกว่า เค้าดูไม่ดีครับหมายถึงรูปร่างภายนอกไม่ถูกใจสำหรับที่บ้าน อาจจะด้วยรูปร่างที่ค่อนข้างผอมมาก และสีผมและการแต่งตัวที่เป็นไปตามสมัยนิยม อีกอย่างหนึ่งซึ่งผมมีส่วนผิดด้วย คือ การที่ผมพาเค้ามาเจอกับที่บ้านของผมครั้งแรกด้วยลักษณะที่ไม่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นจุดที่ผิดพลาดมากจริงๆครับ และผมคิดว่าจุดนี้นี่เองที่ทำให้ทางบ้านผมเกิดอคติกับตัวเค้ามาโดยตลอด และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรก็ตามก็ไม่ถูกใจที่บ้านผมไปหมดเสมอครับ ซึ่งในช่วงแรกๆ แม้ที่บ้านผมจะไม่ชอบใจในตัวเค้า และการคบหากันของเราแต่ผมก็ยังดึงดันพาเค้าเข้าออกบ้านอย่างสม่ำเสมอด้วยความหวังว่าจะทำให้ที่บ้านคุ้นเคยและคุ้นชินกับเค้า แต่กลับกลายเป็นผลตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงครับ ที่บ้านผมยิ่งไม่ชอบเค้าเข้าไปใหญ่ ซึ่งนั่นก็ทำให้เค้าเองก็ไม่ชอบและมีอคติต่อบ้านของผม จนท้ายที่สุดผมก็รับรู้แล้วว่าการทำแบบนี้คงยิ่งแย่ไปใหญ่จึงเลือกที่จะแยกครอบครัวผมออกจากเค้าอย่างชัดเจนโดยคิดว่าการไม่ให้พบปะกันการปะทะกันคงน้อยลงและความไม่ชอบคงจางไปเองครับ โดยการที่ไม่พาเค้าไปๆมาๆที่บ้านอีก เวลาเจอกันเราจะไปเจอกันที่ห้องของเค้าหรือนัดกันที่อื่นครับ รวมถึงการไม่พูดถึงเรื่องของอีกฝ่ายให้อีกฝ่ายฟังด้วย
จนกระทั่งคบกันมาได้ 4 ปี ผมก็ตัดสินใจว่าผมอยากแต่งงานครับ ซึ่งเหตุผลหลักๆเลยคือ ผมรักเค้า และผมอยากมีลูกกับเค้า โดยที่คิดว่าถ้ามีลูกที่บ้านคงจะอ่อนลงกับเค้า แต่ปัญหาส่วนของผมก็คือบ้านผมไม่เห็นด้วยกับการจะแต่งงานครับ โดยให้เหตุผลต่างๆนาๆว่าเค้าไม่ดีอย่างไรบ้างในมุมมองของที่บ้านผม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาที่ผมต้องช่วยเหลือเค้าและทางบ้านหลายต่อหลายครั้งเรื่องการเงิน ที่ทำให้ที่บ้านผมใช้คำว่าเค้าจะมาเกาะผม ปัญหาอีกข้อ คือ อย่างที่บอกครับบ้านผมเป็นบ้านคนจีนแบบครอบครัวใหญ่ ซึ่งไม่มีทางเลยที่ผมจะย้ายออกมาจากบ้านไปอยู่ข้างนอกได้ นั่นหมายความว่าถ้าแต่งงานกันเค้าต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของผม ซึ่งเค้าก็ไม่ได้เต็มใจครับแต่ก็ไม่มีทางเลือก เนื่องจากเค้าเองก็เพิ่งจบมายังไม่มีงานทำ และอย่างที่บอกว่าทางบ้านเค้าก็ลำบากมาก ถ้าเค้าไม่แต่งงานกับผมตอนนี้ ผมและเค้าเองต่างก็เห็นตรงกันว่าไม่มีทางเลยที่เค้าจะได้ใช้ชีวิตอยู่แบบสบายๆได้ครับ ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลอีกส่วนที่ทำให้ผมตัดสินใจจะแต่งงานกับเค้าในตอนนั้น และสุดท้ายผมก็ดึงดันชัดเจนว่าผมจะแต่งงานกับเค้าครับ จนในที่สุดที่บ้านก็ยอม โดยเป็นการจัดงานแต่งแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราสองคนคุยกันเองครับว่ายังไม่อยากจด ณ ตอนนั้น
ปัญหาที่ตามมาหลังจากการแต่งงานคือ ที่บ้านผมยังคงไม่ชอบเค้า และยิ่งไม่ชอบขึ้นไปทุกวันๆครับ และภรรยาผมเองก็ไม่ชอบที่บ้านของผม จนเรียกได้ว่าพยายามใช้เวลาอยู่นอกบ้านให้นานที่สุดและกลับมาบ้านให้ดึกที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่เจอหน้ากับคนที่บ้านของผม ผมในฐานะคนกลางพยายามอย่างมากในการจับเข่าคุยกับทั้งสองฝ่ายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งจากคำของที่บ้านก็ได้แก่ การไม่ปรับตัวเข้ากับทางบ้านผมเลย เช่นกิจกรรมต่างๆของทางบ้านที่ต้องทำร่วมกันเป็นธรรมเนียมของบ้าน เช่นการทานข้าวร่วมกันทุกมื้อ ถ้าเค้าอยู่บ้านเค้าก็จะไม่ลงมาครับ จะลงมาตอนที่ทุกคนทานกันเสร็จแล้ว หรือเลือกที่จะออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าเลย และอีกข้อคือ การไม่หางานทำนอกบ้านและยังไม่ช่วยงานของที่บ้านใดๆ ซึ่งที่บ้านผมใช้คำที่รุนแรงอย่างคำว่า งอมืองอเท้าไปวันๆ และในมุมกลับกัน ผมก็พูดคัยกับภรรยาของผมครับ ซึ่งเค้าก็ได้ให้เหตุผลว่า ที่เค้าไม่ลงไปทานข้าวพร้อมกันที่บ้านของผมเพราะเค้าไม่ชินกันสิ่งนี้ และทุกๆครั้งที่เค้าลงไป เค้ารู้สึกว่ามีสายตาคอยจ้องจับผิดเค้าอยู่ตลอดเวลา เค้าทำไม่ได้จริงๆ ส่วนเรื่องงานนอกบ้านอันนี้ผมไม่ได้ถามครับ เพราะผมกับเค้าเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว และผมทราบว่าเค้าพยายามหาช่องทางการลงทุนทำบริษัทอยู่ ส่วนเรื่องงานบ้าน ในความจริงแล้วที้บานผมมีแม่บ้านคอยจัดการอยู่แล้ว และเค้าเองก็ไม่ชอบทำครับโดยให้เหตุผลถึงอาการแพ้ฟุ่นของเค้า ซึ่งผมเข้าใจและไม่นำมาเป็นประเด็นครับ ซึ่งผมก็เคยอธิบายเรื่องนี้ให้ทางบ้านไปแล้ว แต่ทางบ้านก็ยังมองว่าอ้างไม่ได้ครับ ซึ่งผมเข้าใจทั้งที่บ้านและเค้ามาตลอดนะครับ ผมเห็นแล้วว่าเค้าเองก็พยายามแล้วแต่อาจจะไม่ดีพอสำหรับทางบ้านผม ผมพยายามเป็นคนกลางที่คอยไกล่เกลียนับตั้งแต่คบหากันในฐานะแฟนและยาวมาจนหลังแต่งงานได้ปีเศษ จนผมเห็นเลยว่ามันไม่เคยดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงทุกวันๆ ทุกๆทาง โดยเฉพาะระหว่างผมกับภรรยา เค้ายิ่งโมโหร้ายขึ้นทุกๆวัน ซึ่งผมเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะความเครียดในเรื่องที่บ้านของผม เราเริ่มทะเลาะกันหนักขึ้นทุกวันๆ จากการที่ผมขอให้เธอพยายามโอนอ่อนและเข้าหาทางบ้านผมมากขึ้น จนสุดท้ายผมก็ต้องเลือกข้างครับ และผมก็เลือกที่จะอยู่ข้างเค้าครับ หมายถึงผมเลือกที่จะไม่สนใจเสียงบ่นใดๆของทาบานเลย และเลือกที่จะตามใจเค้า ยอมให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าสบายใจที่สุดโดยเอาตัวผมเป็นกันชนครับ ซึ่งนั่นทำให้ความสัมพันธ์เราดีขึ้นมาบ้างครับ ส่วนระหว่างผมกับที่บ้านก็กลายเป็นมึนตึงกันไป แต่ผมก็ยังพยายามทรงสภาพนี้เอาไว้
สำหรับข้อที่สอง คือ จากที่ผมบอกไปครับ เหตุผลข้อหนึ่งผมแต่งงาน คือ ผมอยากมีลูกครับ ซึ่งในตอนแรกผมกับภรรยาคุยกันในเรื่องนี้และเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าอยากมี แต่อย่างที่บอกว่ากลับกลายเป็นว่าเค้าปฎิเสธเรื่องบนเตียงทุกๆอย่างกับผม เมื่อผมทวงถามเรื่องลูกเค้าก็ให้เหตุผลแค่ว่าเหนื่อย ไม่อยากมีแล้ว ผมก็ได้แต่ยอมรับครับ จนแต่งงานกันมาได้เกือบ 5 ปี วันหนึ่งเค้าก็มาบอกกับผมว่าเค้าอยากมีลูกแล้ว ผมก็ตกลงครับ มันคือสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในรอบ 5 ปี เลยครับที่ผมได้กอดเค้า
1 เดือนต่อมา ผมการตรวจออกมาว่าเค้าตั้งท้อง ผมดีใจมากครับ รู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความสัมกันธ์ระหว่างเราก็ดีขึ้นอย่างมาก ความสัมพันธ์ระหว่างที่บ้านของผมก็ดีขึ้นตามลำดับ ที่บ้านผมเริ่มอ่อนลงกับทั้งเค้าและผม ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีสำหรับผมเลยครับ
แต่นั่นแหละครับความสุขมันอยู่กับเราไม่นานครับ พอลูกคลอดออกมา สถาณการณ์ก็กลับมาย่ำแย่ลง ย่ำแย่กว่าตอนแรกซะอีก เค้าเลือกที่จะกลับไปอยู่ที่บ้านเค้า และไม่ยอมกลับมาอยู่ที่บ้านผม ขอให้ผมโอนเงินไปให้เท่านั้นไม่ให้ไปหา ส่วนเค้า 1 เดือนจะกลับมาให้ผมได้เจอลูก 2 วัน ผมก็พยายามเข้าใจเค้าครับ ที่เค้าให้เหตุผลว่าเค้าเหนื่อยกับการเลียงลูก ไม่อยากจะต้องมาเหนื่อยกับปัญหาที่บ้านผมอีก ถึงแม้ว่าจะดูว่าดีขึ้นแล้วแต่เค้าก็ยังคิดว่ามันจะกลับไปแย่เหมือนเดิมครับ จนลูกอายุได้เกือบ 9 เดือน ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ผมถึงได้มารู้เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งผมรับรู้มันผ่านเอกสารที่พี่ชายให้ผมครับ คือลูกไม่ใช่ลูกผม(ซึ่งมีการตรวจซ้ำหลายครั้ง ต่างสถานที่กัน และเรื่องนี้ที่บ้านผมมีแค่พี่ชายกับพี่สาวที่รู้ครับ ผมขอไม่ลงเหตุผลที่พี่ๆผมให้เหตุผลที่ทำ โดยพี่ๆผมยืนยันว่าให้ผมตัดสินใจต่อไปเองครับว่าจะทำอย่างไรต่อไป) คำถามของผมในวันนี้คือ ผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ ผมยังไม่ได้บอกกับทั้งที่บ้านผมและทั้งเค้าว่าผมรู้ความจริงนี้แล้ว ยังคงส่งเสียทั้งเค้า ลูกและที่บ้านของเค้าเหมือนเดิม โดยที่ใจยังทรมานกับความจริงนี้อยู่ทุกวันครับ (ด้วยเพราะช่วงโควิคทำให้ผมและเค้าไม่ได้มาเจอกันมาพักหนึ่งแล้ว ได้แต่พูดคุยกันบ้างผ่านทางข้อความ แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนเค้าส่งข้อความมาบอกว่าช่วงกลางเดือนเค้าจะพาลูกมาเจอครับ)