ซูการ์โน ได้รับการยอมรับว่าเป็นบิดาแห่งชาติและได้ประกาศอิสรภาพและเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมานานหลายสิบปีหลังจากได้รับเอกราช
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่ง เขาประสบปัญหาทั้งการเผชิญหน้ากับมาเลเซีย ปัญหาคอมมิวนิสต์ จนถูกล้มล้างอำนาจไปในที่สุด
ซูฮาร์โต ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของอินโดนีเซีย นำเอาอินโดนีเซียแยกห่างจากขั้วอำนาจซ้าย ทั้งยังยุติความขัดแย้งกับมาเลเซียซึ่งซูการ์โนก่อไว้ก่อนหน้า
ช่วงเวลาดังกล่าว ไม่เพียงแต่มีกลุ่มคอมมิวนิสต์ แต่ยังมีกลุ่มหัวรุนแรงอิสลามในเวลานั้นทั้งที่แฝงในกลุ่มองค์กรศาสนาและเป็นกลุ่มก่อการร้ายตรงๆ
ซูฮาร์โต ตัดสินใจใช้แผนนโยบายใหม่ เพื่อควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด โดยสิ่งที่เขาทำนั้นถึงกับสามารถบอกได้ว่า เขาเป็นพวกกลางสุดโต่งไปเลย
ซูฮาร์โต ชูแนวคิดปัญจศีลเป็นหลักการปกครองของประเทศ โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์ไม่ยอมรับมันเพราะเป็นการต้องถือศาสนาและมีการนับถือพระเจ้า
ขณะที่กลุ่มอิสลามสายเคร่ง มองว่าปัญจศีลนั้นไม่ได้มาจากกุรอานและไม่ควรจะสูงส่งกว่าพระเจ้าได้ (ซึ่งผู้นำก่อการร้ายบางกลุ่มก็ยังไม่ยอมรับอยู่)
แน่นอนว่าหลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียก็ถูกแบนไปจากอินโดนีเซีย รวมถึงแนวคิดคอมมิวนิสต์และ Atheist ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามไป
ส่วนการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม ซูฮาร์โตไม่ต้องการให้เน้นมากเป็นพิเศษ แม้กระทั่งการกล่าวสลามให้กันนั้นก็กลายเป็นต้องห้ามไปด้วย
ผลจากแผนนโยบายใหม่ ทำให้อินโดนีเซียได้รับผลกระทบน้อยมากหลังจากการปฏิวัติอิหร่าน 1979 ซึ่งกระตุ้นหลายประเทศมุสลิมให้กลับมาเคร่ง
หลังจากที่ซูฮาร์โตออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปในปี 1998 อินโดนีเซียก็เริ่มรับวัฒนธรรมมุสลิมแบบสากลเข้ามาและเริ่มปรับตัวตามประเทศอื่น
องค์กรมุสลิมทั้งกลุ่ม NU และมูฮัมมาดิยะห์ เริ่มกลับมามีบทบาทในรัฐบาล โดยอับดุลระห์มัน วาฮิด ผู้นำกลุ่ม NU ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
หากลองนับดูตั้งแต่ปี 1998 จนถึงวันนี้ เพียงแค่ 22 ปีเท่านั้นที่อินโดนีเซียเพิ่งกลับมาเป็นประเทศมุสลิมเต็มรูปแบบ หลังจากถูกกีดกันมานานหลายปี
ส่วนแนวคิดคอมมิวนิสต์และการไม่เชื่อในพระเจ้า ยังเป็นสิ่งต้องห้ามในอินโดนีเซีย เนื่องจากมันขัดกับหลักการปัญจศีลซึ่งห้ามการไม่มีศาสนาเลยนั้น
ถึงกระนั้น ด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อินโดนีเซียกลับมาเป็นประเทศมุสลิมที่เคร่งครัด แม้จะยังไม่เท่ากับตุรกีก็ตาม
ซูฮาร์โต กับแนวคิด 'กลางสุดโต่ง'
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่ง เขาประสบปัญหาทั้งการเผชิญหน้ากับมาเลเซีย ปัญหาคอมมิวนิสต์ จนถูกล้มล้างอำนาจไปในที่สุด
ซูฮาร์โต ก้าวขึ้นเป็นผู้นำของอินโดนีเซีย นำเอาอินโดนีเซียแยกห่างจากขั้วอำนาจซ้าย ทั้งยังยุติความขัดแย้งกับมาเลเซียซึ่งซูการ์โนก่อไว้ก่อนหน้า
ช่วงเวลาดังกล่าว ไม่เพียงแต่มีกลุ่มคอมมิวนิสต์ แต่ยังมีกลุ่มหัวรุนแรงอิสลามในเวลานั้นทั้งที่แฝงในกลุ่มองค์กรศาสนาและเป็นกลุ่มก่อการร้ายตรงๆ
ซูฮาร์โต ตัดสินใจใช้แผนนโยบายใหม่ เพื่อควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด โดยสิ่งที่เขาทำนั้นถึงกับสามารถบอกได้ว่า เขาเป็นพวกกลางสุดโต่งไปเลย
ซูฮาร์โต ชูแนวคิดปัญจศีลเป็นหลักการปกครองของประเทศ โดยกลุ่มคอมมิวนิสต์ไม่ยอมรับมันเพราะเป็นการต้องถือศาสนาและมีการนับถือพระเจ้า
ขณะที่กลุ่มอิสลามสายเคร่ง มองว่าปัญจศีลนั้นไม่ได้มาจากกุรอานและไม่ควรจะสูงส่งกว่าพระเจ้าได้ (ซึ่งผู้นำก่อการร้ายบางกลุ่มก็ยังไม่ยอมรับอยู่)
แน่นอนว่าหลังจากนั้น พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียก็ถูกแบนไปจากอินโดนีเซีย รวมถึงแนวคิดคอมมิวนิสต์และ Atheist ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามไป
ส่วนการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาอิสลาม ซูฮาร์โตไม่ต้องการให้เน้นมากเป็นพิเศษ แม้กระทั่งการกล่าวสลามให้กันนั้นก็กลายเป็นต้องห้ามไปด้วย
ผลจากแผนนโยบายใหม่ ทำให้อินโดนีเซียได้รับผลกระทบน้อยมากหลังจากการปฏิวัติอิหร่าน 1979 ซึ่งกระตุ้นหลายประเทศมุสลิมให้กลับมาเคร่ง
หลังจากที่ซูฮาร์โตออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปในปี 1998 อินโดนีเซียก็เริ่มรับวัฒนธรรมมุสลิมแบบสากลเข้ามาและเริ่มปรับตัวตามประเทศอื่น
องค์กรมุสลิมทั้งกลุ่ม NU และมูฮัมมาดิยะห์ เริ่มกลับมามีบทบาทในรัฐบาล โดยอับดุลระห์มัน วาฮิด ผู้นำกลุ่ม NU ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี
หากลองนับดูตั้งแต่ปี 1998 จนถึงวันนี้ เพียงแค่ 22 ปีเท่านั้นที่อินโดนีเซียเพิ่งกลับมาเป็นประเทศมุสลิมเต็มรูปแบบ หลังจากถูกกีดกันมานานหลายปี
ส่วนแนวคิดคอมมิวนิสต์และการไม่เชื่อในพระเจ้า ยังเป็นสิ่งต้องห้ามในอินโดนีเซีย เนื่องจากมันขัดกับหลักการปัญจศีลซึ่งห้ามการไม่มีศาสนาเลยนั้น
ถึงกระนั้น ด้วยกระแสโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อินโดนีเซียกลับมาเป็นประเทศมุสลิมที่เคร่งครัด แม้จะยังไม่เท่ากับตุรกีก็ตาม