สภาวธรรมก่อนจะเห็นธรรมชาติอยู่ในสภาพอุเบกขาแต่ไม่ยึดมั่นในอุเบกขา วางอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะในอุเบกขา จึงน้อมเห็นความเกิดดับ เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน เห็นอย่างนี้คือ
๑. โลก
๒. จักรวาล
ลำดับนั้นจึงน้อมเข้าสู่สังขารหรือ ณ ภายใน ฉะนั้น
๓. สังขาร หรืออุปาทานขันธ์ ๕
เป็นลักษณะเห็นภายนอกแต่น้อมเข้าสู่ภายใน เห็นอยู่ ๓ ส่วนที่เนื่องกันในแวบเดียว และถอนจากความยึดมั่นในสังขารทั้งหลาย ถอนความยึดมั่นถือในสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าภายในหรือภายนอก
ในขณะนั้น สรุปหัวใจของศาสนาพุทธได้ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น การยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดทุกข์
เมื่อรู้เห็นองค์ความรู้ชุดนี้ในขณะจิต จึงน้อมไปสู่ความรู้ในอริยสัจ ๔ เสวยวิมุตติสุข หรือเสวยความดับตัณหาเป็นอารมณ์ ประมาณ ๕ วัน ลำดับนั้นวิมุตติสุขค่อยๆเสื่อมลงไป ถอยกลับเป็นกลางต่อสังขาร และไหลกลับไปมีกิเลสอย่างเดิม แต่ความทุกข์จะเบาลง การยึดมั่นถือมั่นจะเบาลง
แต่มันแปลกอยู่ว่า แม้เจริญสติปัฏฐาน ๔ บรรลุสมาธิ เห็นความเกิดดับ รู้อริยสัจ ๔ มีความดับตัณหาเป็นอารมณ์ เป็นไปตามสามัญญผลสูตร แต่การพยากรณ์ /การปฏิญาณ /การสำนึกในตนเองว่าเป็นพระอริยะไม่เกิดขึ้น แต่สภาพจิตแปรเปลี่ยนเป็นโพธิสัตว์แทน ตรงนี้แหละที่ทำให้ผมสงสัยและมีความแย้งต่อทฤษฎีกับประสบการณ์ ซึ่งกล่าวตามสภาพจิตแห่งตนด้วยความสัจจริง โพธิสัตว์สามารถปฏิบัติถึงรู้อริยสัจ ๔ ได้ มีนิพพานเป็นอารมณ์ได้
ส่วนนี้มันต้องย้อนไปอ่านในตอนที่ ๑ จะเห็นความสัมพันธ์และเข้าใจว่าทำไมสภาพจิตจึงกลายเป็นแบบนั้น จริงๆอาจจะเป็นโพธิสัตว์อยู่แล้วก็ได้ แต่การที่ผมเห็นธรรมชาติทำให้เกิดการเห็นตัวเอง รู้จักตัวเองชัดขึ้น หรือเห็นเป้าหมายตนเองได้ชัดขึ้น
แน่นอนเป็นเรื่องแล้วแต่ใครจะคิด ขึ้นอยู่กับว่าเอาหลักการใดมาจับ เพราะเพียงอยากนำเสนออีกมุมหนึ่งไว้ ว่าสภาพจิตอย่างนี้มันอยู่ คือ จากประสบการณ์ ที่กล่าวตรงไปตรงมา ไม่มีจริตมายา ทะยาน และตรวจสอบความถูกต้องกับธรรมวินัยไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ซึ่งสอดคล้องกับพระสูตรทั้งหมด หรือตามแนวทางของโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด
ตอนที่ ๖ ความเห็นผิดในวิปัสสนาญาณ
ส่วนนี้จะชี้ทางให้คนที่ไม่เข้าใจในวิปัสสนาญาณ ๙ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ในชั้นอรรถกถาแต่ค่านิยมในสังคมไทยยึดถือเป็นแกนหลัก แต่ไม่ได้หมายถึงชั้นอรรถกถาผิด
บางคนยกวิปัสสนาญาณ ๑๖ มาถาม แต่ถามแบบคนคลำทาง ไม่รู้จริง คือ ศึกษาแบบตีความ เทียบบัญญัติ เทียบสภาวะ ทำให้หลงว่าตนได้ญาณขั้นนี้ ขั้นนั้น ฟุ้งซ่านไป หลงไป สังเกตง่ายๆว่าปฏิบัติ ๑๐ ปียังไม่ไปไหน ๑๐๐ ปีก็ยังอยู่ที่เดิม เพราะความหลงผิด ไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความจริง ไม่เข้าใจอรรถกถา
วิปัสสนาญาณ ๑๖
๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป คือปัญญากำหนดรู้เข้าใจในนามและรูป
๒. (นามรูป) ปัจจัยปริคคหญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป คือปัญญากำหนดรู้ทั้งในนามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย
๓. สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์
๔. - ๑๒. ตรงกับวิปัสสนาญาณ ๙
๑๓. โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตรคือหัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชน
๑๔. มรรคญาณ(มัคคญาณ) ญาณในอริยมรรค เช่น โสดาปัตติมรรค
๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล เช่น โสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน
ญาณ ๑๖ นี้เรียกเลียนคำบาลีว่า โสฬสญาณ หรือ เรียกกึ่งไทยว่า ญาณโสฬส
วิปัสสนาญาณ ๙
๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ
๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นด้วยความหน่าย
๖. มุจจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งรู้อันให้ใคร่จะพ้นไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง
๘. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร
๙. สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์
ญาณมันต่างกับการพิจารณา หรือวิปัสสนาญาณต่างจากพิจารณาเห็น โดยหลักของการปฏิบัติทั่วไปที่เข้าใจผิด คนจะเข้าใจว่าการพิจารณาเห็นเป็นญาณทัสสนะ แต่ความจริงไม่ใช่ กล่าวคือ เมื่อเข้าถึงญาณแล้ว ไม่ต้องพิจารณาก็เห็นก็รู้ ไม่ต้องคิดต้องตรึกก็รู้เห็น แต่ถ้าต้องการรายละเอียดแบบลึกๆเกินสภาพความยิ่งใหญ่แห่งญาณต้องโยนิโสมนสิการโดยอาศัยญาณนั้น
การพิจารณาเห็นสังขารหรือนามรูปในไตรลักษณ์มันมิใช่วิปัสสนาญาณแท้ๆ หรืออาจจะเรียกโดยอนุโลมว่า เป็นวิปัสสนา แต่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิดขึ้น ญาณจริงๆยังไม่เกิด แม้อย่างนั้นผู้ปฏิบัติที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจในอรรถกถานั้นก็จะพิจารณาเห็นจนมีสภาพอุเบกขาได้ แต่มันจะเกิดการวัดว่าตนได้ สังขารรุเปกขาญาณ ซึ่งมันมิใช่
แล้วถามว่า วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นตอนไหน กล่าวคือ ตั้งแต่อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ จนถึงสัจจานุโลมิกญาณ และมีนิพพานเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นในขณะเดียว และต่อเนื่อง ไม่มีอะไรมาคั่น
มันไม่ใช่ว่าวันนี้ได้อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
แต่วันพรุ่งนี้ภังคานุปัสสนาญาณ
อีกวันได้ภยตูปัฏฐานญาณ
วันต่อไปได้อาทีนวานุปัสสนาญาณ
.....
ใครปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้ นั่นคือความเข้าใจผิดในวิปัสสนาญาณ จริงๆแล้วมันเป็นการพิจารณาเห็น มิใช่ตัวญาณหยั่งรู้
กล่าวตรงๆ ก็คือ วิปัสสนาญาณ ๙ มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิใช่วันต่อวัน เมื่อเห็นความเกิดดับ ญาณอื่นๆมาเรียงๆ แต่ที่ท่านอธิบายอรรถกถาแบบเป็นกระบวนการก็เพราะว่า เพื่อให้คนศึกษาเข้าใจในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนแยกกระบวนการไม่ออก จนคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเนื้อเดียว
มันเปรียบเหมือนสปริงลวด ๙ ชั้นที่หดเข้า เราจะมองไม่เห็นว่ามี ๙ ชั้น แต่เมื่อดึงออกจากกันก็จะเห็นชัดว่ามีกี่ชั้น อรรกถาจะอธิบายลักษณะนั้น แต่บางท่านหลายคนและโดยส่วนใหญ่ยังมั่วอยู่และเห็นผิดอยู่ คิดว่าเกิดขึ้นแบบวันต่อวัน ซึ่งมันเป็นเรื่องของภูมิจิต ภูมิปัญญา ภูมิธรรม
มาฟังเหตุผลทำไมผมจึงถามเกี่ยวกับโคตรภูญาณ อริยะ และโพธิสัตว์ซ้ำๆ (ตอนที่ ๕ เห็นความเกิดดับ ตอนที่ ๖ เห็นผิดวิปัสสนาญาณ)
๑. โลก
๒. จักรวาล
ลำดับนั้นจึงน้อมเข้าสู่สังขารหรือ ณ ภายใน ฉะนั้น
๓. สังขาร หรืออุปาทานขันธ์ ๕
เป็นลักษณะเห็นภายนอกแต่น้อมเข้าสู่ภายใน เห็นอยู่ ๓ ส่วนที่เนื่องกันในแวบเดียว และถอนจากความยึดมั่นในสังขารทั้งหลาย ถอนความยึดมั่นถือในสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าภายในหรือภายนอก
ในขณะนั้น สรุปหัวใจของศาสนาพุทธได้ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น การยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดทุกข์
เมื่อรู้เห็นองค์ความรู้ชุดนี้ในขณะจิต จึงน้อมไปสู่ความรู้ในอริยสัจ ๔ เสวยวิมุตติสุข หรือเสวยความดับตัณหาเป็นอารมณ์ ประมาณ ๕ วัน ลำดับนั้นวิมุตติสุขค่อยๆเสื่อมลงไป ถอยกลับเป็นกลางต่อสังขาร และไหลกลับไปมีกิเลสอย่างเดิม แต่ความทุกข์จะเบาลง การยึดมั่นถือมั่นจะเบาลง
แต่มันแปลกอยู่ว่า แม้เจริญสติปัฏฐาน ๔ บรรลุสมาธิ เห็นความเกิดดับ รู้อริยสัจ ๔ มีความดับตัณหาเป็นอารมณ์ เป็นไปตามสามัญญผลสูตร แต่การพยากรณ์ /การปฏิญาณ /การสำนึกในตนเองว่าเป็นพระอริยะไม่เกิดขึ้น แต่สภาพจิตแปรเปลี่ยนเป็นโพธิสัตว์แทน ตรงนี้แหละที่ทำให้ผมสงสัยและมีความแย้งต่อทฤษฎีกับประสบการณ์ ซึ่งกล่าวตามสภาพจิตแห่งตนด้วยความสัจจริง โพธิสัตว์สามารถปฏิบัติถึงรู้อริยสัจ ๔ ได้ มีนิพพานเป็นอารมณ์ได้
ส่วนนี้มันต้องย้อนไปอ่านในตอนที่ ๑ จะเห็นความสัมพันธ์และเข้าใจว่าทำไมสภาพจิตจึงกลายเป็นแบบนั้น จริงๆอาจจะเป็นโพธิสัตว์อยู่แล้วก็ได้ แต่การที่ผมเห็นธรรมชาติทำให้เกิดการเห็นตัวเอง รู้จักตัวเองชัดขึ้น หรือเห็นเป้าหมายตนเองได้ชัดขึ้น
แน่นอนเป็นเรื่องแล้วแต่ใครจะคิด ขึ้นอยู่กับว่าเอาหลักการใดมาจับ เพราะเพียงอยากนำเสนออีกมุมหนึ่งไว้ ว่าสภาพจิตอย่างนี้มันอยู่ คือ จากประสบการณ์ ที่กล่าวตรงไปตรงมา ไม่มีจริตมายา ทะยาน และตรวจสอบความถูกต้องกับธรรมวินัยไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ซึ่งสอดคล้องกับพระสูตรทั้งหมด หรือตามแนวทางของโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด
ตอนที่ ๖ ความเห็นผิดในวิปัสสนาญาณ
ส่วนนี้จะชี้ทางให้คนที่ไม่เข้าใจในวิปัสสนาญาณ ๙ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ในชั้นอรรถกถาแต่ค่านิยมในสังคมไทยยึดถือเป็นแกนหลัก แต่ไม่ได้หมายถึงชั้นอรรถกถาผิด
บางคนยกวิปัสสนาญาณ ๑๖ มาถาม แต่ถามแบบคนคลำทาง ไม่รู้จริง คือ ศึกษาแบบตีความ เทียบบัญญัติ เทียบสภาวะ ทำให้หลงว่าตนได้ญาณขั้นนี้ ขั้นนั้น ฟุ้งซ่านไป หลงไป สังเกตง่ายๆว่าปฏิบัติ ๑๐ ปียังไม่ไปไหน ๑๐๐ ปีก็ยังอยู่ที่เดิม เพราะความหลงผิด ไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความจริง ไม่เข้าใจอรรถกถา
วิปัสสนาญาณ ๑๖
๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป คือปัญญากำหนดรู้เข้าใจในนามและรูป
๒. (นามรูป) ปัจจัยปริคคหญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป คือปัญญากำหนดรู้ทั้งในนามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย
๓. สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์
๔. - ๑๒. ตรงกับวิปัสสนาญาณ ๙
๑๓. โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตรคือหัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชน
๑๔. มรรคญาณ(มัคคญาณ) ญาณในอริยมรรค เช่น โสดาปัตติมรรค
๑๕. ผลญาณ ญาณในอริยผล เช่น โสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน
๑๖. ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน
ญาณ ๑๖ นี้เรียกเลียนคำบาลีว่า โสฬสญาณ หรือ เรียกกึ่งไทยว่า ญาณโสฬส
วิปัสสนาญาณ ๙
๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดและความดับแห่งนามรูป
๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นจำเพาะความดับเด่นขึ้นมา
๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว
๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ
๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นด้วยความหน่าย
๖. มุจจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งรู้อันให้ใคร่จะพ้นไปเสีย
๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อจะหาทาง
๘. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร
๙. สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์
ญาณมันต่างกับการพิจารณา หรือวิปัสสนาญาณต่างจากพิจารณาเห็น โดยหลักของการปฏิบัติทั่วไปที่เข้าใจผิด คนจะเข้าใจว่าการพิจารณาเห็นเป็นญาณทัสสนะ แต่ความจริงไม่ใช่ กล่าวคือ เมื่อเข้าถึงญาณแล้ว ไม่ต้องพิจารณาก็เห็นก็รู้ ไม่ต้องคิดต้องตรึกก็รู้เห็น แต่ถ้าต้องการรายละเอียดแบบลึกๆเกินสภาพความยิ่งใหญ่แห่งญาณต้องโยนิโสมนสิการโดยอาศัยญาณนั้น
การพิจารณาเห็นสังขารหรือนามรูปในไตรลักษณ์มันมิใช่วิปัสสนาญาณแท้ๆ หรืออาจจะเรียกโดยอนุโลมว่า เป็นวิปัสสนา แต่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิดขึ้น ญาณจริงๆยังไม่เกิด แม้อย่างนั้นผู้ปฏิบัติที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจในอรรถกถานั้นก็จะพิจารณาเห็นจนมีสภาพอุเบกขาได้ แต่มันจะเกิดการวัดว่าตนได้ สังขารรุเปกขาญาณ ซึ่งมันมิใช่
แล้วถามว่า วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นตอนไหน กล่าวคือ ตั้งแต่อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ จนถึงสัจจานุโลมิกญาณ และมีนิพพานเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นในขณะเดียว และต่อเนื่อง ไม่มีอะไรมาคั่น
มันไม่ใช่ว่าวันนี้ได้อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
แต่วันพรุ่งนี้ภังคานุปัสสนาญาณ
อีกวันได้ภยตูปัฏฐานญาณ
วันต่อไปได้อาทีนวานุปัสสนาญาณ
.....
ใครปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้ นั่นคือความเข้าใจผิดในวิปัสสนาญาณ จริงๆแล้วมันเป็นการพิจารณาเห็น มิใช่ตัวญาณหยั่งรู้
กล่าวตรงๆ ก็คือ วิปัสสนาญาณ ๙ มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มิใช่วันต่อวัน เมื่อเห็นความเกิดดับ ญาณอื่นๆมาเรียงๆ แต่ที่ท่านอธิบายอรรถกถาแบบเป็นกระบวนการก็เพราะว่า เพื่อให้คนศึกษาเข้าใจในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเร็วมาก จนแยกกระบวนการไม่ออก จนคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเนื้อเดียว
มันเปรียบเหมือนสปริงลวด ๙ ชั้นที่หดเข้า เราจะมองไม่เห็นว่ามี ๙ ชั้น แต่เมื่อดึงออกจากกันก็จะเห็นชัดว่ามีกี่ชั้น อรรกถาจะอธิบายลักษณะนั้น แต่บางท่านหลายคนและโดยส่วนใหญ่ยังมั่วอยู่และเห็นผิดอยู่ คิดว่าเกิดขึ้นแบบวันต่อวัน ซึ่งมันเป็นเรื่องของภูมิจิต ภูมิปัญญา ภูมิธรรม