ญาณ ๑๖ ขั้น โสฬสญาณ ฉบับเข้าใจง่าย
ญาณก็คือ รู้บ่อย รู้มากขึ้น รู้ให้แข็งแรง
ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ คือ สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งไหนเป็นรูป สิ่งไหนเป็นนาม และรูปกับนามเป็นเช่นใด
ญาณที่ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ คือ มีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดรูปและนาม
รูปมาจากอะไร? รูปมาจากขันธ์ทั้ง ๕ รวมกัน เป็นต้น
นาม ก็คือ สิ่งที่อยู่ในรูป มีความรู้สึกในรูป
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ คือ ทั้งนามและรูปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยยกสิ่งที่เป็นรูปและนามมาพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่จะต้องแปรเปลี่ยน ไม่คงทน ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
ทำไมไปปฏิบัติธรรม ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม ภาวนา แล้วทำไมถึงไม่ได้ญาณ ก็เพราะว่าเราไม่ได้ศึกษาจากธรรมชาติเป็นเบื้องต้นไป อยู่ดีๆ ก็โดดไปเอาญาณ ก็เลยไม่ได้ญาณ
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คือ รูปและนามเป็น ๓ วิถี คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นเรื่องปกติในธรรม เป็นตถตา จะต่อเนื่องจากข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นกระบวนการว่า
๑) เกิดขึ้นยังไง ?
๒) ตั้งอยู่ยังไง?
๓) ดับยังไง ?
ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องไปตามเส้นทางอย่างนี้
ข้อที่ ๔ ก็คือสรุปมายอมรับว่าทั้ง ๓ ข้อเป็นเช่นนี้
ญาณที่ ๕ ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ดูความเปลี่ยนแปรไป เปลี่ยนแปลงไป
ถ้าใช้คำว่า "ดับ" จะมีปัญหาอยู่เรื่อยว่า หายไปแล้ว ที่จริงไม่หายแต่แปรสภาพ เช่น มีคนเป็นศพ เราบอกว่าคนตาย เขาตายที่ไหน เพียงแต่แปรเปลี่ยนสภาพเป็นศพ พอเป็นศพแล้วก็แปรสภาพเป็นธาตุ นี่แหละ "แปรสภาพ" ไม่ใช่ "ดับ"
บางคนแปลความหมายของพ่อศิวะมหาเทพผิดไป จะต้องแปลว่าพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง แปรสภาพ ไม่ใช่พลังแห่งการทำลาย หรือดับ แต่เป็นไปโดยขบวนการ
ยกตัวอย่างเช่นการพิจารณาอสุภะ ก็เป็นญาณเช่นเดียวกัน
๔ ขั้นตอนแรกว่าด้วยรูปและนาม
พอมาขั้นที่ ๒ มาดูขั้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของศพ ว่าเป็นอย่างไรถึงกลายเป็นศพ แล้วก็กลายเป็นสูญคือแยกธาตุ กลับเข้าสู่ธรรมชาติ ไม่มีตัวตนแล้ว อัตตาถูกแยก คือ รูปตัวตนถูกแยกแล้ว
ขั้นที่ ๔ ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าสู่สุญญตา
แต่ถ้ามีการพิจารณาอสุภะ มีรูปให้นำ คิดพิจารณาได้ง่าย
ถ้าใช้การพิจารณาแบบญาณ ๑๖ จะไม่มีรูปนำ อธิบายเป็นหลักวิชาการ คนไม่เห็นภาพ
สมมติว่าเราไม่เคยเรียนมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี เรานึกภาพไม่ออก
ถ้าไม่มีรูปก็จะคิดตามไม่ทัน เพราะว่าไม่มีภาพประกอบ ว่ารูปเป็นยังไง
ถ้าเรามีเมีย การเจริญวิปัสสนาตรงนี้จะอ่อนลง จะถูกแยก เช่น เรามี ๑๐ ส่วน เราจะถูกแยกให้ ๕ ส่วน ถ้าเราไม่มีเมียจะต่อจิ๊กซอว์ได้ดี
สมมติว่าเรากำลังคิดพิจารณาอสุภะตรงนี้อยู่ แต่ก็จะมีความคิดอีกอย่างหนึ่งว่าเข้ามาในสมองเราว่า พรุ่งนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาให้เมียไปซื้อกับข้าว จะต้องมาแบ่งแยกความคิด
ญาณที่ ๖ ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ทุกสิ่งต้องเสื่อมสลาย เราจะยึดมั่นถือมั่นให้ถาวรไม่ได้ ถ้าเรายึดมั่นถาวร เราก็จะทุกข์หนัก
ใช้คำว่า "เห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว" คำนี้ไม่ควรใช้ เพราะว่า "อคติ" ไม่ถูกต้อง ในเมื่อความยั่งยืนไม่มี แล้วจะหาความปลอดภัยอะไร ตรงไหนเป็นสิ่งปลอดภัย
ฉะนั้น ควรตัดคำว่า "เป็นของน่ากลัว" ออก
ถ้าใช้คำว่า "เป็นภัย เป็นของน่ากลัว" คำนี้เป็นอคติแล้ว แล้วจะเป็นญาณได้อย่างไร
เพราะว่าเป็นไปตามครองธรรม จะน่ากลัวทำไม
ญาณที่ ๗ อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ รู้ความเปลี่ยนแปลงจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นอย่างนั้นถาวรไม่ได้ ถ้ายึดมั่นเป็นถาวรก็จะทุกข์อย่างยิ่ง
คำว่า "คำนึงเห็นโทษ" ก็เป็นคำที่อคติ กล่าวว่าร้าย เส้นทางอย่างนี้มันร้าย ไม่ควรเอา เส้นทางโลกิยะเป็นเส้นทางที่ร้าย อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ทุกคนต้องผ่าน ถ้าพูดอย่างนี้จะมีกี่คนไหม เกิดมาแล้วไม่พบเจอโลกิยะ จะต้องเริ่มต้นโลกิยะ
ญาณที่ ๘ นิพพิทานุปัสสนาญาณ คือ จะไม่เอาแล้ว เพราะว่ามันไม่ยั่งยืน
ไม่ใช่เบื่อหน่าย แต่เกิดจากหน่าย เพราะมีโทษ มีแต่ความทุกข์ พอเห็นแล้วหน่าย ก็เริ่มล่ะ
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ คือ เริ่มละแล้ว อยากปรารถนาพ้นจากสังขารทั้งหลาย
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ พิจารณาว่าวิธีที่แท้จริงนั้นคืออะไร ก็คือการพิจารณาไตรลักษณ์ เพราะหนีไม่พ้นพระไตรลักษณ์
ข้อนี้หาข้อคิดมาปลงว่า มันเป็นเช่นนี้จะแก้ไขมันเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ เป็นกฎแห่งธรรม
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ คือ วางใจเป็นกลาง เพราะว่าเราไม่สามารถควบคุมได้ ทำอะไรเขาไม่ได้ ฉะนั้น ถึงเรียกว่าอนัตตา
ญาณที่ ๑๒ สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ฉะนั้น เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งธรรม ตถตาเป็นเช่นนั้น
ญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ คือ ต้องหมั่นมาคิดพิจารณา
ญาณที่ ๑๔ มัคคญาณ คือ เริ่มจะเข้านิพพาน เอาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๓ มาสรุป
ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ คือ เป็นผลที่จะเดินไปให้ถึง เวลานี้เข้าสู่มรรค แต่มีเป้าหมายเป็นผล แต่ยังไม่บรรลุผล เพียงแค่รู้ผล เหมือนกับเราจะไปท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า เราก็จะมีความคิดท่าขี้เหล็ก อยู่ในความคิดของเราแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไปท่าขี้เหล็กได้อย่างไร
ขั้นนี้เห็นจังหวัดท่าขี้เหล็กแล้ว แต่เรายังไปไม่ถึง คือยังไม่บรรลุ
ญาณที่ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ คือ ญาณขั้นนี้ละแล้ว เข้าสู่บรรลุผล เป็นตัวสรุป สรุปแล้วก็จะบอกว่าเราจะเดินเส้นทางนี้แล้ว แล้วก็เดินไปต่อ
แล้วพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ว่าท่านบรรลุแล้ว นั้นหมายความว่า ท่านถึงญาณที่ ๑๖ แล้ว แต่ท่านบอกว่า ยังก่อน ยังไม่เดินข้ามไป คือ เดินเข้าไปสู่ญาณขั้นที่ ๑๗ แล้วก็จะถอยลงมา ก็เหมือนกับเดินทางไปที่ท่าขี้เหล็กแล้ว ก็เดินทางกลับมาคืน เพราะว่าสงสารคนที่ยังมีความทุกข์อยู่
ถ้าอย่างนั้นมีปมอยู่แล้วจะเดินทางเข้าไปสู่ญาณที่ ๑๗ ได้ยังไง อันนี้ไม่ได้มีปม เข้าไปญาณที่ ๑๗ แล้วคิดได้ จึงเดินทางออกมา คือ ละแล้ว จากญาณ ๑๖ เข้าไป พอเข้าญาณที่ ๑๗ หันมองกลับมา สงสารบุคคลที่ยังไม่รู้เรื่อง จึงปวารณาตัวสอนเขาก่อน
ญาณที่ ๑๖ ก็เปรียบเสมือนสะพาน เราจะก้าวข้ามสะพานไหม? พอข้ามสะพานแล้วไปถึงท่าขี้เหล็ก เป็นขั้นที่ ๑๗ แต่มองกลับมาสะพานฝั่งด้านนี้คนยังไม่รู้เรื่องเยอะ จึงตัดสินใจว่า ฉันจะไม่เดินต่อแล้ว เราจะเดินทางกลับมาช่วยพวกสัตว์โลกทั้งหลาย
แต่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ฯลฯ ท่านเดินต่อ ตอนนี้ไปถึงจังหวัดเชียงตุงแล้ว
อันนี้ไม่ถือว่าเป็นปม ถ้าเป็นปมก็ข้ามญาณ ๑๗ ไม่ได้
เพราะว่า ญาณที่ ๑๖ คือให้ทบทวน สรุปแล้ว แล้วเราสรุปว่ายังไง
สรุปแล้วเราจะเดินข้ามสะพานแล้ว แล้วเราก็ข้ามสะพานไป ทีนี้หันกลับมามอง แล้วเกิดความน่าสงสาร เกิดจิตเวลานั้นถึงเดินกลับมา
ไม่ใช่ ญาณที่ ๑๖ แล้วเกิดจิตตัวนี้ แต่จิตตัวนี้เกิดตอนอยู่ญาณที่ ๑๗ ถ้าญาณที่ ๑๖ มีจิตตัวนี้จะข้ามไม่ได้ แต่ญาณที่ ๑๗ มีจิตตัวนี้ได้จึงต้องเดินทางกลับมา
สมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พระองค์ท่านอยู่ขั้นไหน พระพุทธเจ้าอยู่ขั้นที่ ๑๗ แล้วสอนได้ไหม? อย่างนี้ไม่มี
พระพุทธเจ้าอยู่ขั้นที่ ๑๖ ก็รู้หมดแล้ว ญาณที่ ๑๖ เป็นตัวรู้ของท่าน ท่านอยู่ญาณที่ ๑๖ ก็สามารถสอนไปเรื่อยๆ
ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เป็นญาณขั้นที่ ๑๒ เอง คือ รู้ว่ามีข้อธรรมะอะไร แล้วก็ปฏิบัติขึ้นไปเรื่อยๆ ไปถึงขั้นที่ ๑๖ จึงพูดกับตนเองว่า เวลานี้สิ่งที่ทำมีความสมบูรณ์ พระองค์ท่านจึงก้าวข้ามถึงขั้นที่ ๑๗ พอท่านเดินต่อก็เข้าสู่นิพพาน
ที่ว่า พระอรหันตสาวก ศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่เข้าสู่นิพพานก่อนพระพุทธเจ้านั้น ท่านข้ามไปก่อนเพราะว่าท่านหมดหน้าที่ เพราะว่าสาวกท่านไม่เอาหน้าที่แล้ว พระพุทธเจ้ายังจะเอาหน้าที่อยู่ เพราะสงสารสัตว์โลกอยู่ ถึงรับเอาหน้าที่สั่งสอนสัตว์โลก
นี่แหละ ถ้าพระอานนท์ทรงทูลของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงต้องอยู่ต่อ เพราะช่วยคน
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าอยู่ต่อยังไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้านะ ก็แค่เป็นพระโพธิสัตว์
อยู่ขั้นญาณที่ ๑๒ ก็รู้แจ้งแห่งความเปลี่ยนแปลงของธรรมแล้ว ของสังขารแล้ว
แค่นี้ก็คือสัพพัญญูแล้ว เพราะว่าท่านรู้เพียงแค่ ๓ ข้อ ก็สามารถเป็นสัพพัญญูแล้ว คือ รู้ความเป็นมา รู้ความเป็นอยู่ และรู้สิ่งที่จะเป็นไป
ท่านก็รู้ท่านสามารถข้ามพ้นไปก็ได้ แต่ท่านปรารถนาอยากช่วยคน
แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่เข้าถึงขั้นที่ ๑๗ แล้วถอยออกมา ทำไมเอาถึงขั้นที่ ๑๒ ล่ะ
เพราะว่า พระพุทธเจ้ารู้ แค่นี้ก็สามารถสอนคนได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเข้าถึงญาณที่ ๑๖ แล้ว
ความคิดของพระพุทธเจ้าอยู่ขั้นที่ ๑๖ แต่พระพุทธเจ้าถอยมาอยู่ขั้นที่ ๑๒ เพื่อสอนคน
ไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ขั้นที่ ๑๗ แล้ว ไม่จำเป็น เพราะว่าท่านรู้ไปหมดแล้ว รู้แล้วแต่ปรารถนายังไม่ข้าม
แล้วของท่านผู้รู้อากง รู้ถึงขั้นที่ ๑๖ แล้ว แต่ยังปฏิบัติไปไม่ถึง เขาเรียกว่ามีมรรค แต่ยังไม่มีผล ผลนั้นเราเห็นแต่ต้องบรรลุนะ ต้องลุ ถึงจะถึงผลแท้ ถ้าเรายังไม่บรรลุก็ยังไม่ถึงผลแท้
ที่ท่านพุทธทาสบอกว่า นิพพานลองชิม ทำอยู่ประจำยังไม่ได้
แล้วทำไมพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมถึงเข้าสู่ญาณขั้นที่ ๑๗ แล้วถอยออกมาสอนสัตว์โลก เพราะว่าสงสารสัตว์โลก เพราะว่าท่านประกาศว่า สงสารสัตว์โลก เพราะว่าถ้าไม่มีใครนำพาแล้วจะทำยังไง ฉะนั้น จึงกลับมา
แต่ท่านกลับมานั้น ไม่ปรากฏรูปเป็นกายสังขารเนื้อหนังอย่างเรา ท่านก็มีรูปเหมือนกัน แต่เป็นรูปอีกอย่าง เช่น รูปผู้หญิง รูปผู้ชาย ฯลฯ
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
ญาณ ๑๖ ขั้น ฉบับเข้าใจง่าย
ญาณก็คือ รู้บ่อย รู้มากขึ้น รู้ให้แข็งแรง
ญาณที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ คือ สามารถจำแนกได้ว่าสิ่งไหนเป็นรูป สิ่งไหนเป็นนาม และรูปกับนามเป็นเช่นใด
ญาณที่ ๒ ปัจจยปริคคหญาณ คือ มีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดรูปและนาม
รูปมาจากอะไร? รูปมาจากขันธ์ทั้ง ๕ รวมกัน เป็นต้น
นาม ก็คือ สิ่งที่อยู่ในรูป มีความรู้สึกในรูป
ญาณที่ ๓ สัมมสนญาณ คือ ทั้งนามและรูปเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยยกสิ่งที่เป็นรูปและนามมาพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่จะต้องแปรเปลี่ยน ไม่คงทน ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
ทำไมไปปฏิบัติธรรม ก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม ภาวนา แล้วทำไมถึงไม่ได้ญาณ ก็เพราะว่าเราไม่ได้ศึกษาจากธรรมชาติเป็นเบื้องต้นไป อยู่ดีๆ ก็โดดไปเอาญาณ ก็เลยไม่ได้ญาณ
ญาณที่ ๔ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คือ รูปและนามเป็น ๓ วิถี คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นเรื่องปกติในธรรม เป็นตถตา จะต่อเนื่องจากข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นกระบวนการว่า
๑) เกิดขึ้นยังไง ?
๒) ตั้งอยู่ยังไง?
๓) ดับยังไง ?
ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องไปตามเส้นทางอย่างนี้
ข้อที่ ๔ ก็คือสรุปมายอมรับว่าทั้ง ๓ ข้อเป็นเช่นนี้
ญาณที่ ๕ ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ดูความเปลี่ยนแปรไป เปลี่ยนแปลงไป
ถ้าใช้คำว่า "ดับ" จะมีปัญหาอยู่เรื่อยว่า หายไปแล้ว ที่จริงไม่หายแต่แปรสภาพ เช่น มีคนเป็นศพ เราบอกว่าคนตาย เขาตายที่ไหน เพียงแต่แปรเปลี่ยนสภาพเป็นศพ พอเป็นศพแล้วก็แปรสภาพเป็นธาตุ นี่แหละ "แปรสภาพ" ไม่ใช่ "ดับ"
บางคนแปลความหมายของพ่อศิวะมหาเทพผิดไป จะต้องแปลว่าพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง แปรสภาพ ไม่ใช่พลังแห่งการทำลาย หรือดับ แต่เป็นไปโดยขบวนการ
ยกตัวอย่างเช่นการพิจารณาอสุภะ ก็เป็นญาณเช่นเดียวกัน
๔ ขั้นตอนแรกว่าด้วยรูปและนาม
พอมาขั้นที่ ๒ มาดูขั้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของศพ ว่าเป็นอย่างไรถึงกลายเป็นศพ แล้วก็กลายเป็นสูญคือแยกธาตุ กลับเข้าสู่ธรรมชาติ ไม่มีตัวตนแล้ว อัตตาถูกแยก คือ รูปตัวตนถูกแยกแล้ว
ขั้นที่ ๔ ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าสู่สุญญตา
แต่ถ้ามีการพิจารณาอสุภะ มีรูปให้นำ คิดพิจารณาได้ง่าย
ถ้าใช้การพิจารณาแบบญาณ ๑๖ จะไม่มีรูปนำ อธิบายเป็นหลักวิชาการ คนไม่เห็นภาพ
สมมติว่าเราไม่เคยเรียนมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี เรานึกภาพไม่ออก
ถ้าไม่มีรูปก็จะคิดตามไม่ทัน เพราะว่าไม่มีภาพประกอบ ว่ารูปเป็นยังไง
ถ้าเรามีเมีย การเจริญวิปัสสนาตรงนี้จะอ่อนลง จะถูกแยก เช่น เรามี ๑๐ ส่วน เราจะถูกแยกให้ ๕ ส่วน ถ้าเราไม่มีเมียจะต่อจิ๊กซอว์ได้ดี
สมมติว่าเรากำลังคิดพิจารณาอสุภะตรงนี้อยู่ แต่ก็จะมีความคิดอีกอย่างหนึ่งว่าเข้ามาในสมองเราว่า พรุ่งนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาให้เมียไปซื้อกับข้าว จะต้องมาแบ่งแยกความคิด
ญาณที่ ๖ ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ทุกสิ่งต้องเสื่อมสลาย เราจะยึดมั่นถือมั่นให้ถาวรไม่ได้ ถ้าเรายึดมั่นถาวร เราก็จะทุกข์หนัก
ใช้คำว่า "เห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว" คำนี้ไม่ควรใช้ เพราะว่า "อคติ" ไม่ถูกต้อง ในเมื่อความยั่งยืนไม่มี แล้วจะหาความปลอดภัยอะไร ตรงไหนเป็นสิ่งปลอดภัย
ฉะนั้น ควรตัดคำว่า "เป็นของน่ากลัว" ออก
ถ้าใช้คำว่า "เป็นภัย เป็นของน่ากลัว" คำนี้เป็นอคติแล้ว แล้วจะเป็นญาณได้อย่างไร
เพราะว่าเป็นไปตามครองธรรม จะน่ากลัวทำไม
ญาณที่ ๗ อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ รู้ความเปลี่ยนแปลงจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นอย่างนั้นถาวรไม่ได้ ถ้ายึดมั่นเป็นถาวรก็จะทุกข์อย่างยิ่ง
คำว่า "คำนึงเห็นโทษ" ก็เป็นคำที่อคติ กล่าวว่าร้าย เส้นทางอย่างนี้มันร้าย ไม่ควรเอา เส้นทางโลกิยะเป็นเส้นทางที่ร้าย อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ทุกคนต้องผ่าน ถ้าพูดอย่างนี้จะมีกี่คนไหม เกิดมาแล้วไม่พบเจอโลกิยะ จะต้องเริ่มต้นโลกิยะ
ญาณที่ ๘ นิพพิทานุปัสสนาญาณ คือ จะไม่เอาแล้ว เพราะว่ามันไม่ยั่งยืน
ไม่ใช่เบื่อหน่าย แต่เกิดจากหน่าย เพราะมีโทษ มีแต่ความทุกข์ พอเห็นแล้วหน่าย ก็เริ่มล่ะ
ญาณที่ ๙ มุญจิตุกัมยตาญาณ คือ เริ่มละแล้ว อยากปรารถนาพ้นจากสังขารทั้งหลาย
ญาณที่ ๑๐ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ พิจารณาว่าวิธีที่แท้จริงนั้นคืออะไร ก็คือการพิจารณาไตรลักษณ์ เพราะหนีไม่พ้นพระไตรลักษณ์
ข้อนี้หาข้อคิดมาปลงว่า มันเป็นเช่นนี้จะแก้ไขมันเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ เป็นกฎแห่งธรรม
ญาณที่ ๑๑ สังขารุเปกขาญาณ คือ วางใจเป็นกลาง เพราะว่าเราไม่สามารถควบคุมได้ ทำอะไรเขาไม่ได้ ฉะนั้น ถึงเรียกว่าอนัตตา
ญาณที่ ๑๒ สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ฉะนั้น เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งธรรม ตถตาเป็นเช่นนั้น
ญาณที่ ๑๓ โคตรภูญาณ คือ ต้องหมั่นมาคิดพิจารณา
ญาณที่ ๑๔ มัคคญาณ คือ เริ่มจะเข้านิพพาน เอาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๑๓ มาสรุป
ญาณที่ ๑๕ ผลญาณ คือ เป็นผลที่จะเดินไปให้ถึง เวลานี้เข้าสู่มรรค แต่มีเป้าหมายเป็นผล แต่ยังไม่บรรลุผล เพียงแค่รู้ผล เหมือนกับเราจะไปท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า เราก็จะมีความคิดท่าขี้เหล็ก อยู่ในความคิดของเราแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะไปท่าขี้เหล็กได้อย่างไร
ขั้นนี้เห็นจังหวัดท่าขี้เหล็กแล้ว แต่เรายังไปไม่ถึง คือยังไม่บรรลุ
ญาณที่ ๑๖ ปัจจเวกขณญาณ คือ ญาณขั้นนี้ละแล้ว เข้าสู่บรรลุผล เป็นตัวสรุป สรุปแล้วก็จะบอกว่าเราจะเดินเส้นทางนี้แล้ว แล้วก็เดินไปต่อ
แล้วพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ว่าท่านบรรลุแล้ว นั้นหมายความว่า ท่านถึงญาณที่ ๑๖ แล้ว แต่ท่านบอกว่า ยังก่อน ยังไม่เดินข้ามไป คือ เดินเข้าไปสู่ญาณขั้นที่ ๑๗ แล้วก็จะถอยลงมา ก็เหมือนกับเดินทางไปที่ท่าขี้เหล็กแล้ว ก็เดินทางกลับมาคืน เพราะว่าสงสารคนที่ยังมีความทุกข์อยู่
ถ้าอย่างนั้นมีปมอยู่แล้วจะเดินทางเข้าไปสู่ญาณที่ ๑๗ ได้ยังไง อันนี้ไม่ได้มีปม เข้าไปญาณที่ ๑๗ แล้วคิดได้ จึงเดินทางออกมา คือ ละแล้ว จากญาณ ๑๖ เข้าไป พอเข้าญาณที่ ๑๗ หันมองกลับมา สงสารบุคคลที่ยังไม่รู้เรื่อง จึงปวารณาตัวสอนเขาก่อน
ญาณที่ ๑๖ ก็เปรียบเสมือนสะพาน เราจะก้าวข้ามสะพานไหม? พอข้ามสะพานแล้วไปถึงท่าขี้เหล็ก เป็นขั้นที่ ๑๗ แต่มองกลับมาสะพานฝั่งด้านนี้คนยังไม่รู้เรื่องเยอะ จึงตัดสินใจว่า ฉันจะไม่เดินต่อแล้ว เราจะเดินทางกลับมาช่วยพวกสัตว์โลกทั้งหลาย
แต่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ฯลฯ ท่านเดินต่อ ตอนนี้ไปถึงจังหวัดเชียงตุงแล้ว
อันนี้ไม่ถือว่าเป็นปม ถ้าเป็นปมก็ข้ามญาณ ๑๗ ไม่ได้
เพราะว่า ญาณที่ ๑๖ คือให้ทบทวน สรุปแล้ว แล้วเราสรุปว่ายังไง
สรุปแล้วเราจะเดินข้ามสะพานแล้ว แล้วเราก็ข้ามสะพานไป ทีนี้หันกลับมามอง แล้วเกิดความน่าสงสาร เกิดจิตเวลานั้นถึงเดินกลับมา
ไม่ใช่ ญาณที่ ๑๖ แล้วเกิดจิตตัวนี้ แต่จิตตัวนี้เกิดตอนอยู่ญาณที่ ๑๗ ถ้าญาณที่ ๑๖ มีจิตตัวนี้จะข้ามไม่ได้ แต่ญาณที่ ๑๗ มีจิตตัวนี้ได้จึงต้องเดินทางกลับมา
สมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พระองค์ท่านอยู่ขั้นไหน พระพุทธเจ้าอยู่ขั้นที่ ๑๗ แล้วสอนได้ไหม? อย่างนี้ไม่มี
พระพุทธเจ้าอยู่ขั้นที่ ๑๖ ก็รู้หมดแล้ว ญาณที่ ๑๖ เป็นตัวรู้ของท่าน ท่านอยู่ญาณที่ ๑๖ ก็สามารถสอนไปเรื่อยๆ
ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เป็นญาณขั้นที่ ๑๒ เอง คือ รู้ว่ามีข้อธรรมะอะไร แล้วก็ปฏิบัติขึ้นไปเรื่อยๆ ไปถึงขั้นที่ ๑๖ จึงพูดกับตนเองว่า เวลานี้สิ่งที่ทำมีความสมบูรณ์ พระองค์ท่านจึงก้าวข้ามถึงขั้นที่ ๑๗ พอท่านเดินต่อก็เข้าสู่นิพพาน
ที่ว่า พระอรหันตสาวก ศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่เข้าสู่นิพพานก่อนพระพุทธเจ้านั้น ท่านข้ามไปก่อนเพราะว่าท่านหมดหน้าที่ เพราะว่าสาวกท่านไม่เอาหน้าที่แล้ว พระพุทธเจ้ายังจะเอาหน้าที่อยู่ เพราะสงสารสัตว์โลกอยู่ ถึงรับเอาหน้าที่สั่งสอนสัตว์โลก
นี่แหละ ถ้าพระอานนท์ทรงทูลของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงต้องอยู่ต่อ เพราะช่วยคน
ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าอยู่ต่อยังไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้านะ ก็แค่เป็นพระโพธิสัตว์
อยู่ขั้นญาณที่ ๑๒ ก็รู้แจ้งแห่งความเปลี่ยนแปลงของธรรมแล้ว ของสังขารแล้ว
แค่นี้ก็คือสัพพัญญูแล้ว เพราะว่าท่านรู้เพียงแค่ ๓ ข้อ ก็สามารถเป็นสัพพัญญูแล้ว คือ รู้ความเป็นมา รู้ความเป็นอยู่ และรู้สิ่งที่จะเป็นไป
ท่านก็รู้ท่านสามารถข้ามพ้นไปก็ได้ แต่ท่านปรารถนาอยากช่วยคน
แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่เข้าถึงขั้นที่ ๑๗ แล้วถอยออกมา ทำไมเอาถึงขั้นที่ ๑๒ ล่ะ
เพราะว่า พระพุทธเจ้ารู้ แค่นี้ก็สามารถสอนคนได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเข้าถึงญาณที่ ๑๖ แล้ว
ความคิดของพระพุทธเจ้าอยู่ขั้นที่ ๑๖ แต่พระพุทธเจ้าถอยมาอยู่ขั้นที่ ๑๒ เพื่อสอนคน
ไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ขั้นที่ ๑๗ แล้ว ไม่จำเป็น เพราะว่าท่านรู้ไปหมดแล้ว รู้แล้วแต่ปรารถนายังไม่ข้าม
แล้วของท่านผู้รู้อากง รู้ถึงขั้นที่ ๑๖ แล้ว แต่ยังปฏิบัติไปไม่ถึง เขาเรียกว่ามีมรรค แต่ยังไม่มีผล ผลนั้นเราเห็นแต่ต้องบรรลุนะ ต้องลุ ถึงจะถึงผลแท้ ถ้าเรายังไม่บรรลุก็ยังไม่ถึงผลแท้
ที่ท่านพุทธทาสบอกว่า นิพพานลองชิม ทำอยู่ประจำยังไม่ได้
แล้วทำไมพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมถึงเข้าสู่ญาณขั้นที่ ๑๗ แล้วถอยออกมาสอนสัตว์โลก เพราะว่าสงสารสัตว์โลก เพราะว่าท่านประกาศว่า สงสารสัตว์โลก เพราะว่าถ้าไม่มีใครนำพาแล้วจะทำยังไง ฉะนั้น จึงกลับมา
แต่ท่านกลับมานั้น ไม่ปรากฏรูปเป็นกายสังขารเนื้อหนังอย่างเรา ท่านก็มีรูปเหมือนกัน แต่เป็นรูปอีกอย่าง เช่น รูปผู้หญิง รูปผู้ชาย ฯลฯ
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์