ทั่วโลกชื่นชมความสำเร็จการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ของไทย ที่จวบจนวันนี้สามารถควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ได้ ทั้งที่ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา ให้อยู่ในแถวหน้าของโลก เหนือกว่าประเทศมหาอำนาจที่เป็นชาติพัฒนาแล้วอื่นๆ ความสำเร็จของไทยเองมาจากหลายองค์ประกอบ ทั้งการตัดสินใจทางนโยบายที่รัฐบาลใช้มิติด้านสาธารณสุขเป็นหลักนำที่มาทันเวลาพอดี ระบบสาธารณสุขไทยที่ผ่านการปฎิรูปสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีกลไกอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้านที่คลุมทุกพื้นที่ประเทศ มีการศึกษาและพัฒนากำลังคนด้านระบาดวิทยาต่อเนื่อง ตลอดจนความร่วมมือร่วมใจของทั้งสังคม ภาคเอกชนที่เข้มแข็ง ร่วมมือกันฝ่าฟันวิกฤติชาติครั้งนี้
เชื่อว่าหลังจากวิกฤติโควิดนี้ผ่านไป หลายประเทศในโลกต้องรู้จักประเทศไทยดีขึ้น และหากไม่ฝันไกลจนเกินไปประเทศไทยน่าจะเข้าไปอยู่ในตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาอาศัยอยู่บ้านเรา โดยเฉพาะคนเก่งๆ ทั่วโลก และกลุ่มของมหาเศรษฐี นักธุรกิจต่างๆ เพราะคนเหล่านี้ มีความรู้ (และมีเงิน) และรักชีวิตกันทั้งนั้น เค้าคงไม่อยากจะเสี่ยงชีวิตอยู่ในประเทศที่รัฐบาลล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาดและการปกครอง
ดูอย่างเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดความวุ่นวายลุกลามทั่วอเมริกา กลายเป็นการจลาจลในหลายเมืองทั่วสหรัฐในเวลานี้ ทั้งความเหลื่อมล้ำ การไม่สนใจชีวิตและสุขภาพของประชาชน คิดแต่เอาใจประชาชนฐานเสียง ซึ่งห่วงแต่เสรีภาพและวิถีชีวิตเก่าๆของตัวเอง แบบนี้ใครจะอยากอยู่?
ซึ่งพอกวาดตาไปมองบรรดาประเทศที่จัดการโควิดได้ดี ประเทศไทยก็จะอยู่อันดับต้นๆแน่นอน แถมทำธุรกิจก็ง่ายเป็นอันดับ 1 ค่าครองชีพต่ำ ค่าแรงถูก อาหารอุดมสมบูรณ์ เรียกว่าเหตุผลทางการแพทย์ เป็นเหตุผลดึงดูดยิ่งกว่าเหตุผลไหนๆ เพราะเป็นเหตุผลเรื่องความเป็นความตาย เค้ารู้ว่าถ้าเกิดโรคระบาดขึ้นเมื่อไหร่ ถ้าอยู่ในเมืองไทย เค้าอุ่นใจได้ว่าจะมีความปลอดภัยมากกว่าหลายๆที่ในโลกนี้
กลุ่มเศรษฐีวัยเกษียณสูงอายุทั่วโลกนี่ก็น่าจับตาว่าน่าจะมีแผนย้ายมาอยู่เมืองไทย เพราะคนพวกนี้มีเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่เป็นเงินยามเกษียณ ซึ่งสามารถมาซื้อบ้านและมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ที่เมืองไทย ได้อยู่ใกล้หมอ มีสิ่งอำนวยความสะดวก อากาศดี ต่างจากประเทศบ้านเกิดที่คนแก่อยู่อย่างยากลำบากแม้มีเงินเก็บหรือเงินเกษียณ รวมทั้งคนไทยที่อยู่ทั่วโลก จะอยากกลับมาอยู่เมืองไทยด้วย และการสมองไหลจะน้อยลง คนเหล่านี้มีประสบการณ์จากต่างประเทศ ที่จะช่วยกลับมาคิดธุรกิจใหม่ๆในประเทศไทย
ในแง่ของการทำธุรกิจ ใครๆอาจจะบอกว่าเราคงสู้คู่แข่งอย่างเวียดนามที่กำลังเร่งทำคะแนนกับเราไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งดูถูกรากเหง้าของตัวเอง ตอนนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีแล้วว่าบริษัทต่างๆ เลือกมาเปิดศูนย์ในไทยมากขึ้น แทนที่สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ที่มีปัญหาในการจัดการกับโควิด และฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้สร้างงานได้
เรื่องการดึงคนเก่งจากทั่วโลกมาทำงานในประเทศไทยนี้ สอดคล้องกับแนวคิดของ“เจ้าสัวธนินท์” คุณ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า
"ดึงคนเก่งมาให้สร้างธุรกิจใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจในประเทศไทย แต่มีข้อแม้ว่าประเทศไทยเราก็ต้องปรับปรุงนโยบาย กฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆให้เอื้อให้เค้ามาด้วย เพื่อดึงดูดนักลงทุน คนเก่ง นักวิทยาศาสตร์ ลองคิดว่าถ้าดึงมาได้สัก 5 ล้านคน ก็จะเพิ่มภาษีให้ประเทศกว่า 5 ล้านล้านบาทต่อปี"
แต่ทั้งนี้คนเก่งที่จะรับเข้ามา รัฐบาลต้องออกกฏระเบียบคัดเฉพาะคนมีฐานะเข้ามา ไม่ใช่เปิดให้กลุ่มแรงงานต่างด้าวเข้ามาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ให้เข้ามาแล้วต้องดูด้วยว่ารับมาแล้ว ประเทศจะได้ประโยชน์อย่างไร เข้ามาแล้วมีประกันสุขภาพวงเงินสูงเพียงพอมั้ย อะไรก็ได้ที่อย่าให้มาเป็นภาระกับเรา แต่อำนวยความสะดวกให้คนที่จะมาสร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ หรือต่อยอดสร้างไอเดียใหม่ๆ ให้เป็นหลุมหลบภัยของคนเก่ง ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ ต่อยอดให้เราผลิตยา วิจัยทางการแพทย์
ดูอย่างรัฐบาลอังกฤษ ที่เมื่อเร็วๆนี้ออกมาประกาศว่า มีแผนขยายสิทธิทางวีซ่าและเพิ่มโอกาสในการได้รับสัญชาติอังกฤษแก่ประชากรเกือบ 3 ล้านคนในฮ่องกง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://mgronline.com/around/detail/9630000056272
หลายคนสงสัยทำไมอังกฤษต้องช่วงชิงช่วงเวลานี้ ... เพราะไม่มีเวลาไหนจะเหมาะสมเท่ากับความชุลมุนช่วงโควิดนี้อีกแล้วน่ะสิ !!! งานนี้สิ่งที่อังกฤษจะได้เต็มๆคือคนเก่งระดับหัวกะทินับ ล้านคนไปเป็นประชากรของตัวเองโดยไม่ต้องเสียเวลาเฟ้นหาคนเก่งจากทั่วโลกเพื่อมาพัฒนาประเทศ
ทัศนคติที่มองว่าแรงงานต่างชาติจะเป็นภัยคุกคามต่องานของคนไทยคืออุปสรรคสําคัญที่ปิดกั้นโอกาสของการพัฒนาศักยภาพของประเทศ เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าการถูกต่างชาติแย่งงาน คือการเลือกปกป้องแรงงานไทย จนท้ายที่สุดทําให้ประเทศสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและคนไทยอาจไม่มีงานทํา.
ยุคไทยหลังโควิด-19 ต้องดึงคนเก่งทั่วโลก มาอยู่เมืองไทย
เชื่อว่าหลังจากวิกฤติโควิดนี้ผ่านไป หลายประเทศในโลกต้องรู้จักประเทศไทยดีขึ้น และหากไม่ฝันไกลจนเกินไปประเทศไทยน่าจะเข้าไปอยู่ในตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาอาศัยอยู่บ้านเรา โดยเฉพาะคนเก่งๆ ทั่วโลก และกลุ่มของมหาเศรษฐี นักธุรกิจต่างๆ เพราะคนเหล่านี้ มีความรู้ (และมีเงิน) และรักชีวิตกันทั้งนั้น เค้าคงไม่อยากจะเสี่ยงชีวิตอยู่ในประเทศที่รัฐบาลล้มเหลวในการควบคุมโรคระบาดและการปกครอง
ซึ่งพอกวาดตาไปมองบรรดาประเทศที่จัดการโควิดได้ดี ประเทศไทยก็จะอยู่อันดับต้นๆแน่นอน แถมทำธุรกิจก็ง่ายเป็นอันดับ 1 ค่าครองชีพต่ำ ค่าแรงถูก อาหารอุดมสมบูรณ์ เรียกว่าเหตุผลทางการแพทย์ เป็นเหตุผลดึงดูดยิ่งกว่าเหตุผลไหนๆ เพราะเป็นเหตุผลเรื่องความเป็นความตาย เค้ารู้ว่าถ้าเกิดโรคระบาดขึ้นเมื่อไหร่ ถ้าอยู่ในเมืองไทย เค้าอุ่นใจได้ว่าจะมีความปลอดภัยมากกว่าหลายๆที่ในโลกนี้
กลุ่มเศรษฐีวัยเกษียณสูงอายุทั่วโลกนี่ก็น่าจับตาว่าน่าจะมีแผนย้ายมาอยู่เมืองไทย เพราะคนพวกนี้มีเงินเก็บก้อนสุดท้ายที่เป็นเงินยามเกษียณ ซึ่งสามารถมาซื้อบ้านและมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ที่เมืองไทย ได้อยู่ใกล้หมอ มีสิ่งอำนวยความสะดวก อากาศดี ต่างจากประเทศบ้านเกิดที่คนแก่อยู่อย่างยากลำบากแม้มีเงินเก็บหรือเงินเกษียณ รวมทั้งคนไทยที่อยู่ทั่วโลก จะอยากกลับมาอยู่เมืองไทยด้วย และการสมองไหลจะน้อยลง คนเหล่านี้มีประสบการณ์จากต่างประเทศ ที่จะช่วยกลับมาคิดธุรกิจใหม่ๆในประเทศไทย
ในแง่ของการทำธุรกิจ ใครๆอาจจะบอกว่าเราคงสู้คู่แข่งอย่างเวียดนามที่กำลังเร่งทำคะแนนกับเราไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งดูถูกรากเหง้าของตัวเอง ตอนนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีแล้วว่าบริษัทต่างๆ เลือกมาเปิดศูนย์ในไทยมากขึ้น แทนที่สิงคโปร์ หรือมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ที่มีปัญหาในการจัดการกับโควิด และฟื้นตัวได้ช้ากว่า ทำให้สร้างงานได้
ดูอย่างรัฐบาลอังกฤษ ที่เมื่อเร็วๆนี้ออกมาประกาศว่า มีแผนขยายสิทธิทางวีซ่าและเพิ่มโอกาสในการได้รับสัญชาติอังกฤษแก่ประชากรเกือบ 3 ล้านคนในฮ่องกง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลายคนสงสัยทำไมอังกฤษต้องช่วงชิงช่วงเวลานี้ ... เพราะไม่มีเวลาไหนจะเหมาะสมเท่ากับความชุลมุนช่วงโควิดนี้อีกแล้วน่ะสิ !!! งานนี้สิ่งที่อังกฤษจะได้เต็มๆคือคนเก่งระดับหัวกะทินับ ล้านคนไปเป็นประชากรของตัวเองโดยไม่ต้องเสียเวลาเฟ้นหาคนเก่งจากทั่วโลกเพื่อมาพัฒนาประเทศ
ทัศนคติที่มองว่าแรงงานต่างชาติจะเป็นภัยคุกคามต่องานของคนไทยคืออุปสรรคสําคัญที่ปิดกั้นโอกาสของการพัฒนาศักยภาพของประเทศ เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าการถูกต่างชาติแย่งงาน คือการเลือกปกป้องแรงงานไทย จนท้ายที่สุดทําให้ประเทศสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและคนไทยอาจไม่มีงานทํา.