***อัพเดทบางส่วนเพิ่มเติมวันที่ 18 ม.ค. 21 เพื่อให้ชัดเจนมากขึ้นนะครับ***
ผมเป็นพ่อของลูกชายที่เป็นโรคติกส์เรื้อรัง จากแรกเริ่มขยิบตา แต่ก็ไม่ได้สังเกตและกังวลใดๆ จนกระทั่งสะบัดคอไปมาไม่หยุด
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ลูกกำลังจะจบอนุบาล 2 เข้าสู่ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นอนุบาล 3
ผมหาข้อมูลในเว็บไซต์ทางการแพทย์ทั่วไปในไทย ก็พบเทคนิคต่างๆทั่วไป เช่นต้องไม่ทักตอนที่ลูกมีอาการติกส์
อย่าให้ลูกมีความเครียด ความเครียดอาจเป็นสาเหตุของโรค และลูกอาจหายจากอาการดังกล่าวได้เอง...
แต่หลายเดือนผ่านไป ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น และเป็นหนักมากขึ้น มากขึ้น
จึงพาลูกไปหาหมอทางระบบประสาท เพื่อให้หมอดูเรื่องติกส์โดยตรง
แต่โรงพยาบาลแรกให้ไปหาหมอด้านพัฒนาการเด็กก่อน เมื่อตรวจกับหมอแล้ว รู้สึกไม่ค่อยชัดเจน
และรู้สึกว่ายังไม่ใช่ จึงพอไปหาหมอระบบประสาทได้ไปหาในโรงพยาบาลที่สอง สรุปแล้วจึงได้พบหมอทั้งสองแบบ
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ข้อมูลต่างๆก็ไม่ต่างจากที่ได้อ่านจากเว็บทั่วไปนัก ผมต้องหวังว่าลูกจะหายจากโรคได้เอง
และต้องใช้ยาทางจิตเวชที่หมอแนะนำ...เท่านั้น ซึ่งเมื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาเหล่านั้น ก็เต็มไปด้วยผลข้างเคียง
และซ้ำร้ายยังเป็นอันตรายต่อสมองของเด็กในระยะยาวด้วย
แต่สุดท้ายเมื่อหมดทางเลือก เราก็รักษาตามที่หมอบอกทุกอย่าง และยอมใช้ยาของหมอก็คือริสเพอริโดน
แต่ก็ไม่ได้ผล อาการไม่ดีขึ้น โดยมีลักษณะอาการที่ไม่ดีแสดงออกเหมือนกับที่เราศึกษามาเปี๊ยบ
ซึ่งนอกจากท่าทางจะเปลี่ยนไปแล้ว ยายังทำให้ลูกเกิดพฤติกรรมที่แปลกมากขึ้นทั้งทางด้านอารมณ์ และจิตใจ
จนผมได้สติขึ้นมา ซึ่งที่จริงแล้วผมก็ศึกษามาอย่างดีแล้วว่า ยาเหล่านี้นั้น... ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ตอนนั้นที่ยอมรับยามา
ก็เพราะจนปัญญา หมดทางเลือกใดๆ
ผมเริ่มสังเกตเห็นความไม่ชัดเจนของสาเหตุของโรคจากข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ใช่พฤติกรรม ก็เป็นพันธุกรรม
หรือกรรมพันธุ์ หรือโทษไปที่ความเครียด เมื่อหมอแต่ละคนทราบว่าเป็นติกส์ แต่ละคนก็ทำท่าทางเหมือนไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา
หรือไม่ ก็ทำท่าทางมั่นใจมากเกินจนดูผิดสังเกต ซึ่งส่วนตัว ผมมองแล้วก็คิดว่า มันอาจจะเป็นเพราะหมอเอง
ก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวโรคนี้เช่นกัน ในขณะที่การหาย จากการรักษากับหมอนั้น คือการหายเองของเด็ก
ซึ่งก็ไม่ใช่จำนวนเด็กส่วนใหญ่ที่หาย เด็กจำนวนมากเป็นอาการหนักมากขึ้นๆ แล้วต้องทุกข์ทรมานไปจนโต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงขั้นสะบัดคอแบบลูกผมแล้วนั้น (สามารถหาดูใน youtube ได้ครับ ช่อง
Revelation)
บอกได้เลยว่า โอกาสที่จะหายเองก็คงหมดแล้ว เหลือแค่ให้หมอบอกเท่านั้นว่าเป็นทูเร็ตต์ ซึ่งหลังจากนั้นพ่อแม่ก็ควรทำใจ
ครอบครัวควรปรับตัว และให้ใช้ชีวิตไปกับมัน (โรค)
ดังนั้นทั้งพ่อแม่ ทั้งหมอเองก็หวังว่า แต่ละคนที่เป็นอาการเล็กน้อยอย่างเช่นขยิบตา จะหายไปได้เอง
(แต่จริงๆแล้ว ถึงจะหายได้เอง แต่ผมบอกเลยว่า ถ้ารู้สาเหตุจริงๆของโรค การหายไปเองของอาการติกส์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่ครับ)
ทำไมผมถึงต้องมาศึกษาค้นคว้าเอง เพราะผมไม่อยากยอมแพ้กับชะตากรรมแบบนั้น อีกอย่างก็ยังไม่ค่อยเห็นเหตุผลเรื่องสาเหตุของโรค
เพราะเมื่อลองลุยหาข้อมูล ในส่วนของพันธุกรรมจริงๆก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด เราเริ่มหาอ่านแต่เว็บนอก เพราะเว็บไทยนั้น
อ่านดูแล้ว มีข้อมูลแทบจะเหมือนกันทั้งหมด เท่ากับว่า ถ้าเชื่อข้อมูลตามนั้น ผลก็ต้องเป็นตามนั้น คือไม่มีทางรักษา แต่รอให้หายเอง
โดยมีทางเลือกว่าจะยอมให้ใช้ยามายุ่งกับระบบประสาทหรือไม่เท่านั้น และก็ไม่หาย โรคทางจิตจริงๆแล้วไม่ได้มียาที่รักษาให้หาย
มีแต่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของสมองเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็ห้ามหยุดยา ต้องกินไปตลอด และร่างกายก็ต้องรับกับผลข้างเคียงของยา
ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน ส่วนกินยาแล้วอาการจะหายหรือไม่ ก็อาจจะดีขึ้นบ้างครับ หรืออาจจะไม่ดีขึ้นเลย
ผมเริ่มตั้งข้อโต้แย้งกับข้อมูลเดิมๆที่เคยอ่านมา หากลูกเป็นเพราะความเครียด เราเลี้ยงลูกเครียดมากกว่าคนอื่นหรือไม่?
เรามีลูกสองคนที่เลี้ยงเหมือนกัน ทำไมอีกคนก็ปกติ และเมื่อเราทดลองทำทุกอย่างให้เด็กมีความผ่อนคลายมากที่สุด
มีการเอนเตอร์เทนและให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ ให้เวลา ให้ความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ แต่ก็ไม่ได้เห็นผลแตกต่างอย่างชัดเจน
จนบอกได้ว่า ความเครียดน่าจะเป็นสาเหตุจริงๆ
เมื่อมาลองนึกๆดู เด็กคนอื่นที่เขากดดันกว่านี้ เครียดกว่านี้ตั้งเยอะ มีปัญหาครอบครัว เงินทอง พ่อแม่ไม่มีเวลา ทำไมพวกเขา
ถึงไม่เป็นโรคนี้กัน เช่นเดียวกับโรคซึมเศร้า ที่ต่อให้เศร้ามากขนาดไหน ถ้าไม่เป็นโรคซึมเศร้า ก็ไม่สามารถที่จะฆ่าตัวตายได้
ซึ่งจากข้อเท็จจริงตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า โรคซึมเศร้ามาจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง เรื่องอารมณ์ความรู้สึกจึงเป็นตัวประกอบ
ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่น่าจะใช่ต้นเหตุอย่างแน่นอนในความคิดของเรา
ข้อมูลในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้น จะมีจำนวนมากกว่า มีฐานข้อมูลกว้าง มีข้อมูลในเชิงวิเคราะห์มากกว่าข้อมูลในไทยมาก
เรียกได้ว่าถ้าหาจากฐานข้อมูลในบ้านเรา แค่วันเดียวก็อ่านจะหมด ในขณะที่ของต่างประเทศ อ่านเท่าไหร่ก็ยิ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ
มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคติกส์/ทูเร็ตต์นี้ ในต่างประเทศก็ยืนยันว่าไม่มีทางรักษาเช่นกัน แต่ผมก็อยากรู้ข้อมูลมากขึ้นๆ เลยค่อยๆ
แกะจากลักษณะอาการ และประวัติของลูก ทั้งด้านกินอยู่หลับนอนอะไรต่างๆ เพื่อดูว่าอะไรพอจะทำให้เกิดผลกระทบได้บ้าง
การอ่าน textbook ของต่างประเทศช่วยให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้เห็นอาการของโรคที่กว้างมากขึ้น ผลกระทบที่ทำให้
อาการเป็นหนักขึ้น มีเยอะมาก แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเพราะอะไร การศึกษาจากกลุ่ม community ของคนที่เป็นโรคนี้ในต่างประเทศ
เป็นประโยชน์มาก หมอบางคนคล้ายหมอไทย แต่ที่เยี่ยมก็คือมีนักวิทยาศาสตร์มากมายมา join ในกลุ่มต่างๆ ทำให้เราได้มุมมองที่แตกต่าง
ทางด้านชีวเคมีแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากฝั่งแพทย์ โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จะเป็นกลุ่มที่อัพเดทข้อมูลใหม่ๆไวมากกว่า
ซึ่งมีหลายเรื่องที่มีความชัดเจนแล้ว แต่ยังไม่ได้ถูกระบุลงไปในหนังสือแพทย์ หลายอย่างถูกสกรีนออก ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
การวิจัย ทำให้หลายประเด็นยังเป็นที่ถกเถียง ซึ่งเราไม่ควรเชื่อฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่ต้องวิเคราะห์เองให้ได้ตามเหตุตามผล
ผมเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวต่างๆ เริ่มมองเห็นความเชื่อมโยงของแต่ละโรคกับปรอทและแคนดิด้าได้ ซึ่งปรากฎอยู่ในงานวิจัยเยอะมาก
จนสรุปได้ว่า โรคติกส์ของลูกที่กำลังเป็นอยู่มาจากเปรอทและแคนดิด้า และมั่นใจมากยิ่งขึ้น เมื่อลูกมีอาการลดลงอย่างรวดเร็ว
และหายสะบัดคอหลังจากที่รักษาเรื่องปรอทและแคนดิด้า โดยความตั้งใจในการคุมอาหาร และไปหาหมอเพื่อขับสารพิษโลหะหนักจากสมอง
ซึ่งพอโรคติกส์หายไป ก็ทำให้ตัวหมอเองที่รักษารู้สึกประหลาดใจ ซึ่งตัวหมอเองก็ไม่รู้ว่าโรคติกส์เกิดจากยีสต์และปรอท
***แต่การที่ให้หมอขับสารพิษให้นั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมาก จากความที่ผมยังศึกษาไม่พอในเวลานั้น
จึงไม่รู้ว่า การขับสารพิษที่ผิดแบบนั้นทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับของสารพิษโลหะหนักเข้าสู่สมองได้ และอาจทำให้
สมองเสียหายถาวรได้ ซึ่งลูกผมได้รับผลกระทบมากพอสมควร ทำให้เราต้องมาตั้งต้นใหม่ และขับสารปรอทด้วยวิธีที่ถูกต้อง***
เมื่อศึกษางานวิจัยเพิ่มเติมต่อไปเรื่อยๆ โรคส่วนใหญ่ที่รักษาไม่หาย จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรอทและแคนดิด้าทั้งหมด
แต่นั่นก็จะเป็นส่วนที่การแพทย์ไม่เข้าไปศึกษาตรงนั้น เพราะตัวการของสารพิษยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าอาจมาจาก
วัคซีนและอมัลกัม (ที่อุดฟันสีเงินที่คนส่วนใหญ่อุดกัน) ด้วยความที่เป็นประเด็นอ่อนไหว และไม่มีงานวิจัยที่ยืนยัน
ได้เด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดโรคเหมือนๆกัน หรือเป็นโรคอย่างเดียวกัน ในเด็กทุกๆคน
ทำให้ถึงแม้ว่า วงการวิทยาศาสตร์จะรู้ดีว่าพวกมันคือสารพิษที่อันตราย แต่ก็ไม่สามารถออกมาโต้แย้งได้
ปรอทและโลหะหนักอื่นๆเป็นสารพิษแบบที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อและสมอง อาการ (โรค) จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อคนๆนั้น
สะสมสารพิษมากจนร่างกายรับไม่ไหวแล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไม ทุกคนที่ได้รับ จึงไม่เกิดโรคเหมือนๆกัน
แต่สุดท้ายแล้ว ในที่สุดก็มีการแบนอมัลกัมในยุโรป ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ หลังจากที่มีการทดลองที่ทำให้เห็นว่ามี
ไอปรอทออกมาจากฟันอยู่ตลอดเวลาจริงๆ แม้ว่าจะฟันธงไม่ได้ว่าเป็นสาเหตุของโรค แต่ก็ต้องแบนเพราะความเป็นพิษ
ของตัวมัน อย่างไรก็ตาม ประเทศส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่พัฒนา ยังคงใช้อมัลกัม และผมเคยสอบถามดู
ก็ยังเจอทันตแพทย์ที่บอกว่าอมัลกัมนั้นปลอดภัยอยู่เลย...
สิ่งที่น่ากลัวคือ เด็กๆที่เลือกอุดฟันด้วยอมัลกัม และผู้ใหญ่ที่มีอมัลกัมในฟันจำนวนมาก มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วนั้น
สารปรอทจะเข้าไปสะสมอยู่ในสมองมากแค่ไหน...
ผมต้องศึกษาจากอาการของลูก ผลกระทบที่มาจากรอบด้าน ทำไมลูกถึงเกิดอาการมากขึ้นเมื่อเจอคลื่นไฟฟ้า
สิ่งเหล่านี้ต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง ต้องศึกษาด้วยตัวเองทั้งหมด จนเริ่มเห็นความเชื่อมโยงระหว่าง
สิ่งมีชีวิตเล็กๆในร่างกายอย่างยีสต์แคนดิด้า ที่พบอยู่ในงานวิจัยจำนวนมาก กับสารพิษโลหะหนักโดยเฉพาะปรอท
ซึ่งเรื่องของยีสต์ก็ทำให้ต้องศึกษาค้นคว้าเรื่องของไมโครไบโอม (ประชาคมจุลินทรีย์ในลำไส้)
การที่ผลกระทบเกิดจากหลายสิ่งหลายอย่างที่มาจากสิ่งแวดล้อม การใช้ยา สารเคมี ในแบบที่เป็นการสะสม
ทำให้เห็นได้ว่า สาเหตุของโรคนั้น จะต้องมีคำอธิบายที่สามารถเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน
จากบทความและข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ไม่สามารถหางานวิจัยแค่ชิ้นสองชิ้นมาอธิบายต้นเหตุของโรคได้
การสะสมของสารพิษตลอดชีวิต และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ทำให้แต่ละคนมีภาระของสารพิษไม่เท่ากัน (toxic burden)
ลักษณะแบบนี้ทำให้เราไม่สามารถควบคุมตัวอย่างสำหรับงานวิจัยได้เลย
งานวิจัยเดี่ยวๆนั้น กลับมีข้อมูลที่เป็นอันตรายมากกว่า เพราะกล้ายืนยันว่าวัคซีนหรืออมัลกัมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทำให้เกิดโรค จากการสรุปข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่คำนึงถึงเรื่องช่องโหว่เกี่ยวกับภาระสารพิษในคนแต่ละคน
ซึ่งไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ เพราะปริมาณสารพิษที่อยู่ในสมอง จะต้องเอาสมองมาผ่าออกเท่านั้น ถึงจะพบ
ปริมาณสารพิษสะสมที่แท้จริง
สิ่งที่จำเป็นสำหรับการศึกษาค้นคว้าในเรื่องโรคที่มาจากสารพิษ จึงต้องอาศัยเรื่องของสามัญสำนึก หรือ common sense
เป็นสำคัญ เพราะว่าเราไม่สามารถนำสมองของคนไข้มาผ่าออก เพื่อดูปริมาณโลหะหนักที่สะสมอยู่ในนั้นได้เลย
การ challenge test ที่หมอใช้ chelator ดึงเอาสารพิษจากเนื้อเยื่อออกมาให้ตรวจพบนั้นก็ไม่ได้ให้ค่าที่แท้จริง
ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับอย่างหนักอีกด้วย
ข้อมูลนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งผมอยากให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบ เป็นโรคติกส์หรือโรคอื่นๆ ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
จึงเขียนออกมาเป็นหนังสือ
Revelation ซึ่งมันจะมีคำอธิบายและข้อมูลที่ชัดเจนมากที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่เราจะเดินไปหาแพทย์เพื่อขับสารพิษ มันมีรายละเอียด ข้อควรระวัง และอันตรายต่างๆที่จะตามมา
หากตัวเราไม่รู้ข้อมูลให้ครบทั้งหมด ไม่เช่นนั้นสมาคมการแพทย์คีเลชันไทยคงไม่ถูกต่อว่าเรื่องการขับสารพิษให้กับผู้ที่ไม่ได้รับ
สารพิษในที่ทำงาน แต่เป็นผู้ป่วยจากโรคอื่นๆ ผมพบว่าคีเลชันมีอันตรายมากจริงๆ
ซึ่งแต่ละคนก็ควรศึกษาว่าการย้อนกระจายกลับนั้นคืออะไร เพราะมีอาหารและยามากมายที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ได้
ทำให้การขับสารพิษต้องใช้ ALA โดสน้อยที่เหมาะสม และน้อยมากพอ ตามระยะครึ่งชีวิตเท่านั้น แล้วก็ยังมีกฎอื่นๆอีกมากมาย
การที่ลูกหายจากติกส์ได้เอง ก็จะทำให้พลาดโอกาสที่จะขับสารพิษออกจากสมอง มันจะอยู่ในนั้นแล้วทำให้เกิด
ออกซิเดทีฟสเตรสไปเรื่อย ๆ สร้างความเสียหายให้กับสมองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในที่สุด
สมองก็จะต้องทำงานผิดปกติ และอาจมีอาการอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้อีก
ผมมีแต่ข้อมูล แต่ไม่มีขายยาครับ ไปหาซื้อกันเอง
การรักษาโรคติกส์และโรคทูเร็ตต์ที่ต้นเหตุ สาเหตุที่แท้จริง และวิธีการรักษา
ผมเป็นพ่อของลูกชายที่เป็นโรคติกส์เรื้อรัง จากแรกเริ่มขยิบตา แต่ก็ไม่ได้สังเกตและกังวลใดๆ จนกระทั่งสะบัดคอไปมาไม่หยุด
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนที่ลูกกำลังจะจบอนุบาล 2 เข้าสู่ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นอนุบาล 3
ผมหาข้อมูลในเว็บไซต์ทางการแพทย์ทั่วไปในไทย ก็พบเทคนิคต่างๆทั่วไป เช่นต้องไม่ทักตอนที่ลูกมีอาการติกส์
อย่าให้ลูกมีความเครียด ความเครียดอาจเป็นสาเหตุของโรค และลูกอาจหายจากอาการดังกล่าวได้เอง...
แต่หลายเดือนผ่านไป ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น และเป็นหนักมากขึ้น มากขึ้น
จึงพาลูกไปหาหมอทางระบบประสาท เพื่อให้หมอดูเรื่องติกส์โดยตรง
แต่โรงพยาบาลแรกให้ไปหาหมอด้านพัฒนาการเด็กก่อน เมื่อตรวจกับหมอแล้ว รู้สึกไม่ค่อยชัดเจน
และรู้สึกว่ายังไม่ใช่ จึงพอไปหาหมอระบบประสาทได้ไปหาในโรงพยาบาลที่สอง สรุปแล้วจึงได้พบหมอทั้งสองแบบ
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ข้อมูลต่างๆก็ไม่ต่างจากที่ได้อ่านจากเว็บทั่วไปนัก ผมต้องหวังว่าลูกจะหายจากโรคได้เอง
และต้องใช้ยาทางจิตเวชที่หมอแนะนำ...เท่านั้น ซึ่งเมื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวยาเหล่านั้น ก็เต็มไปด้วยผลข้างเคียง
และซ้ำร้ายยังเป็นอันตรายต่อสมองของเด็กในระยะยาวด้วย
แต่สุดท้ายเมื่อหมดทางเลือก เราก็รักษาตามที่หมอบอกทุกอย่าง และยอมใช้ยาของหมอก็คือริสเพอริโดน
แต่ก็ไม่ได้ผล อาการไม่ดีขึ้น โดยมีลักษณะอาการที่ไม่ดีแสดงออกเหมือนกับที่เราศึกษามาเปี๊ยบ
ซึ่งนอกจากท่าทางจะเปลี่ยนไปแล้ว ยายังทำให้ลูกเกิดพฤติกรรมที่แปลกมากขึ้นทั้งทางด้านอารมณ์ และจิตใจ
จนผมได้สติขึ้นมา ซึ่งที่จริงแล้วผมก็ศึกษามาอย่างดีแล้วว่า ยาเหล่านี้นั้น... ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ตอนนั้นที่ยอมรับยามา
ก็เพราะจนปัญญา หมดทางเลือกใดๆ
ผมเริ่มสังเกตเห็นความไม่ชัดเจนของสาเหตุของโรคจากข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ใช่พฤติกรรม ก็เป็นพันธุกรรม
หรือกรรมพันธุ์ หรือโทษไปที่ความเครียด เมื่อหมอแต่ละคนทราบว่าเป็นติกส์ แต่ละคนก็ทำท่าทางเหมือนไม่มั่นใจในตัวเองขึ้นมา
หรือไม่ ก็ทำท่าทางมั่นใจมากเกินจนดูผิดสังเกต ซึ่งส่วนตัว ผมมองแล้วก็คิดว่า มันอาจจะเป็นเพราะหมอเอง
ก็ไม่แน่ใจเกี่ยวกับตัวโรคนี้เช่นกัน ในขณะที่การหาย จากการรักษากับหมอนั้น คือการหายเองของเด็ก
ซึ่งก็ไม่ใช่จำนวนเด็กส่วนใหญ่ที่หาย เด็กจำนวนมากเป็นอาการหนักมากขึ้นๆ แล้วต้องทุกข์ทรมานไปจนโต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงขั้นสะบัดคอแบบลูกผมแล้วนั้น (สามารถหาดูใน youtube ได้ครับ ช่อง Revelation)
บอกได้เลยว่า โอกาสที่จะหายเองก็คงหมดแล้ว เหลือแค่ให้หมอบอกเท่านั้นว่าเป็นทูเร็ตต์ ซึ่งหลังจากนั้นพ่อแม่ก็ควรทำใจ
ครอบครัวควรปรับตัว และให้ใช้ชีวิตไปกับมัน (โรค)
ดังนั้นทั้งพ่อแม่ ทั้งหมอเองก็หวังว่า แต่ละคนที่เป็นอาการเล็กน้อยอย่างเช่นขยิบตา จะหายไปได้เอง
(แต่จริงๆแล้ว ถึงจะหายได้เอง แต่ผมบอกเลยว่า ถ้ารู้สาเหตุจริงๆของโรค การหายไปเองของอาการติกส์ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่ครับ)
ทำไมผมถึงต้องมาศึกษาค้นคว้าเอง เพราะผมไม่อยากยอมแพ้กับชะตากรรมแบบนั้น อีกอย่างก็ยังไม่ค่อยเห็นเหตุผลเรื่องสาเหตุของโรค
เพราะเมื่อลองลุยหาข้อมูล ในส่วนของพันธุกรรมจริงๆก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด เราเริ่มหาอ่านแต่เว็บนอก เพราะเว็บไทยนั้น
อ่านดูแล้ว มีข้อมูลแทบจะเหมือนกันทั้งหมด เท่ากับว่า ถ้าเชื่อข้อมูลตามนั้น ผลก็ต้องเป็นตามนั้น คือไม่มีทางรักษา แต่รอให้หายเอง
โดยมีทางเลือกว่าจะยอมให้ใช้ยามายุ่งกับระบบประสาทหรือไม่เท่านั้น และก็ไม่หาย โรคทางจิตจริงๆแล้วไม่ได้มียาที่รักษาให้หาย
มีแต่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของสมองเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็ห้ามหยุดยา ต้องกินไปตลอด และร่างกายก็ต้องรับกับผลข้างเคียงของยา
ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพแน่นอน ส่วนกินยาแล้วอาการจะหายหรือไม่ ก็อาจจะดีขึ้นบ้างครับ หรืออาจจะไม่ดีขึ้นเลย
ผมเริ่มตั้งข้อโต้แย้งกับข้อมูลเดิมๆที่เคยอ่านมา หากลูกเป็นเพราะความเครียด เราเลี้ยงลูกเครียดมากกว่าคนอื่นหรือไม่?
เรามีลูกสองคนที่เลี้ยงเหมือนกัน ทำไมอีกคนก็ปกติ และเมื่อเราทดลองทำทุกอย่างให้เด็กมีความผ่อนคลายมากที่สุด
มีการเอนเตอร์เทนและให้ทุกอย่างที่เขาต้องการ ให้เวลา ให้ความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ แต่ก็ไม่ได้เห็นผลแตกต่างอย่างชัดเจน
จนบอกได้ว่า ความเครียดน่าจะเป็นสาเหตุจริงๆ
เมื่อมาลองนึกๆดู เด็กคนอื่นที่เขากดดันกว่านี้ เครียดกว่านี้ตั้งเยอะ มีปัญหาครอบครัว เงินทอง พ่อแม่ไม่มีเวลา ทำไมพวกเขา
ถึงไม่เป็นโรคนี้กัน เช่นเดียวกับโรคซึมเศร้า ที่ต่อให้เศร้ามากขนาดไหน ถ้าไม่เป็นโรคซึมเศร้า ก็ไม่สามารถที่จะฆ่าตัวตายได้
ซึ่งจากข้อเท็จจริงตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า โรคซึมเศร้ามาจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง เรื่องอารมณ์ความรู้สึกจึงเป็นตัวประกอบ
ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่น่าจะใช่ต้นเหตุอย่างแน่นอนในความคิดของเรา
ข้อมูลในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษนั้น จะมีจำนวนมากกว่า มีฐานข้อมูลกว้าง มีข้อมูลในเชิงวิเคราะห์มากกว่าข้อมูลในไทยมาก
เรียกได้ว่าถ้าหาจากฐานข้อมูลในบ้านเรา แค่วันเดียวก็อ่านจะหมด ในขณะที่ของต่างประเทศ อ่านเท่าไหร่ก็ยิ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจ
มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งโรคติกส์/ทูเร็ตต์นี้ ในต่างประเทศก็ยืนยันว่าไม่มีทางรักษาเช่นกัน แต่ผมก็อยากรู้ข้อมูลมากขึ้นๆ เลยค่อยๆ
แกะจากลักษณะอาการ และประวัติของลูก ทั้งด้านกินอยู่หลับนอนอะไรต่างๆ เพื่อดูว่าอะไรพอจะทำให้เกิดผลกระทบได้บ้าง
การอ่าน textbook ของต่างประเทศช่วยให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติม ทำให้เห็นอาการของโรคที่กว้างมากขึ้น ผลกระทบที่ทำให้
อาการเป็นหนักขึ้น มีเยอะมาก แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเพราะอะไร การศึกษาจากกลุ่ม community ของคนที่เป็นโรคนี้ในต่างประเทศ
เป็นประโยชน์มาก หมอบางคนคล้ายหมอไทย แต่ที่เยี่ยมก็คือมีนักวิทยาศาสตร์มากมายมา join ในกลุ่มต่างๆ ทำให้เราได้มุมมองที่แตกต่าง
ทางด้านชีวเคมีแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากฝั่งแพทย์ โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จะเป็นกลุ่มที่อัพเดทข้อมูลใหม่ๆไวมากกว่า
ซึ่งมีหลายเรื่องที่มีความชัดเจนแล้ว แต่ยังไม่ได้ถูกระบุลงไปในหนังสือแพทย์ หลายอย่างถูกสกรีนออก ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
การวิจัย ทำให้หลายประเด็นยังเป็นที่ถกเถียง ซึ่งเราไม่ควรเชื่อฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่ต้องวิเคราะห์เองให้ได้ตามเหตุตามผล
ผมเริ่มปะติปะต่อเรื่องราวต่างๆ เริ่มมองเห็นความเชื่อมโยงของแต่ละโรคกับปรอทและแคนดิด้าได้ ซึ่งปรากฎอยู่ในงานวิจัยเยอะมาก
จนสรุปได้ว่า โรคติกส์ของลูกที่กำลังเป็นอยู่มาจากเปรอทและแคนดิด้า และมั่นใจมากยิ่งขึ้น เมื่อลูกมีอาการลดลงอย่างรวดเร็ว
และหายสะบัดคอหลังจากที่รักษาเรื่องปรอทและแคนดิด้า โดยความตั้งใจในการคุมอาหาร และไปหาหมอเพื่อขับสารพิษโลหะหนักจากสมอง
ซึ่งพอโรคติกส์หายไป ก็ทำให้ตัวหมอเองที่รักษารู้สึกประหลาดใจ ซึ่งตัวหมอเองก็ไม่รู้ว่าโรคติกส์เกิดจากยีสต์และปรอท
***แต่การที่ให้หมอขับสารพิษให้นั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมาก จากความที่ผมยังศึกษาไม่พอในเวลานั้น
จึงไม่รู้ว่า การขับสารพิษที่ผิดแบบนั้นทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับของสารพิษโลหะหนักเข้าสู่สมองได้ และอาจทำให้
สมองเสียหายถาวรได้ ซึ่งลูกผมได้รับผลกระทบมากพอสมควร ทำให้เราต้องมาตั้งต้นใหม่ และขับสารปรอทด้วยวิธีที่ถูกต้อง***
เมื่อศึกษางานวิจัยเพิ่มเติมต่อไปเรื่อยๆ โรคส่วนใหญ่ที่รักษาไม่หาย จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรอทและแคนดิด้าทั้งหมด
แต่นั่นก็จะเป็นส่วนที่การแพทย์ไม่เข้าไปศึกษาตรงนั้น เพราะตัวการของสารพิษยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าอาจมาจาก
วัคซีนและอมัลกัม (ที่อุดฟันสีเงินที่คนส่วนใหญ่อุดกัน) ด้วยความที่เป็นประเด็นอ่อนไหว และไม่มีงานวิจัยที่ยืนยัน
ได้เด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดโรคเหมือนๆกัน หรือเป็นโรคอย่างเดียวกัน ในเด็กทุกๆคน
ทำให้ถึงแม้ว่า วงการวิทยาศาสตร์จะรู้ดีว่าพวกมันคือสารพิษที่อันตราย แต่ก็ไม่สามารถออกมาโต้แย้งได้
ปรอทและโลหะหนักอื่นๆเป็นสารพิษแบบที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อและสมอง อาการ (โรค) จะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อคนๆนั้น
สะสมสารพิษมากจนร่างกายรับไม่ไหวแล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไม ทุกคนที่ได้รับ จึงไม่เกิดโรคเหมือนๆกัน
แต่สุดท้ายแล้ว ในที่สุดก็มีการแบนอมัลกัมในยุโรป ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ หลังจากที่มีการทดลองที่ทำให้เห็นว่ามี
ไอปรอทออกมาจากฟันอยู่ตลอดเวลาจริงๆ แม้ว่าจะฟันธงไม่ได้ว่าเป็นสาเหตุของโรค แต่ก็ต้องแบนเพราะความเป็นพิษ
ของตัวมัน อย่างไรก็ตาม ประเทศส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่พัฒนา ยังคงใช้อมัลกัม และผมเคยสอบถามดู
ก็ยังเจอทันตแพทย์ที่บอกว่าอมัลกัมนั้นปลอดภัยอยู่เลย...
สิ่งที่น่ากลัวคือ เด็กๆที่เลือกอุดฟันด้วยอมัลกัม และผู้ใหญ่ที่มีอมัลกัมในฟันจำนวนมาก มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วนั้น
สารปรอทจะเข้าไปสะสมอยู่ในสมองมากแค่ไหน...
ผมต้องศึกษาจากอาการของลูก ผลกระทบที่มาจากรอบด้าน ทำไมลูกถึงเกิดอาการมากขึ้นเมื่อเจอคลื่นไฟฟ้า
สิ่งเหล่านี้ต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง ต้องศึกษาด้วยตัวเองทั้งหมด จนเริ่มเห็นความเชื่อมโยงระหว่าง
สิ่งมีชีวิตเล็กๆในร่างกายอย่างยีสต์แคนดิด้า ที่พบอยู่ในงานวิจัยจำนวนมาก กับสารพิษโลหะหนักโดยเฉพาะปรอท
ซึ่งเรื่องของยีสต์ก็ทำให้ต้องศึกษาค้นคว้าเรื่องของไมโครไบโอม (ประชาคมจุลินทรีย์ในลำไส้)
การที่ผลกระทบเกิดจากหลายสิ่งหลายอย่างที่มาจากสิ่งแวดล้อม การใช้ยา สารเคมี ในแบบที่เป็นการสะสม
ทำให้เห็นได้ว่า สาเหตุของโรคนั้น จะต้องมีคำอธิบายที่สามารถเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน
จากบทความและข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ไม่สามารถหางานวิจัยแค่ชิ้นสองชิ้นมาอธิบายต้นเหตุของโรคได้
การสะสมของสารพิษตลอดชีวิต และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก ทำให้แต่ละคนมีภาระของสารพิษไม่เท่ากัน (toxic burden)
ลักษณะแบบนี้ทำให้เราไม่สามารถควบคุมตัวอย่างสำหรับงานวิจัยได้เลย
งานวิจัยเดี่ยวๆนั้น กลับมีข้อมูลที่เป็นอันตรายมากกว่า เพราะกล้ายืนยันว่าวัคซีนหรืออมัลกัมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทำให้เกิดโรค จากการสรุปข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยไม่คำนึงถึงเรื่องช่องโหว่เกี่ยวกับภาระสารพิษในคนแต่ละคน
ซึ่งไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ เพราะปริมาณสารพิษที่อยู่ในสมอง จะต้องเอาสมองมาผ่าออกเท่านั้น ถึงจะพบ
ปริมาณสารพิษสะสมที่แท้จริง
สิ่งที่จำเป็นสำหรับการศึกษาค้นคว้าในเรื่องโรคที่มาจากสารพิษ จึงต้องอาศัยเรื่องของสามัญสำนึก หรือ common sense
เป็นสำคัญ เพราะว่าเราไม่สามารถนำสมองของคนไข้มาผ่าออก เพื่อดูปริมาณโลหะหนักที่สะสมอยู่ในนั้นได้เลย
การ challenge test ที่หมอใช้ chelator ดึงเอาสารพิษจากเนื้อเยื่อออกมาให้ตรวจพบนั้นก็ไม่ได้ให้ค่าที่แท้จริง
ซ้ำร้ายยังทำให้เกิดการย้อนกระจายกลับอย่างหนักอีกด้วย
ข้อมูลนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งผมอยากให้ทุกคนที่ได้รับผลกระทบ เป็นโรคติกส์หรือโรคอื่นๆ ได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
จึงเขียนออกมาเป็นหนังสือ Revelation ซึ่งมันจะมีคำอธิบายและข้อมูลที่ชัดเจนมากที่สุด
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่เราจะเดินไปหาแพทย์เพื่อขับสารพิษ มันมีรายละเอียด ข้อควรระวัง และอันตรายต่างๆที่จะตามมา
หากตัวเราไม่รู้ข้อมูลให้ครบทั้งหมด ไม่เช่นนั้นสมาคมการแพทย์คีเลชันไทยคงไม่ถูกต่อว่าเรื่องการขับสารพิษให้กับผู้ที่ไม่ได้รับ
สารพิษในที่ทำงาน แต่เป็นผู้ป่วยจากโรคอื่นๆ ผมพบว่าคีเลชันมีอันตรายมากจริงๆ
ซึ่งแต่ละคนก็ควรศึกษาว่าการย้อนกระจายกลับนั้นคืออะไร เพราะมีอาหารและยามากมายที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ได้
ทำให้การขับสารพิษต้องใช้ ALA โดสน้อยที่เหมาะสม และน้อยมากพอ ตามระยะครึ่งชีวิตเท่านั้น แล้วก็ยังมีกฎอื่นๆอีกมากมาย
การที่ลูกหายจากติกส์ได้เอง ก็จะทำให้พลาดโอกาสที่จะขับสารพิษออกจากสมอง มันจะอยู่ในนั้นแล้วทำให้เกิด
ออกซิเดทีฟสเตรสไปเรื่อย ๆ สร้างความเสียหายให้กับสมองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในที่สุด
สมองก็จะต้องทำงานผิดปกติ และอาจมีอาการอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้อีก
ผมมีแต่ข้อมูล แต่ไม่มีขายยาครับ ไปหาซื้อกันเอง