JJNY : ย้อนมอง‘พันธมิตรชานม’/เยียวยากลุ่มเปราะบางล่าช้า-ไม่ทั่วถึง/สุทินเตรียมหารือ/เทพไทชี้ต้องตั้งกมธ./ติดเชื้อเพิ่ม11

เสวนาหลังหย่าศึก! ย้อนมอง ‘พันธมิตรชานม’ ไขปมวัยรุ่นไทย ‘อินจัด’ ชี้ ‘สู้กันระดับประชาชน’
https://www.matichon.co.th/politics/news_2206649
 

 
เสวนาหลังหย่าศึก! ย้อนมอง ‘พันธมิตรชานม’ ไขปมวัยรุ่นไทย ‘อินจัด’ ชี้ ‘สู้กันระดับประชาชน’
  
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) จัดเสวนาออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Foreign Correspondents’ Club of Thailand – FCCT หัวข้อ “พันธมิตรชานม : การทูตยุคโซเชียลมีเดีย?” วิทยากรโดย นายธีรภัทร เจริญสุข นักเขียนชาวหนองคาย เจ้าของบทวิเคราะห์ในประเด็นลุ่มแม่น้ำโขงกับจีน และประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไต้หวัน, รศ.ดร.สิทธิพล เครือรัฐติกาล ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษาและอาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไต้หวัน, น.ส.หทัย เตชะกฤตธีรนันท์ ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย หนังสือพิมพ์เดอะสเตรต์สไทมส์ และนายชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน
 
น.ส.หทัย กล่าวว่า เรื่องนี้เกิดจากช่างภาพชาวไทยแชร์ภาพผ่านทวิตเตอร์จำนวน 4 ภาพ พร้อมระบุว่ามาจาก 4 ประเทศคือฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไทย ต่อมา “ไบร์ท วชิรวิชญ์ ชีวอารี” นักแสดงหนุ่ม รีทวีตข้อความดังกล่าว เสมือนเป็นการสนับสนุนว่าฮ่องกงเป็นประเทศจริง กระทั่งมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ชาวจีนมาเปิดประเด็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ช่างภาพรายดังกล่าวได้ทวีตข้อความใหม่ พร้อมกล่าวขออภัยว่าไม่ได้มีเจตนาสร้างความแตกแยก โดยลง 4 ภาพเดิม แต่ระบุว่า ถ่ายจาก 4 สถานที่ ขณะที่นักแสดงหนุ่มก็ออกมาขอโทษจากการรีทวีต ระบุว่าไม่ตั้งใจ พร้อมสัญญาว่าระมัดระวังกว่านี้
  
น.ส.หทัยกล่าวว่า วันแรกๆ ของเหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่มีแฮชแท็กใดเกิดขึ้น แต่เริ่มมีในภายหลัง ขณะเดียวกันชาวฮ่องกงและไต้หวันรู้อยู่แล้วว่า ไม่ได้เป็นประเทศ แต่ใช้ข้อความนี้เป็นการแสดงออก พร้อมแสดงจุดยืนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความไม่พอใจของชาวเน็ตจีนทำให้เริ่มออกมาวิจารณ์การทำงาน การบริหารประเทศของรัฐบาลไทย แต่สิ่งที่ชาวจีนคาดไม่ถึงคือ คนไทยไม่ได้รู้สึกแย่ ทั้งนี้ จากการติดตามในฐานะผู้สื่อข่าวพบว่าทวิตเตอร์เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการแสดงความเห็นทางการเมือง คนส่วนใหญ่ในทวิตเตอร์เท่าที่พบคืออายุยังน้อย เช่น นักเรียน นักศึกษา ซึ่งแนวคิดทางการเมืองแตกต่างค่อนข้างมากจากผู้ใช้เน็ต หรือคนอีกเจนเนอเรชั่นหนึ่ง สะท้อนว่าสังคมไทยและหลายประเทศสามารถเห็นช่องว่างระหว่างวัยได้อย่างชัดเจน
  
“หลังจากคนไทยโต้ตอบกลับอย่างสนุกสนานทำให้เกิดมีม (meme) ขบขันมากมาย ขณะเดียวกันภาคประชาชนที่ใช้โซเชียลในไต้หวันเริ่มรู้สึกว่ามีคนมาช่วยตัวเองแล้ว กลายเป็นดราม่าที่เกิดขึ้นท่ามกลางประเด็นหลายอย่างระหว่างประเทศอยู่แล้ว ต่อมา โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกง ทวีตข้อความสนับสนุนไทย อีกทั้งนักการเมืองของไต้หวันเข้ามาขอบคุณคนไทยด้วยเช่นกัน ตลอดจนไช่ อิงเหวิน ประธานาธิดีไต้หวัน ทวีตอวยพรชาวไทยเป็นภาษาไทยเนื่องในวันสงกรานต์ นี่เองคนไทยหลายคนมองว่าเป็นการสนับสนุนไทยหรือไม่ หรือเป็นบ่อเกิด #พันธมิตรชานม หรือไม่
  
“ดราม่ากลับมาอีกครั้งเมื่อสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ถึงเรื่องนี้ทางเฟซบุ๊ก เสมือนจุดชนวนรอบ 2 พร้อมมีแฮชแท็กใหม่คือ #ชานมข้นกว่าเลือด ทำให้คนไทยบางส่วนแสดงความเห็นต่อต้าน ต่อมาเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้ออกมาให้กำลังใจชาวไทยในการผ่านพ้นโควิด-19 โดยนำเอานักแสดงชาวจีนมาร่วมให้กำลังใจ จังหวะเดียวกันนี้มีรายงานจากอเมริกาที่นำเสนอว่ามีการทำรีเสิร์ชว่าเขื่อนที่จีนสร้าง 11 แห่งในลุ่มแม่น้ำโขง มีส่วนทำให้เกิดภัยแล้งในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะเกิดประเด็นนี้อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนว่า ทางการจีนไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามชี้แจงว่าจริงๆ แล้วภัยแล้งในภูมิภาคนี้ไม่ได้มาจากเขื่อน แต่เพราะน้ำน้อยผิดปกติในรอบปีที่ผ่านมา” น.ส.หทัยกล่าว
  
นายธีรภัทรกล่าวว่า เรื่องพันธมิตรชานมส่วนมากเริ่มจากวัฒนธรรมป๊อบคัลเจอร์และคนอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งเป็นฐานผู้ใช้หลักของทวิตเตอร์ เห็นได้ว่าผลงานสร้างสรรค์ทั้งหลายเกี่ยวข้องกันอย่างมากกับการเมืองยุคใหม่ของไต้หวัน โดยหลังปี 2016 เป็นต้นมา หลังจากไช่ อิงเหวิน เป็นประธานาธิบดี พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้นำเสนอ 2 นโยบายซึ่งส่งผลต่อการเมืองระหว่างประเทศและนโยบายสร้างสรรค์ของเยาวชน คือการมุ่งใต้ครั้งใหม่ของไต้หวัน โดยให้โอกาสแก่ประเทศในตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเยาวชนในการให้ทุนไปเรียนต่อที่ไต้หวัน อีกประการคือการสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เรื่องการออกแบบ วาดภาพ พร้อมนำแอนิเมชั่นเข้ามาสื่อโซเชียลยุคใหม่ กระทั่งนักการเมืองไต้หวันก็ใช้การสื่อสารผ่านโซเชียลมากขึ้น
 
นายธีรภัทรกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไต้หวันมีข้อพิพาทกับจีนแผ่นดินใหญ่เรื่องนโยบายที่แตกต่างกัน โดยข้อพิพาทนี้ทำให้ปี 2014 เกิดปฏิวัติดอกทานตะวัน  เกิดนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ และมีการใช้ภาพวาดแอนิเมชั่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่ชาวจีนอาศัย VPN เข้ามาก่อดราม่าครั้งนี้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจภาษาและวัฒนธรรมกัน คนจีนพูดมา แต่เราไม่เจ็บ จึงทำให้คนฮ่องกงกับไต้หวันรู้สึกว่ามีคนที่ต่อกรกับกลุ่มชาวเน็ตจีนที่บูลลี่ตนมา 5-6 ปีได้แล้ว เสมือนชาวเน็ตไทยเป็นผู้มาโปรด
 
“เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ วัยรุ่นไทยรู้สึกอิน เพราะเป็นการต่อสู้กันระดับประชาชนกับประชาชน แม้กระทั่งงานการ์ตูน งานคอสเพลย์ หรือสำนักพิมพ์ไทยก็ขายลิขสิทธิ์ให้ไต้หวัน ส่วนหนึ่งก็เพื่ออ้อมไปขายที่จีนแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ยังมีเรื่องนิยายชายรักชาย และ LGBT อีกจำนวนมาก ซึ่งกระทบไปถึงจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะ 2-3 ปีให้หลังมีการปราบปราม เพราะมองว่าไม่เหมาะสม ทำให้นักเขียน นักสร้างสรรค์ต่างๆ ต้องอพยพมาใช้แพลตฟอร์มไต้หวันมากขึ้น ดังนั้น ไต้หวันจึงเป็นจุดเชื่อมศูนย์กลางระหว่างไทยและจีนแผ่นดินใหญ่ในการเผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้
  
“ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ชาวเน็ตที่เป็นวัยรุ่นไทยในภาคประชาชนมีความรู้สึกที่เข้าข้างไต้หวันมากกว่าที่จะเข้าข้างจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมมองว่าจีนวางอำนาจต่อประเทศหรือคนที่เล็กกว่า ซึ่งชาวเน็ตจีนแผ่นดินใหญ่ก็มองว่า ตัวเองเป็นพี่ใหญ่ พูดอะไรก็ได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจ และเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างพันธมิตรของชาวเน็ต เพื่อต่อต้านกลุ่มที่กลั่นแกล้งข่มเหง” นายธีรภัทรกล่าว
  
https://www.facebook.com/FCCThailand/videos/179656066743433/
 

 
อัด กลางสภา "เยียวยากลุ่มเปราะบาง" ล่าช้า-ไม่ทั่วถึง
https://www.thansettakij.com/content/politics/436364
 
จิรวัฒน์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อัด รัฐบาลดิจิทัล 4.0 ย้ำ ทำงานไม่รัดกุม ทำให้ต้องขยายกลุ่มผู้ได้รับการเยียวยาหลายครั้ง กระบวนการเยียวยากลุ่มเปราะบาง เกิดความล่าช้า-ไม่ทั่วถึง
 
ในการอภิปรายพรก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย กฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563, พรก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และ พรก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นกฎหมายจำเป็นเร่งด่วนและมีการบังคับใช้แล้วก่อนที่จะส่งให้สภาผู้แทนราษฎร ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งดำเนินการอภิปรายมาเป็นวันที่ 2 แล้วนั้น
 
ตอนหนึ่ง นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทรับมือโควิด-19 กรณีวงเงิน 5.5 แสนล้านบาทที่จะนำมาเยียวยาประชาชนนั้น เมื่อย้อนกลับไปดูการทำงานเยียวยาในช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาลโดยเฉพาะกระบวนการลงทะเบียนเพื่อรับการเยียวยาที่เกิดกรณีเว็บล่มตั้งแต่วันแรกที่มีการลงทะเบียนเยียวยา ต่างจากสิ่งที่รัฐเคยประกาศว่า ใช้ระบบ AI ในการคัดกรอง ขณะที่ประชาชนต้องพบเจอการปฏิเสธสิทธิ์อย่างผิดพลาดกับการระบุสถานะ อาชีพ ฯลฯ ที่เลวร้ายที่สุด คือ ประชาชนมากมายไม่อาจเข้าถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่มีทั้งอุปกรณ์ ไม่มีทั้งอินเทอร์เน็ต ต้องเดือดร้อนไปจ้างวานผู้อื่นให้ลงทะเบียนแทน
 
สิ่งที่ง่ายที่สุดที่ทำได้ ณ ตอนนั้น คือ ส่วนราชการต้องให้บริการประชาชนอย่างที่พรรคก้าวไกลเองตั้งจุดบริการรับกรอกข้อมูลส่วนนี้ ตนจึงมีคำถามว่า AI ที่ว่านั้นมีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการโฆษณาว่า เป็นรัฐบาลดิจิทัล 4.0 ในขณะที่ผู้ทำระบบเองซึ่งผ่านการทำ ชิมช้อปใช้, เราไม่ทิ้งกัน มาแล้ว ออกมาเปิดเผยผ่านการไลฟ์ว่า AI ที่ใช้เป็นแบบพื้นฐาน ยังต้องอาศัยแรงงานคนกรอกข้อมูล หมายความว่าสุดท้ายรัฐต้องนำข้อมูลกว่า 28 ล้านข้อมูลนั้นไปให้ข้าราชการตรวจสอบอยู่ดี ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมจึงไม่ใช้ฐานข้อมูลที่รัฐมีอยู่แล้วมาตั้งแต่ต้นอย่างที่หลายๆ ประเทศทำกัน ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนงานรวดเร็วโดยอาจใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ถ้ารัฐทำตามฐานข้อมูลมาตั้งแต่ต้น งบประมาณที่ใช้วันนี้กับสิ่งที่จ่ายตรงไม่ต่างกัน สรุปได้เลยว่าการดำเนินงานของกระทรวงการคลัง ล่าช้า ผิดพลาด และไม่มีประสิทธิภาพ
 
นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า การทำงานที่ไม่รัดกุมในการเยียวยายังส่งผลให้เห็นเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบาย โดยต้องมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึง 4 ครั้ง ขยายผู้ได้รับการเยียวยาเรื่อยๆ จาก 3, 9, 14 และ 16 ล้าน แสดงให้เห็นถึงความไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่เคยใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการคิด และยังเกิดกรณีการจ่ายเงินเยียวยาที่ล่าช้า แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการทำงานและยังมีการหยุดชะงักในวันหยุดราชการ จากวันที่เริ่มจ่ายวันแรก 8 เมษายน ถึงขณะนี้มีวันหยุดที่ประชาชนจะต้องบวกเพิ่มการรอไปแล้วถึงกว่า 10 วัน ตนอยากจะบอกว่าราชการหยุดแต่ความหิวของคนไม่มีวันหยุด จะอ้างว่าโอนเงินไม่สะดวกระบบธนาคารปิดก็ไม่อาจอ้างได้ เพราะพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นให้อำนาจเต็ม ในขณะที่ผู้ปฏิบัติราชการมากมายกลับเอาอำนาจจาก พรก. นี้มาใช้หาประโยชน์จากประชาชน
 
ในฐานะที่เป็น ส.ส. ขอเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้ไปพบกับประชาชนผู้พิการกว่าร้อยคนในบ้านของพวกเขาเองจากการที่ไปเยี่ยมพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียงที่ยิ่งลำบากในสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งแม้คณะรัฐมนตรีจะมีมติเมื่อ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพิ่มเงินผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท 2 ล้านคน แต่จะจ่ายเดือนตุลาคม 2563
 
อย่างไรก็ตาม 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ครม. เพิ่งมีมติเยียวยากลุ่มผู้เปราะบาง ประกอบด้วย เด็ก 0-6 ปี 1.4 ล้านคน ผู้สูงอายุ 9 ล้านคน ผู้พิการ 2 ล้านคน แต่ทั้งหมดนั้นก็ช้าไปและไม่ทั่วถึง คิดเพียงจำนวนเด็กอย่างเดียวก็เกินที่รัฐระบุตัวเลขจะเยียวยาแล้ว แสดงว่า แม้ในเด็กก็ยังต้องมีการพิสูจน์ความจน ซึ่งถ้าเป็นพรรคก้าวไกลขอเสนอว่า เด็ก อายุ 0-18 ปี ให้จ่ายเยียวยารายละ 3,000 บาท ต่อ 3 เดือนถ้วนหน้า นายจิรวัฒน์กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่