JJNY : ​​​​​​​กลุ่มCAREถก ไม่ตั้งพรรค/ธนาธรชวนดูชำแหละพ.ร.ก.กู้เงิน/สาคูต้น พืชที่อาจสูญพันธุ์/ทั่วโลกติดโควิดกว่า 5.6ล.

กลุ่ม CARE ถก ไม่ตั้งพรรค เน้นชงทางแก้วิกฤต เปิดเพจดันแก้รธน.ไม่ไล่รบ. เล็งเปลียนชื่อกลุ่ม
https://www.matichon.co.th/politics/news_2203523
 
 

กลุ่ม CARE ถก ไม่ตั้งพรรค เน้นชงทางแก้วิกฤต เปิดเพจดันแก้รธน.ไม่ไล่รบ. เล็งเปลียนชื่อกลุ่ม
 
เมื่อวันที่  26 พฤษภาคม  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีนัดพบปะพูดคุยกันของกลุ่ม CARE กว่า 30 คน ที่อาคารแห่งหนึ่ง ย่านพระราม 9 โดยมีบุคคลสำคัญ เช่น ผู้ที่เคยร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย(ทรท.)  ได้แก่ นายพงษ์ศักดิ์ รัตพงศ์ไพศาล นายภูมิธรรม เวชยชัย นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช นพ.สุรพงษ์ สืบวงค์ลี และกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม นักวิชาการ นักสื่อสารมวลชน  กลุ่มทำงานด้านไอที ด้านสตาร์ทอัพ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อหาทางออกให้กับประเทศหลังวิกฤตโควิด ซึ่งเป็นการพูดคุยครั้งแรกอย่างเป็นทางการ หลังจากมีการทาบทามมาก่อนแล้ว
 
ผู้สื่อข่าวรายงานวา การประชุมดำเนินไปกว่า 3 ชั่วโมง โดยที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จะยังไม่ตั้งพรรคการเมืองในเวลานี้ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวย โดยจะมุ่งเน้นการผลิตแนวคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ รวมถึงข้อเสนอและทางออกของประเทศในช่วงวิกฤต ผ่านช่องทางต่างๆ โดยในสัปดาห์หน้า จะเปิดแพลตฟอร์มทางออนไลน์ ผ่านเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ เพื่อเผยแพร่แนวคิดต่อไป
 
ที่ประชุมยังวางกรอบระยะสั้น คือให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตปกติ และคลายล็อกทั้งหมด พร้อมกำหนดมาตรการการป้องกันโรคโดยไม่จำเป็นต้องบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเคอร์ฟิว โดยจะเตรียมจัดทำ ข้อเสนอในเร็วๆ นี้
 
ส่วนกรอบระยะกลางคือ 150 วัน โดยคำนวณจากไตรมาสทางเศรษฐกิจ ทางกลุ่มเห็นตรงกันว่า หลังจาก 150 วัน วิกฤตเศรษฐกิจจะหนักมาก เนื่องจากพ้นระยะที่รัฐบาลเยียวยาวิกฤตโควิด ทางกลุ่มจะนำเสนอการแก้ปัญหาระยะสั้นนี้ต่อสังคม เพื่อให้พ้นวิกฤตในเร็วๆนี้
 
ส่วนระยะยาวคือ 2 ปีต่อจากนี้ ทางกลุ่มประเมินว่า ปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ ส่งผลต่อการเมืองภายในประเทศ จึงเห็นตรงกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีปัญหาอย่างมากต่อเศรษฐกิจ ทำให้ประเทศเสียหายอย่างหนักในอนาคต ด้วยความยุ่งยากในการดำเนินการหลายด้าน แต่ติดตรงที่การแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนบางอย่างขัดต่อรัฐธรรมนูญ
 
ดังนั้นทางกลุ่มเห็นตรงกันที่จะรณรงค์ครั้งใหญ่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้นำไปสู่การปลดล็อกเรื่องดังกล่าว และผลประโยชน์จากการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่าการขับไล่รัฐบาล ทั้งนี้ ทางกลุ่มยังเห็นตรงกันว่าจะไม่ใช้ชื่อกลุ่ม CARE และมีชื่อใหม่ให้เลือก เช่น ACT , WE MOVE หรือ Chance For Change โดยจะพูดคุยกันในครั้งหน้า และคาดว่าจะมีการทาบทามบุคคลอีกจำนวนหนึ่งเพิ่มอย่างแน่นอน
 

 
'ธนาธร' ชวนดูสภาชำแหละ พ.ร.ก.กู้เงิน ชี้วงเงิน 1 ล้านล้าน มี 7หน้า เฉลี่ยหน้าละ 1.4 แสนล้านล้าน
https://voicetv.co.th/read/4BupwKHTo
 
อดีตหัวหน้า อนค. ชวนติดตามประชุมสภาอภิปราย 3 พ.ร.ก.กู้เงินแก้วิกฤตโควิด-19 พร้อมชำแหละ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ระดับตัวอักษรเทียบกับเม็ดเงินพบสูงลิบ ชี้รายละเอียดน้อยยิ่งต้องตรวจสอบเข้มข้น เชื่อ ส.ส.ก้าวไกล ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
 
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และแกนนำคณะก้าวหน้า เผยแพร่คลิปวีดีโอผ่านเฟชบุ๊ก เชิญชวนประชาชนติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการพิจารณาเรื่องสำคัญ คือ พ.ร.ก.เกี่ยวกับการใช้เงินถึง 3 ฉบับ ได้แก่ 
 
1. พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563
 
2. พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
 
3. พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 ซึ่งจะมีการอภิปรายกฎหมายทั้ง 3 ฉบับระหว่างวันที่ 27-31 พ.ค.นี้
 
โดยนายธนาธร กล่าวว่า พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับนี้ วงเงินรวมกัน 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการใช้เงินของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงสำคัญกับอนาคตของประเทศ ถ้าใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตอบสนองความต้องการประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีการทุจริตคอร์รัปชัน ในอนาคตลูกหลานของเราก็จะต้องมาเป็นผู้ใช้คืน ตรงกันข้ามถ้าใช้อย่างดี มีการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ไม่ทุจริต ไม่เอาไปช่วยเหลือเจ้าสัวรายใดรายหนึ่งโดยเฉพาะ ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศและพาประเทศไทยไปได้ไกลกว่านี้ ดังนั้น เป็นความจำเป็นของประชาชน ของ ส.ส.ที่ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นผู้แทน ที่จะต้องทำหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบเสนอแนะทำให้การใช้เงินในครั้งนี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
 
ชำแหละ 3 พ.ร.ก.
 
นายธนาธร กล่าวว่า พ.ร.ก. ฉบับแรก รายละเอียดคือ ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาท เนื้อหาใน พ.ร.ก.ฉบับนี้คือแบ่งเงินเป็น 3 ก้อน ก้อนแรกจำนวน 45,000 ล้านบาท นำไปเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข ก้อนที่สองจำนวน 550,000 ล้านบาท นำไปเยียวยาพี่น้องประชาชน ก้อนที่สามจำนวน 400,000 ล้านบาท นำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
 
พ.ร.ก.ฉบับที่สอง คือ ปล่อยกู้ให้ SMEs วงเงิน 5 แสนล้านบาท เนื้อหาใน พ.ร.ก.ฉบับนี้คือเพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับธุรกิจ SMEs โดยไม่ล้มละลาย ไม่สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยให้กู้กับธนาคารพาณิชย์หรือจะให้กู้ในรูปแบบการซื้อตั๋วเงิน ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี แล้วธนาคารพาณิชย์นำไปปล่อยกู้ให้ธุรกิจ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าข่ายจะได้รับสิทธิในกฎหมายฉบับนี้ จะต้องมีวงเงินสินเชื่ออยู่กับธนาคารพาณิชย์ไม่เกิน 500 ล้านบาท วันที่ 31 ธ.ค.2562 สามารถเข้าไปขอกู้ได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของวงเงินที่คงค้างอยู่กับธนาคาร ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกยังไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย โดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะเป็นผู้รับดอกเบี้ยนั้นไว้
 
สุดท้าย พ.ร.ก.รักษาเสถียรภาพการเงิน วงเงิน 4 แสนล้านบาท เนื้อหาใน พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะมีกองทุนใหม่ตั้งขึ้นมาเพื่อซื้อหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ของบริษัทเอกชน กองทุนมีความใหญ่โต 4 แสนล้านบาทจะใช้โดยคณะกรรมการลงทุน ที่ถูกตั้งมาโดยกฎหมายนี้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้คณะกรรมการลงทุนจะซื้อหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนอันใดต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้ ประการแรกเป็นหนี้ใหม่ที่ตราขึ้นมาเพื่อไถ่ถ้อนหนี้เดิมที่ครบกำหนดเท่านั้น ประการที่สอง ต้องเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยเท่านั้น ประการที่สาม กองทุนนี้ไม่สามารถซื้อหุ้นกู้ได้เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าหุ้นกู้ชุดนั้นที่ออกมาทั้งหมด และประการสุดท้ายหุ้นกู้ที่ออกมาต้องมีความน่าเชื่อถือใน "ระดับที่ลงทุนได้" ที่รับประกันโดยบริษัทที่จัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับรองเท่านั้น
 
เทียบมูลค่าพบ พ.ร.ก.บางฉบับตกตัวอักษรละ 96 ล้านบาท
 
โดยนายธนาธร ยังยกตัวอย่าง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ฯ วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่มีเอกสาร 7 หน้า จำนวน 148 บรรทัด 10,375 ตัวอักษร ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนเงินกู้ เฉลี่ยหน้าละ 1.4 แสนล้านล้านบาท หรือบรรทัดละ 6,800 ล้านบาท หรือตัวอักษรละ 96 ล้านบาท ทั้งนี้ จะเห็นว่าเอกสารที่แนบมา หรือตัว พ.ร.ก. เอง มีรายละเอียดน้อยมากกับเม็ดเงินที่ใช้ ดังนั้น เป็นหน้าที่ประชาชน เป็นหน้าที่ตัวแทนประชาชน ซึ่งก็คือ ส.ส.ในสภา ที่จะตรวจสอบ ให้ข้อเสนอแนะ วิพากษ์วิจารณ์ทั้งเนื้อหาและกระบวนการการใช้เงินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
 
"อยากให้พวกเราติดตามการอภิปรายของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานผม เชื่อว่าจะทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้อย่างสมเกียรติของการเป็นผู้แทนอย่างที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยทำได้มาแล้วในนามของพรรคอนาคตใหม่ มาช่วยให้กำลังใจพวกเขาด้วยกัน มาร่วมกันตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ และเสนอแนะการใช้เงิน 1.9 ล้านล้าน บาท เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของประชาชน เพื่อให้เงินก้อนนี้เป็นประโยชน์กับประเทศไทย และพาประเทศไทยไปข้างหน้า ไม่เช่นนั้นแล้ว เงินก้อนนี้จะเป็นภาระไปชั่วลูกชั่วหลาน" นายธนาธร กล่าว

https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/videos/294999131664453/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่