[CR] 2gether The Series: การถูกหวยรางวัลใหญ่ของ GMMTV

**หมายเหตุ : เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**


หากจะพูดถึงซีรีส์ที่เป็นกระแสบนโซเชียลมากที่สุดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ คงไม่มีเรื่องไหนมาแรงเกินไปกว่าซีรีส์วายเรื่องล่าสุดจาก GMMTV อย่าง “คั่นกู” หรือในชื่อทางการ “2gether The Series เพราะเราคู่กัน” เป็นแน่ 

ไม่ว่าคุณจะเคยดูหรือไม่เคยดูซีรีส์วายมาก่อนก็ตาม จะติดตามหรือไม่เคยติดตามนักแสดงมาก่อนเป็นการส่วนตัว แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของซีรีส์ “คั่นกู” ในช่วงสามถึงสี่เดือนที่ผ่านมานั้นได้กลายเป็นชื่อที่ทุกสื่อล้วนแต่พูดถึง ซึ่งเดิมทีตัวซีรีส์ก็เป็นกระแสในหมู่คนที่ติดตามซีรีส์วายอยู่แล้วในระดับหนึ่ง ต่อมาภายหลังจับพลัดจับผลูไปเป็นชนวนเหตุของดราม่ายิ่งใหญ่ระดับโลกระหว่างไทย-จีน-ฮ่องกง-ไต้หวันอันโด่งดังอีก ยิ่งทำให้คนนอกที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยดูซีรีส์วายมาก่อนให้ความสนใจมากยิ่งขึ้นในตัวซีรีส์ จนมีการนำไปวิเคราะห์ ตีความ ทั้งในแง่ของการเป็นสื่อให้ความบันเทิง และในแง่ความบันเทิงที่แฝงไว้ด้วยบริบททางการเมือง สังคม วัฒนธรรม กลายเป็นที่พูดถึงเกินกว่าจะเป็นแค่ซีรีส์ขายความบันเทิงเฉพาะกลุ่มเพียงอย่างเดียว 

 

คั่นกู – แรงกระเพื่อมครั้งสำคัญของซีรีส์วายไทย


อุตสาหกรรมซีรีส์วายไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่โปรเจก ‘เลิฟซิค เดอะซีรีส์’ ได้ถือกำเนิดขึ้นและประสบความสำเร็จจนสร้างแนวทางใหม่ให้กับวงการบันเทิงรวมถึงเป็นรากฐานสำคัญให้กับซีรีส์วายไทยที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา นับตั้งแต่นั้นหน้าจอทีวี (รวมถึงจอโทรศัพท์) ก็ไม่เคยว่างเว้นจากซีรีส์วายเลย หลายค่ายเริ่มหันมาสร้างซีรีส์วายของตัวเองกันมากขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มสาววายที่จากเดิมเคยเป็นแค่กลุ่มผู้ชมเฉพาะกลุ่มเล็กๆ มาวันนี้กลายเป็นกลุ่มผู้ชมที่มีกำลังซื้อและแรงสนับสนุนมากเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรมบันเทิงไม่ใช่เฉพาะแค่ในไทยแต่รวมถึงต่างประเทศอีกด้วย 

อย่างไรก็ตามแม้การเติบโตของซีรีส์วายจะอยู่ในช่วงขาขึ้น ทว่ากลับมีเพียงซีรีส์วายเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “ประสบความสำเร็จ” และยากไปกว่านั้นต่อให้เรียกว่าประสบความสำเร็จแล้ว ความสำเร็จของมันก็ไม่อาจมากเกินไปกว่าในกลุ่มของผู้ชมที่ติดตามซีรีส์วายด้วยกันเอง เทียบกับการรับรู้ของกลุ่มผู้ชมกลุ่มอื่นๆ ที่มี

ดูเผินๆ คั่นกูก็อาจเป็นเหมือนซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ ที่สร้างมาเพื่อกลุ่มผู้ชมที่เป็นสาววาย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทว่าด้วยปัจจัยหลายอย่างที่ประจวบเหมาะ – อาจรวมถึงโชคดีอย่างไม่คาดคิดด้วย – ทำให้คั่นกูสามารถพาตัวเองออกไปได้ไกลกว่านั้น กลายเป็นโด่งดังสุดขีด เป็นที่พูดถึงและรู้จักในชั่วข้ามคืน สร้างหมุดไมล์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมซีรีส์วายไทยได้อย่างน่าสนใจ
 

 
 
ซีรีส์แห่งยุคโควิด-19


การมาของซีรีส์คั่นกูนั้นจะเรียกได้ว่ามาถูกจังหวะแต่แรกก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะตัวซีรีส์เข้าฉายในจังหวะที่ประเทศกำลังเข้าสู่การควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ทั้งความบันเทิง วิถีการดำรงชีวิตของผู้คนล้วนแต่ได้รับผลกระทบ คั่นกูถูกมองว่าน่าจะเป็นซีรีส์ที่ได้รับผลตอบรับจากผู้ชมต่ำกว่ามาตรฐานจากการเข้าฉายผิดจังหวะในช่วงที่ต้องปิดเมืองบางส่วนจนทำให้ซีรีส์ขาดโอกาสที่จะโปรโมตตัวเองตามงานอีเวนท์ต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือนธรรมเนียมปฏิบัติของซีรีส์วายไทยแทบทุกเรื่อง ซึ่งการที่ซีรีส์ไม่สามารถนำนักแสดงมาออกงานได้นั้นย่อมส่งผลต่อรายได้ที่ค่ายจะได้รับ และอาจชี้เป็นชี้ตายความสำเร็จของซีรีส์และตัวนักแสดงได้เลยทีเดียว

ทว่าที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคั่นกู เพราะดูเหมือนนอกจากซีรีส์แทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการที่ไม่ได้ออกงานอีเว้นท์แล้ว (อาจจะกระทบในช่วงแรกๆ แต่ก็มาแก้เกมได้ภายหลัง) ตรงกันข้ามกลับประสบความสำเร็จสวนทางกับความซบเซาของวงการบันเทิงที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้อีก โดยคั่นกูสามารถทะลวงสิ่งที่เรียกว่า “กำแพง” ของการเป็นซีรีส์เฉพาะทางเข้าไปเจาะกลุ่มผู้ชมกลุ่มใหม่นอกจากสาววายที่ไม่เคยดูหรือติดตามซีรีส์วายมาก่อนให้หันมาติดตามดูซีรีส์กันมากขึ้นในระหว่างการกักตัวอยู่บ้าน นับเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าและมีมูลค่าทดแทนโอกาสที่เสียไปจากการที่ไม่ได้ออกงานอีเวนท์ 


แต่การจะบอกว่าเพราะโควิด-19ทำให้คนเปิดดูซีรีส์คั่นกูเพียงอย่างเดียวก็ดูจะเป็นคำกล่าวที่เกินจริงและเหมารวมเกินไปหน่อย ยังมีซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ ที่ออกอากาศในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับคั่นกูและอาจได้อานิสงส์แบบเดียวกันกับที่คั่นกูทำได้ แต่สิ่งที่คั่นกูมีแต้มต่อมากกว่าซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่เพราะเนื้อหาหรือความสดใหม่ของเรื่องราว ไม่ใช่เพราะโปรดั๊กชั่นที่ทุ่มทุนสร้างหากเทียบกับละครดังเรื่องอื่นๆ (นี่เป็นจุดโหว่สำคัญด้วยซ้ำ) ไม่ใช่เพราะความสุขุมนุ่มลึกของตัวบทที่แฝงด้วยปรัชญาหรือการวิพากษ์สังคมอย่างแยบยล เพราะถ้าเอาซีรีส์มากางดูจริงๆ จะพบว่าคั่นกูเป็นซีรีส์ที่ค่อนข้างจะมาตรฐานต่ำกว่าซีรีส์เรื่องอื่นๆ ของแกรมมี่ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่ช่วยพยุงหัวให้ซีรีส์สามารถยืนหยัดอยู่ในแถวหน้าๆ ของซีรีส์วายไทยจนทำให้คนดูมองข้ามความบกพร่องต่างๆ ไปได้ นั่นคือพลังของนักแสดงนำทั้ง 2 ที่มารับบทนำในเรื่อง อันเป็นจุดแข็งสูงสุดที่ซีรีส์ทำได้เกินมาตรฐานซีรีส์วายเรื่องอื่นๆ ในขณะนี้

 
ไบร์ทวิน – ‘เดอะ แบก’ ที่แท้จริง


แต่ไหนแต่ไร ซีรีส์วายกับแอคติ้งแข็งเป็นหินของนักแสดงแทบจะเป็นคำสาปและของแสลงที่อยู่คู่กันมานับตั้งแต่ซีรีส์วายเรื่องแรกของไทยถูกสร้างขึ้น หากเรื่องไหนได้นักแสดงนำหน้าตาดี คาแรกเตอร์ชวนฝันตรงตามนิยาย ข้อเสียที่แลกมาคือฝีมือการแสดงที่ดิ่งลงเหวเข้าขั้นน่าเป็นห่วง ไม่ก็ทักษะการพูดที่แข็งเป็นหินเหมือนท่องจำบทมาจากบ้าน ในทางตรงกันข้ามหากเรื่องไหนได้นักแสดงนำที่มีทักษะพอดูได้ คาแรกเตอร์กลับไม่เป็นที่น่าจดจำเท่าไรนักหรือไม่ก็ตัวซีรีส์ไม่ได้เป็นกระแสมากพอให้คนพูดถึงเป็นวงกว้างจนกระทั่งถูกลืมไปในที่สุด แม้ว่าระยะหลังๆ ซีรีส์วายจะมีการพัฒนาและพิถีพิถันเรื่องบทและการคัดเลือกนักแสดงมากขึ้นแต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะทำได้แบบนี้ 


คั่นกูภายใต้การอำนวยการสร้างของ GMMTV ได้นักแสดงนำอย่าง “ไบร์ท วชิรวิชญ์” มารับบท “สารวัตร” และ “วิน เมธวิน” มารับบท “ไทน์” ดูเผินๆ แทบจะเป็นแคสต์และแพทเทิ่นมาตรฐานของซีรีส์วายไทยที่จับเอาไอดอลวัยรุ่นหน้าใส อาจจะมีหรือไม่เคยมีผลงานในวงการบันเทิงมาก่อนจับมาปั้นเพื่อให้แจ้งเกิดกับบทวาย ดังนั้นเรื่องฝีมือหรือทักษะการแสดงอาจเป็นเรื่องที่ผู้ชม (อาจรวมถึงผู้สร้าง) ไม่ได้คาดหวังมากนักถ้าเทียบกับเคมีของนักแสดงที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แฟนๆ ให้ความสำคัญมากกว่า ทว่าไบร์ทกับวินกลับแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นได้มากกว่านั้น ทั้งคู่จับมือกันสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตัวเองและซีรีส์โดยการมอบการแสดงที่น่าจดจำกับบทที่พวกเขาได้รับ จากเดิมที่ซีรีส์วายต้องการแค่ผู้ชายสองคนมาเล่นคู่กัน จิ้นกัน เคมีของคนสองคนที่เข้ากัน แต่หลังจากนี้ผู้ชมอาจต้องการซีรีส์วายที่สามารถเป็นอะไรได้มากกว่านั้น การแสดงที่พิถีพิถัน การเข้าถึงตัวละคร การเข้าใจในบทและอารมณ์ ฯ ในอนาคตเราอาจได้เห็นซีรีส์วายที่มีมิติและความหลากหลายมากยิ่งขึ้นก็ได้

 
#nnevvy กับกระแสที่ไปไกลถึงระดับการเมืองระหว่างประเทศ


และแน่นอนหากพูดถึงซีรีส์คั่นกูแล้วจะไม่พูดถึงประเด็นดราม่าสุดร้อนแรงและแฮชแท็กอันโด่งดังอย่าง #nnevvy ก็คงจะไม่ได้ ดราม่าที่เกิดจากความเข้าใจผิด การตีความและการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนของกลุ่มแฟนคลับชาวจีนที่มีต่อโพสต์ส่วนตัวบนโซเชียลของแฟนสาวนักแสดงนำของเรื่องที่ได้กลายมาเป็นเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวแต่ส่งอิทธิพลสะเทือนไปทั้งภูมิภาคในเวลาต่อมา กลายไปเป็นหัวข้อข่าวที่แทบทุกสื่อต้องกระโดดลงมาเล่น และต่อยอดไปไกลถึงระดับที่สำนักข่าวต่างประเทศยังให้ความสนใจ แม้ใจความหลักของดราม่าทั้งหมดจะไม่เกี่ยวอะไรเลยกับตัวซีรีส์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าดราม่าก็มีส่วนเป็นอย่างมากในการทำให้ซีรีส์ขยายวงเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้างไม่ใช่แค่แต่ในไทยแต่เป็นทั่วโลก

แม้ดราม่าดูเหมือนจะเปลี่ยนจากโทษเป็นคุณได้ในที่สุด ทว่าในอีกมุมหนึ่งผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ค่ายต้องการให้เป็นเท่าไรนักกับการที่ซีรีส์และตัวนักแสดงนำต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเด็นละเอียดอ่อนทางการเมือง โดยเฉพาะกับตลาดต่างประเทศอันดับหนึ่งอย่างจีนซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าแฟนคลับบางส่วนรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น (แม้ว่าเอาจริงๆ แล้วจะไม่ใช่ความผิดของนักแสดงเลยก็ตาม) ถึงขนาดที่ว่าเลิกติดตามและเปลี่ยนจากรักมาเป็นเกลียดเลยก็มี แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามสุดท้ายคนที่น่าสงสารและน่าเห็นใจที่สุดในเรื่องนี้ก็คือตัวไบร์ทกับแฟนสาวที่ต้องมารับผลจากความเกลียดชังที่ตัวเองไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ 
เป็นความแมสที่แลกมากับชีวิตส่วนตัวที่หายไปจริงๆ 
 

นี่ยังไม่ใช่ซีรีส์ที่ดีที่สุดขนาดนั้น


อย่างที่จั่วหัวกระทู้เอาไว้ว่านี่คือซีรีส์ที่ทำ GMMTV เหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่อย่างไม่ทันตั้งตัวมากที่สุดจนกลายมาเป็นผลงานเรือธงสุดยิ่งใหญ่ของค่ายประจำปี 2020 ในขณะนี้ อย่างไรก็ตามความสำเร็จระดับมหาศาลที่คั่นกูได้มานั้นหากเทียบกับคุณภาพและเนื้องานของซีรีส์เองกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง องค์ประกอบหลายอย่างเกี่ยวกับงานสร้าง บท และการถ่ายทำเต็มไปด้วยบาดแผลที่เห็นได้อย่างชัดจนจับผิดได้ตลอด แม้จะไม่ได้แย่จนดูไม่ได้แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าดีมากพอจนไร้ที่ติซึ่งผิดวิสัยงานของ GMMTV อย่างที่ผ่านมา ราวกับว่านี่เป็นเพียงซีรีส์ที่ค่ายทำออกมาเพื่อคั่นเวลาเท่านั้น ไม่ได้ให้เวลาและความพิถีพิถันกับมันมากเท่าที่ควร จนอาจกล่าวได้ว่าถ้าตัดนักแสดงนำอย่างไบร์ทและวินออกไป ซีรีส์อาจจะโดนกระแสตีกลับหนักกว่านี้อีกก็ได้

ตัวบทนิยายดั้งเดิมของคั่นกูนั้นมีความคลิเช่และมีมุมมองแบบยูโทเปียที่  Stereotype โลกของชายรักชายในมุมมองของสาววายอยู่สูงมาก สถานการณ์ต่างๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ดังนั้นเมื่อนำมาสร้างเป็นซีรีส์ขึ้นจอโทรทัศน์ จึงจำเป็นต้องบิดวัตถุดิบและเนื้อหาบางอย่างไปดัดแปลงและปรับปรุงให้มีความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้มากขึ้นตามศาสตร์ของงานสร้างภาพยนตร์ อย่างไรก็ตามดูเหมือนการดัดแปลงนิยายไปทำเป็นซีรีส์ในครั้งนี้จะยังทำออกมาได้ไม่คมนัก บางฉากบางตอนยังพบว่ามีจุดที่ขาดๆ เกินๆ แปลกกว่าสถานการณ์ที่คนปกติทั่วไปจะทำกันบางครั้งในโลกของความเป็นจริงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นการถ่ายทอดและตีความบางตัวละครออกมาเป็นคนจริงๆ ยังคงมีคาแรกเตอร์ของความเป็นนิยายอยู่ในตัวสูงมากจนน่าตลกเมื่อมองผ่านจอโทรทัซน์ ทำให้บางตัวละครที่น่าจะเป็นตัวละครที่มีมิติกว่านี้กลายเป็นตัวละครที่แบนราบ ไร้ซึ่งความน่าติดตามไปโดยปริยายแทน

(มีต่อด้านล่าง)
ชื่อสินค้า:   เพราะเราคู่กัน 2gether The Series
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่