Better Call Saul: จากจิมมี่ แมคกิลล์ สู่ซอล กู๊ดแมน จุดเริ่มต้นของทนายความนอกคอกผู้เปี่ยมเสน่ห์



เรื่องย่อ
"Better Call Saul" เป็นซีรีส์แนวดราม่า อาชญากรรม คอมเมดี้ ออกอากาศครั้งแรกในปี 2015 และเป็นภาคแยก (spinoff) ของซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง "Breaking Bad" ซีรีส์เรื่องนี้สร้างสรรค์โดย Vince Gilligan และ Peter Gould โดยพาผู้ชมย้อนกลับไปสำรวจชีวิตของ Jimmy McGill (Bob Odenkirk) ทนายความผู้ทะเยอทะยานแต่มีคุณธรรมที่คลุมเครือ ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นทนายความอาชญากรผู้ฉาวโฉ่ที่ชื่อ Saul Goodman
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 2002 หกปีก่อนที่เขาจะพบกับ Walter White ซีรีส์ติดตาม Jimmy ในช่วงที่เขากำลังดิ้นรนเพื่อสร้างชื่อเสียงในฐานะทนายความในเมืองอัลบูเคอร์คี รัฐนิวเม็กซิโก เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น ทั้งการทำงานในคดีเล็กๆ น้อยๆ การดูแลพี่ชายผู้ป่วยจิตเวชอย่าง Chuck McGill (Michael McKean) อดีตทนายความผู้โด่งดัง และการพยายามสร้างความสัมพันธ์กับ Kim Wexler (Rhea Seehorn) เพื่อนร่วมงานและทนายความที่เขารัก
แต่เส้นทางของ Jimmy ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ทั้งจากอคติของคนรอบข้าง ความไม่ไว้วางใจจากพี่ชาย และความยากลำบากในการดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงในโลกที่เต็มไปด้วยความโลภ ซีรีส์แสดงให้เห็นถึงการค่อยๆ เปลี่ยนแปลงของ Jimmy จากทนายความผู้หวังดีแต่หัวหมอ ไปสู่การใช้กลเม็ดสกปรกและวิธีการนอกกฎหมายมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ
นอกจากเรื่องราวของ Jimmy แล้ว ซีรีส์ยังสำรวจเรื่องราวของตัวละครอื่นๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับ "Breaking Bad" เช่น Mike Ehrmantraut (Jonathan Banks) อดีตตำรวจนักสืบผู้ผันตัวมาทำงานเป็นมือปืนรับจ้างและนักแก้ปัญหา รวมถึงตัวละครจากโลกอาชญากรรมใต้ดินที่ค่อยๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของ Jimmy มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่การบรรจบกันของโลกสองใบที่ซับซ้อนและอันตราย

ความรู้สึกหลังรับชม
"Better Call Saul" ไม่ได้เป็นแค่ภาคแยกที่ดี แต่เป็นซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมในสิทธิ์ของตัวเอง และหลายคนยกให้มีคุณภาพทัดเทียมหรืออาจจะเหนือกว่า "Breaking Bad" ในบางแง่มุม สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้น่าทึ่งคือ การพัฒนาตัวละครที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของ Jimmy McGill ไปสู่ Saul Goodman ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างช้าๆ มีเหตุผล และน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงแรงจูงใจและปัจจัยต่างๆ ที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนๆ นั้น
Bob Odenkirk ในบท Jimmy McGill/Saul Goodman แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม เขาแบกซีรีส์ไว้ได้อย่างสบายๆ ด้วยการแสดงที่ซับซ้อนและมีมิติ ทั้งความตลก ความน่าสงสาร ความฉลาด และความขัดแย้งในตัวเอง การแสดงของ Rhea Seehorn ในบท Kim Wexler ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เธอเป็นตัวละครที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเรื่องราวและเป็นเหมือนกระจกสะท้อนการตัดสินใจของ Jimmy ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นหนึ่งในแกนหลักที่ทำให้ซีรีส์น่าติดตามและกินใจ
ซีรีส์มี จังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป (slow burn) แต่ก็เต็มไปด้วยรายละเอียดที่สำคัญ การถ่ายทำ (cinematography) และการออกแบบฉากมีความประณีตและสวยงามในทุกองค์ประกอบ ทำให้บรรยากาศของเรื่องดูมีเสน่ห์และแตกต่าง การใช้ภาพและมุมกล้องที่ไม่ธรรมดาช่วยเสริมการเล่าเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"Better Call Saul" ไม่ได้เน้นฉากแอ็คชั่นตูมตาม แต่เน้นที่การเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด บทสนทนาที่คมคาย และการสำรวจประเด็นทางศีลธรรมและผลของการเลือก การที่ซีรีส์สามารถขยายจักรวาลของ Breaking Bad ได้อย่างลุ่มลึกและเติมเต็มช่องว่างต่างๆ ได้อย่างลงตัว โดยยังคงรักษาระดับคุณภาพไว้ได้ตลอดทั้ง 6 ซีซัน เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง

คะแนน IMDb และ Rotten Tomatoes ปัจจุบัน
IMDb: 8.9/10
Rotten Tomatoes: คะแนนจากนักวิจารณ์ 98% , คะแนนจากผู้ชม 95% (คะแนนเฉลี่ยจากทุกซีซัน)

สรุป
"Better Call Saul" คือซีรีส์ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ดีที่สุดตลอดกาล ด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมของ Bob Odenkirk การเขียนบทที่ชาญฉลาด การกำกับที่ประณีต และการพัฒนาตัวละครที่ลึกซึ้ง ซีรีส์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการบอกเล่าเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของ Jimmy McGill ไปสู่ Saul Goodman ได้อย่างน่าติดตามและกินใจอย่างที่สุด แม้จะไม่เคยดู Breaking Bad มาก่อนก็สามารถสนุกไปกับเรื่องนี้ได้ และสำหรับแฟนๆ Breaking Bad ซีรีส์นี้จะยิ่งทำให้คุณเข้าใจโลกและตัวละครต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยคะแนนวิจารณ์และคะแนนจากผู้ชมที่สูงลิบลิ่ว "Better Call Saul" เป็นซีรีส์ที่คอหนังแนวอาชญากรรม ดราม่า และผู้ที่ชื่นชอบงานสร้างคุณภาพไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่