กรดไหลย้อนกับอาการไอเกี่ยวข้องกันอย่างไร??
เวลาได้ยินเสียงคนไอในช่วงนี้ อาจจะทำให้เรารู้สึกหวาดระแวงกันใช่มั้ยครับ ^^ เพราะว่าการไอคือข้อบ่งชี้อย่างหนึ่งของคนที่เป็นโรคโควิด-19 แต่ไออย่างเดียวก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นโควิด-19 เสมอไปครับ ยังต้องมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
‘อาการไอ’ ถือเป็นกลไกอย่างหนึ่งของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอมออกจากระบบทางเดินหายใจ เช่น มูก เสมหะ รวมถึงเชื้อโรคต่างๆ การไอจึงเป็นการช่วยลดปริมาณเชื้อโรคในร่างกายของผู้ป่วย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการกระจายเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าจะไอในที่สาธารณะ ก็ควรจะหากระดาษทิชชู่หรือผ้ามาปิดให้มิดชิด หรือไม่ก็ไออยู่ภายใต้หน้ากากของเรานั่นแหละครับดีที่สุด
จริงๆ แล้วการไอสามารถบอกได้หลายโรคเลยนะครับ ทั้งโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ปอดบวม หอบหืด ไปจนถึงโรคที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกันอย่างโรคกรดไหลย้อน แล้วทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร เดี๋ยวพี่หมอจะอธิบายให้ฟังครับ
อาการไอ สามารถแบ่งตามระยะเวลาได้ ดังนี้
·
ไอเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม เป็นต้น อาการไอเฉียบพลันนี้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ผู้ป่วยจะสามารถหายเองได้ภายใน 3 สัปดาห์
·
ไอกึ่งเฉียบพลัน สาเหตุมาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเช่นเดียวกับไอเฉียบพลัน แต่มีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่า ดังนั้น การฟื้นตัวจึงใช้เวลานานกว่า คือประมาณ 3-8 สัปดาห์ขึ้นไป
·
ไอเรื้อรัง คือ ไอติดต่อกันนานกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มีที่มาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยโรคที่เป็นแล้วจะมีอาการไอเรื้อรัง ได้แก่ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ รวมถึง “โรคกรดไหลย้อน”
ไอเรื้อรังกับกรดไหลย้อนเกี่ยวข้องกันอย่างไร
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน (GERD) มีที่มาจากกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารเคลื่อนตัวไปยังหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองของเนื้อเยื่อและนำไปสู่อาการจุก เสียด เรอ คลื่นไส้และแสบร้อนกลางอก โดยส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูงและย่อยยาก รวมถึงการดื่มชา กาแฟ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหารส่วนปลายหย่อน โดยอาการจุก เสียดและแสบร้อนกลางอกเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลให้เกิดแผลและความเสียหายในระบบทางเดินอาหารอย่างถาวร ที่สำคัญ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารอีกด้วย
ส่วนอาการไอเรื้อรังจากโรคกรดไหลย้อน เกิดขึ้นจากกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนลงไปในหลอดลม ทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการหอบหืดร่วมด้วย หรืออาจเกิดจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไปทำให้เส้นประสาทบริเวณหลอดอาหารส่วนปลายเกิดการระคายเคือง ทำให้ผู้ป่วยไอ นอกจากนี้ ยังมีอาการไอที่เกิดหลังรับประทานอาหาร ซึ่งมักมีที่มาจากความดันในช่องท้องที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลลงไปในหลอดลม ส่วนอาการไอในขณะนอนหลับจนสำลักน้ำลายหรือหายใจไม่ออก ก็มีสาเหตุมาจากกรดในกระเพาะอาหารที่เพิ่มมากขึ้นจนไปรบกวนระบบทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมหดตัวหรือเกิดการอักเสบ
งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าโรคกรดไหลย้อนมีความเกี่ยวข้องกับอาการไอเรื้อรังอย่างน้อย 25% เพราะผู้ป่วยอาจจะไอเรื้อรังอย่างเดียว แต่ไม่มีอาการจุก เสียด แสบร้อนกลางอกและเรอเปรี้ยว ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปของโรคนี้ ส่วนผู้ป่วยที่ไอเรื้อรังแต่ไม่ทราบสาเหตุ เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะพบว่ามีสาเหตุมาจากโรคกรดไหลย้อนมากถึง 40% เลยทีเดียว
วิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน
· รับประทานยาแก้ไอเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
· รับประทานยาลดกรดเพื่อยับยั้งการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
· ในกรณีที่รุนแรง อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาเป็นเวลานานหรือพบผลข้างเคียงจากการใช้ยา รวมถึงผู้ป่วยที่ใช้ยามาเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถควบคุมอาการได้แล้ว
แต่สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง พี่หมอแนะนำให้ลองปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ซึ่งก็จะสามารถบรรเทาอาการของโรคได้นะครับ เช่น ในแต่ละมื้อควรรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เคี้ยวช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เน้นอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อยง่ายและมีกากใยสูง เช่น เนื้อปลา ผัก ผลไม้ งดดื่มชา กาแฟและสูบบุหรี่ ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรกินแล้วนอนทันที ควรรอซัก 3 ชั่วโมงเพื่อให้อาหารย่อยก่อน และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้เช่นกัน เพราะเป็นการคุมน้ำหนักตัวไม่ให้สูงเกินไป
แต่ถ้าพบว่ายังมีอาการไออยู่ โดยเฉพาะถ้าไอติดต่อกันนานเกินกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดจะดีที่สุดครับ
ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ขอให้ปลอดภัยจากโควิด-19 และทุกๆ โรคภัย ด้วยความปรารถนาดีจากพี่หมอ 😘😘😘
กรดไหลย้อนกับอาการไอเกี่ยวข้องกันอย่างไร??
เวลาได้ยินเสียงคนไอในช่วงนี้ อาจจะทำให้เรารู้สึกหวาดระแวงกันใช่มั้ยครับ ^^ เพราะว่าการไอคือข้อบ่งชี้อย่างหนึ่งของคนที่เป็นโรคโควิด-19 แต่ไออย่างเดียวก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นโควิด-19 เสมอไปครับ ยังต้องมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
‘อาการไอ’ ถือเป็นกลไกอย่างหนึ่งของร่างกายในการขับสิ่งแปลกปลอมออกจากระบบทางเดินหายใจ เช่น มูก เสมหะ รวมถึงเชื้อโรคต่างๆ การไอจึงเป็นการช่วยลดปริมาณเชื้อโรคในร่างกายของผู้ป่วย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการกระจายเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้น ถ้าจะไอในที่สาธารณะ ก็ควรจะหากระดาษทิชชู่หรือผ้ามาปิดให้มิดชิด หรือไม่ก็ไออยู่ภายใต้หน้ากากของเรานั่นแหละครับดีที่สุด
จริงๆ แล้วการไอสามารถบอกได้หลายโรคเลยนะครับ ทั้งโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ปอดบวม หอบหืด ไปจนถึงโรคที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกันอย่างโรคกรดไหลย้อน แล้วทั้งสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร เดี๋ยวพี่หมอจะอธิบายให้ฟังครับ
อาการไอ สามารถแบ่งตามระยะเวลาได้ ดังนี้
· ไอเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม เป็นต้น อาการไอเฉียบพลันนี้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ผู้ป่วยจะสามารถหายเองได้ภายใน 3 สัปดาห์
· ไอกึ่งเฉียบพลัน สาเหตุมาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเช่นเดียวกับไอเฉียบพลัน แต่มีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่า ดังนั้น การฟื้นตัวจึงใช้เวลานานกว่า คือประมาณ 3-8 สัปดาห์ขึ้นไป
· ไอเรื้อรัง คือ ไอติดต่อกันนานกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มีที่มาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยโรคที่เป็นแล้วจะมีอาการไอเรื้อรัง ได้แก่ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ รวมถึง “โรคกรดไหลย้อน”
ไอเรื้อรังกับกรดไหลย้อนเกี่ยวข้องกันอย่างไร
สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน (GERD) มีที่มาจากกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารเคลื่อนตัวไปยังหลอดอาหาร ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองของเนื้อเยื่อและนำไปสู่อาการจุก เสียด เรอ คลื่นไส้และแสบร้อนกลางอก โดยส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูงและย่อยยาก รวมถึงการดื่มชา กาแฟ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหารส่วนปลายหย่อน โดยอาการจุก เสียดและแสบร้อนกลางอกเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลให้เกิดแผลและความเสียหายในระบบทางเดินอาหารอย่างถาวร ที่สำคัญ ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารอีกด้วย
ส่วนอาการไอเรื้อรังจากโรคกรดไหลย้อน เกิดขึ้นจากกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนลงไปในหลอดลม ทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการหอบหืดร่วมด้วย หรืออาจเกิดจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไปทำให้เส้นประสาทบริเวณหลอดอาหารส่วนปลายเกิดการระคายเคือง ทำให้ผู้ป่วยไอ นอกจากนี้ ยังมีอาการไอที่เกิดหลังรับประทานอาหาร ซึ่งมักมีที่มาจากความดันในช่องท้องที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลลงไปในหลอดลม ส่วนอาการไอในขณะนอนหลับจนสำลักน้ำลายหรือหายใจไม่ออก ก็มีสาเหตุมาจากกรดในกระเพาะอาหารที่เพิ่มมากขึ้นจนไปรบกวนระบบทางเดินหายใจ ทำให้หลอดลมหดตัวหรือเกิดการอักเสบ
งานวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าโรคกรดไหลย้อนมีความเกี่ยวข้องกับอาการไอเรื้อรังอย่างน้อย 25% เพราะผู้ป่วยอาจจะไอเรื้อรังอย่างเดียว แต่ไม่มีอาการจุก เสียด แสบร้อนกลางอกและเรอเปรี้ยว ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปของโรคนี้ ส่วนผู้ป่วยที่ไอเรื้อรังแต่ไม่ทราบสาเหตุ เมื่อตรวจอย่างละเอียดจะพบว่ามีสาเหตุมาจากโรคกรดไหลย้อนมากถึง 40% เลยทีเดียว
วิธีการรักษาโรคกรดไหลย้อน
· รับประทานยาแก้ไอเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
· รับประทานยาลดกรดเพื่อยับยั้งการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร
· ในกรณีที่รุนแรง อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาเป็นเวลานานหรือพบผลข้างเคียงจากการใช้ยา รวมถึงผู้ป่วยที่ใช้ยามาเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถควบคุมอาการได้แล้ว
แต่สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง พี่หมอแนะนำให้ลองปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ซึ่งก็จะสามารถบรรเทาอาการของโรคได้นะครับ เช่น ในแต่ละมื้อควรรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เคี้ยวช้าๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เน้นอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อยง่ายและมีกากใยสูง เช่น เนื้อปลา ผัก ผลไม้ งดดื่มชา กาแฟและสูบบุหรี่ ที่สำคัญก็คือ ไม่ควรกินแล้วนอนทันที ควรรอซัก 3 ชั่วโมงเพื่อให้อาหารย่อยก่อน และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยได้เช่นกัน เพราะเป็นการคุมน้ำหนักตัวไม่ให้สูงเกินไป
แต่ถ้าพบว่ายังมีอาการไออยู่ โดยเฉพาะถ้าไอติดต่อกันนานเกินกว่า 8 สัปดาห์ขึ้นไป ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดจะดีที่สุดครับ
ดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ขอให้ปลอดภัยจากโควิด-19 และทุกๆ โรคภัย ด้วยความปรารถนาดีจากพี่หมอ 😘😘😘