JJNY : หญิงหน่อยจวกรบ.ยังไร้วิสัยทัศน์/ก้าวไกลเสนอ5ข้อก่อนอุ้มบินไทย/วันสุดท้ายร้องทุกข์5พันคนแน่น/พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 7

'หญิงหน่อย' โพสต์สอนมวย แนะวิธีใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน จวกรัฐบาลยังไร้วิสัยทัศน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_2186379
 
 
‘หญิงหน่อย’ โพสต์สอนมวย แนะวิธีใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้าน จวกรัฐบาลยังไร้วิสัยทัศน์
 
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์ถึงการกู้เงินมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาทของรัฐบาล โดยระบุว่า 
  
เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท ต้องถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเยียวยาต้องทั่วถึงรวดเร็ว การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องตรงเป้า และที่สำคัญคือ ต้องลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” ให้ธุรกิจไทยสามารถยืนอยู่ได้ในโลกใหม่ที่มี New Normal หลัง COVID-19
 
แต่เรายังไม่เห็นรัฐบาลไทยมีวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้ รวมทั้งไม่มีแผนการใช้เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท มาลงทุนในการเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจไทยสามารถเดินต่อได้ และมีศักยภาพในการแข่งขันในโลกหลัง COVID-19 แต่อย่างใดเลย
 
…………………………………………….……..…………..
 
ก่อนอื่นดิฉันขอย้ำว่า เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาท เป็นการกู้ครั้งมโหฬาร มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นเงินกู้ที่คนไทยทุกคนต้องเป็นลูกหนี้ และเป็นผู้ใช้หนี้ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน การใช้เงินกู้ก้อนนี้รัฐบาลจึงต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและไร้การทุจริต
 
1. เพื่อช่วยประชาชนอย่างจริงใจ จริงจัง รวดเร็ว
 
2. เพื่อฟื้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึง โดยเฉพาะธุรกิจของคนตัวเล็ก SMEs ไม่ใช่ได้ประโยชน์เฉพาะทุนใหญ่เท่านั้น
 
3. เพื่อสร้างสามารถให้ธุรกิจไทยเดินต่อได้ และ มีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ในโลกหลัง COVID-19 ที่พฤติกรรมผู้ บริโภค และวิถีธุรกิจ จะเปลี่ยนไป (New normal) ซึ่งรัฐบาลต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโลกหลังCOVID-19 ให้ธุรกิจให้สามารถอยู่รอดได้ ในโลกใหม่รับ New Normal ได้
 
4. ต้องใช้เงินกู้อย่างโปร่งใส ไร้ทุจริต ไม่ใช่ใช้เพื่อทุ่มแจกเงินแบบเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น โดยไม่ก่อให้เกิดการสร้างงาน หรือสร้างรายได้ใหม่ หรือฉวยโอกาสจากวิกฤติที่เกิดขึ้น ให้มีการทุจริต เพื่อการสะสมทุนทางการเมือง
 
ถึงวันนี้เงินกู้ 600,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาประชาชนยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องเข้าเดือนที่ 3 แล้ว ทั้งปัญหายังไม่ครอบคลุมคนเดือดร้อนได้ครบถ้วน ทั้งประชาชนและเกษตรกร ที่สำคัญคือวิธีการยุ่งยาก ล่าช้ามาก ทั้งที่ภาครัฐมีทะเบียนคนจน คนตกงาน และทะเบียนเกษตรกรอยู่แล้ว แต่กลับต้องให้ประชาชนต้องไปขึ้นทะเบียนใหม่ ด้วยความลำบาก ทั้งที่เขาได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของรัฐ
 
เงินกู้1.9 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลนี้กู้ ก็เป็นหนี้ของประชาชน ทำไมการจ่ายเงินคนจน จึงยากลำบากล่าช้ามาร่วม 3 เดือนแล้ว มีหัวใจให้คนจนบ้างเถอะค่ะ
  
นอกจากนั้นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นเงินออมของเขาเองก็จ่ายยากเย็น ล่าช้าซึ่งกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน ที่สส. จิรายุ ห่วงทรัพย์ เป็นประธานกรรมาธิการ กำลังตรวจสอบว่า มีการเอาเงินออมของประชาชนไปใช้ไม่ถูกทางหรือไม่ จึงไม่มีเงินจ่ายให้ผู้ประกันตน
 
อีกส่วนของเงินกู้ 600,000 ล้านบาท คือส่วนที่นำไปใช้ด้านสาธารณสุข ดิฉันไม่เห็นการนำเงินกู้นี้ไปใช้เป็นรูปธรรม ในการวาง “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” เพื่อเสริมศักยภาพด้านสาธารณสุขของเราให้แข็งแกร่งมากขึ้น
 
ทั้งที่เรามาถึงวันนี้ได้ ที่มีผู้ติดเชื้อลดลง
 
ก็เพราะระบบสาธารณสุขของไทยที่แข็งแกร่งมาช้านาน รวมทั้งความทุ่มเท ความเสียสละ และความสามารถของคณะแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม.
 
และเกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนที่ยอมเสียสละอยู่บ้าน ดูแลป้องกันการระบาดอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัย ดูแลสุขอนามัย เว้นระยะห่าง ตามที่สาธารณสุขแนะนำอย่างเคร่งครัด
 
ดิฉันเห็นความจำเป็นที่เราควรใช้เงินกู้จำนวนนี้ ไปใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพ “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” ของไทยเพื่อประโยชน์ทั้งในเชิงรับและรุก เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
 
เป็นการเตรียมความพร้อม หากมีการกลับมาระบาดใหม่ ของ COVID-19 หรือในอนาคตอาจมีการระบาดของโรคอุบัติใหม่ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีหลังนี้ เราจะได้มีความพร้อมในการดูแลสุขภาพของประชาชน
 
นอกจากนั้น ในเชิงรุกการลงทุนใน “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” จะช่วยเศรษฐกิจไทยได้โดยตรง เพราะโลกหลัง COVID-19 คนทั่วโลกจะคำนึงถึงสุขอนามัยและสุขภาพ (Hyginity & Health) มากขึ้น
 
การลงทุนให้คนไทย และคนทั่วโลกมั่นใจในระบบสาธารณสุขไทย ผลดีจะตกกับ เศรษฐกิจไทย ทั้งด้านการท่องเที่ยว การบริการ การส่งออกโดยเฉพาะด้านอาหาร รวมทั้งเกษตรกรของไทย ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างให้ธุรกิจไทยเดินต่อไปได้ และมีศักยภาพในการแข่งขันในโลกหลัง COVID-19
 
แต่ดิฉันไม่เห็นวิสัยทัศน์ หรือแผนงานการลงทุนด้าน “โครงสร้างด้านสาธารณสุข” จากรัฐบาลในขณะนี้เลย ว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจไทย ยังเดินไปต่อได้ในโลกหลัง COVID-19 ที่ต้องมี New normal ใหม่
 
ถ้านายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจยังมองเรื่องนี้ไม่ออก ความหวังที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยหลัง COVID-19 ก็จะดูยากมากค่ะ
  
https://www.facebook.com/sudaratofficial/photos/a.484034281675370/2931143980297709/
 

 
ส.ส.พรรคก้าวไกล เสนอ 5 ข้อถึงรัฐบาล ก่อนเข้าอุ้มการบินไทย
https://www.matichon.co.th/politics/news_2186574
 
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.พรรคก้าวไกล รองประธานกมธ.คมนาคมฯ เสนอ 5 ข้อถึงรัฐบาล ก่อนเข้าอุ้มการบินไทย
 
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.พรรคก้าวไกล และเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความแสดงความเห็นเรื่องการบินไทย ระบุว่า
 
วันนี้ (14 พ.ค. 63) ผมได้ให้ความเห็นในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ต่อที่ประชุมในประเด็นปัญหาของการบินไทย ดังนี้
 
1. รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา กล่าวคือร่างแผนฟื้นฟูฉบับเต็มควรได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะในทุกขั้นตอน เพราะข่าวที่หลุดออกมาอาจไม่ครบถ้วนหรือบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง อีกทั้งประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ารัฐบาล “กำลังจะ” ใช้เงินภาษีของพวกเขาอย่างไร ไม่ควรรอจนผ่าน ครม. แล้วค่อยมาแจ้งสู่สังคมเพื่อทราบ สังคมควรได้รับสิทธิ์ที่จะพิจารณาและได้รับโอกาสที่จะสะท้อนความคิดเห็นบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนและทันกาลก่อนการอนุมัติโดย ครม.
 
2. ทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเป็นคือการบินไทยควรมีความเป็นเอกชนมากขึ้น กล่าวคือแผนฟื้นฟูต้องระบุถึงผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนจากอะไรไปสู่อะไร การบินไทยควรเปลี่ยนจากการเป็นรัฐวิสาหกิจให้เป็นเอกชน โดยรัฐควรลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของจากปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 50 ให้เหลือเพียงร้อยละ 0-25 เพื่อเปิดทางให้มืออาชีพมากำกับและบริหารแทนทหารหรือข้าราชการ จึงจะสามารถแข่งขันกับเอกชนรายอื่นได้ ทั้งนี้รัฐบาลควรตระหนักว่าธุรกิจการบินเป็นธุรกิจที่มีกำไรแต่การแข่งขันสูงมาก แตกต่างจากบริการสาธารณะเฉกเช่นรถเมล์หรือรถไฟ
 
3. รัฐบาลควรใช้เงินภาษีเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ไม่ “อุ้มไปอยู่ไป” วัน ๆ แบบที่ทำมาแล้ว 6 ปี. กล่าวคือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการขอรับเงินช่วยเหลือหรือการให้สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงใหญ่ ในปี 2558 การบินไทยก็เพิ่งมีแผนฟื้นฟูแต่ทำไม่สำเร็จหรือไม่ได้ทำ จนทำให้เสียงสะท้อนจากประชาชน 98% เห็นตรงกันว่า “ไม่อุ้มการบินไทย” รัฐบาลจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนใช้เงินภาษีของประชาชน อย่าเอาแต่ด้านดีของการใช้เงินมาพูด แต่ต้องคิดอยู่เสมอว่า “ด้วยเงินที่เท่ากัน เอาไปทำอะไรดีกว่า” จึงจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้
 
4. ทางออกมีได้หลายทาง แต่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะตอนนี้มันคือทางเลือกที่แย่ที่สุด กล่าวคือรัฐบาลมีทางเลือกหลายทางแต่แนวทางปัจจุบันยังคงความเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ มีเพียงการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการโดยเจ้าของเดิม คนทำกลุ่มเดิม ระบบเดิม และข้อจำกัดเดิม จึงทำให้สังคมขาดความเชื่อมั่นว่าการจะอุดหนุนเงินมหาศาลกว่า 134,000 ล้านบาท จะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนได้อย่างไร จะแข่งขันกับบริษัทเอกชนได้หรือไม่ จะกลับมาขอเงินภาษีไปอุ้มต่ออีกเมื่อไหร่
 
5. ผู้บริหารการบินไทยชุดเดิมต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ กล่าวคือปัญหาการขาดทุนของการบินไทยมีมานานแล้วแต่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง พอเกิดเหตุโควิด-19 ยิ่งทำให้วิกฤตหนัก จนมองไม่เห็นว่าในอนาคตอันใกล้จะกลับมามีกำไรได้อย่างไร การแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อเปิดโอกาสให้มืออาชีพเข้ามาทำงานแทนเครือข่ายของผู้มีอำนาจ กองทัพ และข้าราชการ เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เจ้าหนี้ร่วมกันเจ็บ (แทนที่ประชาชนจะต้องมาเจ็บแทน) แล้วค่อยเพิ่มทุนภายหลัง ในทิศทางที่เป็นเอกชนมากขึ้น เพื่อให้การบินไทยยังคงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืนและไม่เป็นภาระของประชาชน
  
หวังว่า ข้อสังเกตทั้ง 5 จะเข้าหูท่านนายกรัฐมนตรีนะครับ
  
https://www.facebook.com/spravinvongvuth.MFP/posts/687009125420630
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่