คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญานอย่างสูงในการอ่านกระทู้นี้ กระทู้นี้ไม่เหมาะสำหรับผู้เชื่อง่าย
และเนื้อหาในกระทู้นี้ไม่สามารถยืนยันว่าสิ่งที่ปรากฏในเนื้อหาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
อาตมาเองก็เป็นคนงมงายมาก่อน ในกาลก่อนใครพูดเรื่องนิพพานไม่เชื่อ นิพพานมีสภาพสูญ เขาว่าอย่างนั้น
ต่อมา หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ ท่านเห็นว่า เรามีสันดานชั่วละมั้ง ก็ส่งให้ไปหา หลวงพ่อสด
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไปเรียนกับหลวงพ่อสดประมาณ ๑ เดือน ก็ทำได้ตามสมควร เรียกว่าพื้นฐานมีอยู่แล้ว
ต่อมาวันหนึ่งประมาณเวลา ๖ ทุ่มเศษ หลังจากทำวัตรสวดมนต์ เจริญกรรมฐานกันแล้ว หลวงพ่อสดท่านก็คุยชวนคุย
คนอื่นเขากลับหมด ก็อยู่ด้วยกันประมาณ ๑๐ องค์ วันนั้น ท่านก็บอกว่า ฉันมีอะไรจะเล่าให้พวกคุณฟัง คือ พระที่ไปถึงนิพพานแล้ว
มีรูปร่างเหมือนแก้วหมด ตัวเป็นแก้ว เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปมากแล้ว นิพพานเขาบอกว่ามีสภาพสูญ แล้วทำไมจะมีตัวมีตน
แล้วท่านก็ยังคุยต่อไปว่า นิพพานนี้เป็นเมือง แต่ว่าเป็นทิพย์พิเศษ เป็นทิพย์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก มีพระอรหันต์มากมาย คนที่ไปนิพพานได้
เขาเรียกว่า พระอรหันต์ จะตายเมื่อเป็นฆราวาส จะตายเมื่อเป็นพระก็ตาม ต้องถึงอรหันต์ก่อน เมื่อถึงอรหันต์ก่อนแล้วก็ตาย ตายแล้วก็
ไปอยู่ที่นั่น ร่างกายเป็นแก้วหมด เมืองเป็นแก้ว สถานที่อยู่แพรวพราวเป็นระยับ
อาตมาก็นึกในใจว่าหลวงพ่อนี่ไปเยอะ ตอนก่อนก็ดี สอนดี มาตอนนี้ชักจะไปมากเสียแล้ว แต่ก็ไม่ค้าน ฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ
ท่านก็คุยต่อไปว่า เมื่อคืนนั้น ขี่ม้าแก้วไปเมืองนิพพาน (เอาเข้าแล้ว) แล้วต่อมาคุยไปคุยมาท่านก็บอกว่า ท่านคงจะทราบ
ท่านไม่โง่เท่าเด็ก เพราะพระขนาดรู้นิพพานไปแล้ว อย่างอื่นก็ต้องรู้หมด แต่ความจริงคำว่า รู้หมด ในที่นี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท
ไม่ใช่รู้เท่าพระพุทธเจ้า แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ควรจะรู้ ก็สามารถรู้หมด
ท่านก็เลยบอกว่า เธอดูดาวดวงนี้นะ ดาวดวงนี้สุกสว่างมาก ประเดี๋ยวฉันจะทำให้ดาวดวงนี้ริบหรี่ลง จะค่อย ๆ
หรี่ลงจนกระทั่งไม่เห็นแสงดาว ท่านชี้ให้ดู แล้วก็มองต่อไป ตอนนี้เริ่มหรี่ละ ๆ แสงดาวก็หรี่ไปตามเสียงของท่าน
ในที่สุด หรี่ที่สุด ไม่เห็นแสงดาว ท่านถามว่า เวลานี้ทุกคนเห็นแสงดาวไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ไม่เห็นแสงขอรับ
ท่านบอกว่า ต่อนี้ไป ดาวจะเริ่มค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุด แล้วก็เป็นไปตามนั้น
พอท่านทำถึงตอนนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า ความดีหรือวิชาความรู้ที่เรามีอยู่ มันไม่ได้ ๑ ในล้านที่ท่านมีแล้ว
ฉะนั้นคำว่านิพพานจะต้องมีแน่ ท่านมีความสามารถอย่างนี้เกินที่เราจะพึงคิด
ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่ศึกษามาในด้านกรรมฐานก็ดีหรือที่คุยกันมาก็ดี นี่ท่านรู้จริง ท่านก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนิพพาน คำว่านิพพานสูญท่านไม่ยอมพูด ไปถามท่านเข้าว่านิพพานสูญรึ ท่านนิ่ง
ในที่สุดก็ไปถาม ๒ องค์ คือ หลวงพ่อปาน กับ หลวงพ่อโหน่ง ถามว่านิพพานสูญรึ ท่านตอบว่า ถ้าคนใดสูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกว่านิพพานสูญ แต่คนไหนไม่สูญจากนิพพาน คนนั้นก็เรียกนิพพานไม่สูญ ก็รวมความว่า นิพพานไม่สูญแน่
ภาคผนวก นิพพาน
พระนิพพานมีความสงบ เป็นลักษณะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พระนิพพานมีความสงบ เป็นลักษณะ (สันติลักขะณัง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้าที่ 711
๑. ปฐมนิพพานสูตร
ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน
[๑๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน
น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ
อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์
และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น
ว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการ
จุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้
มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.
จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ หน้าที่ 719
๒. ทุติยนิพพานสูตร
ว่าด้วยฐานะที่เห็นได้ยาก คือ นิพพาน
[๑๕๙] ฐานะที่บุคคลเห็นได้ยาก ชื่อว่านิพพาน ไม่มี
ตัณหา นิพพานนั้นเป็นธรรมจริงแท้ ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย
ตัณหาอันบุคคลแทงตลอดแล้ว กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มี
แก่บุคคลผู้รู้ ผู้เห็นอยู่
จบทุติยนิพพานสูตรที่ ๒
นิพพานไม่ใช่สถานที่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นิพพาน ไม่ใช่สถานที่ นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดดับ แต่มีจริง นิพพานนั้นถึงแม้ว่าจะมีจริง เป็นปรมัตถธรรม แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะรู้แจ้งลักษณะของนิพพานได้ง่ายๆ เพราะว่าการที่จะรู้แจ้งลักษณะของนิพพานได้นั้น จะต้องรู้ด้วยปัญญาขั้นสูงอันเกิดจากการเจริญปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งกำลังปรากฏอยู่ทุกๆ ขณะอย่างทั่วถึง และแจ้งชัดจริงๆ ก่อน พระอริยบุคคลทุกระดับขั้นเท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งนิพพานได้ และพระอริยบุคคลเหล่านั้นรู้ได้ด้วยตนเองว่า ท่านได้ประจักษ์แจ้งนิพพานแล้ว
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคล
จริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถถึงความเป็นพระอริยบุคคล ได้
นิพพานปรมัตถ์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากหนังสือ ปรมัตถธรรมสังเขป นิพพานปรมัตถ์ ปรมัตถธรรม อีกประเภทหนึ่ง คือ นิพพานปรมัตถ์ พระผู้มีพระภาค ตรัส เรียกว่า นิพพาน เพราะ ออกจาก ตัณหา คือ วา นะ
นิพพานปรมัตถ์ เป็น สภาพธรรม ที่ ดับทุกข์ จิต เจตสิก รูป เป็นทุกข์ เพราะไม่ เที่ยง เกิดขึ้น แล้วดับไป การที่จะดับทุกข์ได้นั้น จะต้องดับ ตัณหา เพราะตัณหาเป็นสมุทัย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นสมุทัย ให้เกิดขันธ์ ซึ่ง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป การที่จะ ดับ ตัณหา ได้นั้น ก็ด้วยการ อบรมเจริญปัญญา จนรู้แจ้งชัดในลักษณะ เกิด ดับของ จิต เจตสิก รูป แล้ว ละคลายความยินดี ยึดมั่น เห็นผิด ใน จิต เจตสิก รูป ได้ด้วยการรู้แจ้ง นิพพาน ซึ่งเป็นสภาพ ธรรม ที่ ดับตัณหา ดับทุกข์ ดับขันธ์ นิพพาน จึงเป็นสภาพธรรม ที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เป็น สภาพธรรม ที่รู้แจ้งได้
***กระทุ้นี้ไม่ต้องการคำตอบของคำถามใดๆ***
เป็นเพียงการเสนอแง่มุมหนึ่งของความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
นิพพานของหลวงปู่มั่น นิพพานของหลวงตามหาบัว
นิพพานของหลวงพ่อสด นิพพานของหลวงพ่อฤๅษี
นิพพานของพระพุทธเจ้า ความจริงเป็นอย่างไร
ผู้ที่ดับกิเลสหมดเท่านั้นจะทราบเอง...



หลวงพ่อสดเห็นนิพพาน, พรหมโลก หรือ คิดไปเอง?
***กระทุ้นี้ไม่ต้องการคำตอบของคำถามใดๆ***
เป็นเพียงการเสนอแง่มุมหนึ่งของความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
นิพพานของหลวงปู่มั่น นิพพานของหลวงตามหาบัว
นิพพานของหลวงพ่อสด นิพพานของหลวงพ่อฤๅษี
นิพพานของพระพุทธเจ้า ความจริงเป็นอย่างไร
ผู้ที่ดับกิเลสหมดเท่านั้นจะทราบเอง...