JJNY : แนะแบ่งเงินกู้ทำโครงสร้าง รับ New Normal/ร้องสอบศูนย์เฟกนิวส์ปล่อยข่าวปลอม/วีระไม่เชื่อมีไลน์อวตาร/โควิดป่วยใหม่3

แนะแบ่งเงินกู้ทำโครงสร้างพื้นฐานรองรับNew Normal
https://www.dailynews.co.th/politics/773093

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวใจความสรุปว่า 
 
โควิด-19กลายโรคระบาดใหญ่ของโลกในรอบ 100 ปี ต่อจากนี้เราต้องยอมรับความจริง 2 ประการคือ 
 
1. โควิด-19 จะต้องอยู่กับเราอีกระยะหนึ่ง ซึ่งยาวพอสมควร  จนกว่าเราจะมีวัคซีนหรือยารักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จใช้ได้ในไตรมาส 2 ปีหน้า 
และ
2. โลกหลังโควิด-19 จะเปลี่ยนบริบทการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจของผู้คนทั่วโลกที่เราเรียกว่า New Normal ทุกคน ทุกธุรกิจต้องปรับตัว
 
ทั้งนี้ New Normal หลังโควิด-19 คนทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสะอาด การใช้ออนไลน์มากขึ้น การ Work from home มากขึ้น นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่า ความสำเร็จของการทำธุรกิจ และการดำเนินชีวิตจะขึ้นอยู่กับ 3 สิ่งนี้คือ ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น และความเป็นอัตโนมัติ
 
สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องลงทุนเพื่อช่วยธุรกิจไทยหลังโควิด-19 คือ การลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับ New Normal ของการใช้ชีวิตของผู้คนและธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยและความสะอาด การใช้เทคโนโลยี การใช้ระบบออนไลน์ในหลายภาคส่วน และต้องตระหนักว่า ระบบ Work from home จะเป็นประโยชน์มากแก่แรงงานที่มีทักษะ แต่จะมีแรงงานทั่วไปจะตกงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เงินกู้ 1.9 ล้านล้านบาทนอกจากจะมาแก้ไขเฉพาะหน้าในการเยียวยาผู้เดือดร้อนและกู้วิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องใช้เงินกู้นี้เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับธุรกิจในอนาคตของไทยด้วย 
 
รัฐบาลต้องใช้เงินกู้นี้มาทำโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข เพื่อเพิ่มศักยภาพทั้งการดูแลสุขภาพคนไทย  หากเกิดโรคระบาดใหม่เกิดขึ้น และเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจของคนไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว ส่งออกในกลุ่มอาหารและเกษตร จะทำให้นักท่องเที่ยวและลูกค้าของไทยเชื่อมั่นในการมาท่องเที่ยวและซื้อสินค้าจากประเทศไทยว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ และปลอดภัยจากเชื้อโรคต่างๆ นำความแข็งแกร่งด้านสาธารณสุขมาเป็นจุดแข็งในการพลิกฟื้นธุรกิจท่องเที่ยว บริการ และส่งออกของไทย  เราสามารถทำแคมเปญ “เที่ยวไทยปลอดโรค อาหารไทยปลอดภัย” ได้เลย
 
อีกประการที่สำคัญคือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้วยเกษตร เพราะประเทศไทยมีพื้นฐานด้านการเกษตรที่ดีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาเราปล่อยให้เกษตรต่อสู้ลำพังในระบบทุนนิยมจึงไปไม่รอด ถึงเวลาพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารปลอดภัยป้อนโลก เงินกู้จำนวนนี้ต้องนำมาลงทุนสร้าง อนาคตให้เกษตรกรไทย อุตสาหกรรมอาหารของไทย เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้เกษตรกร 
 
โดยต้องลงทุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนหน้าดิน ใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนการผลิต และสร้างคุณภาพให้ผลผลิตของเกษตรกร พร้อมหาตลาดที่เหมาะสม ซึ่งรัฐบาลควรลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรให้เกษตรกรจากเงินกู้ครั้งนี้ อย่าปล่อยให้เขาต้องยืนต่อสู้ลำพังท่ามกลางระบบทุนนิยม จะทำให้เกษตรกรที่เราเคยมองว่าเป็นภาระ กลายเป็นผู้สร้างรายได้ให้ประเทศ.
 
https://www.facebook.com/sudaratofficial/posts/2911056432306464
 

 
ร้อง ปปช. สอบ พุทธิพงษ์-ศูนย์เฟกนิวส์ ปล่อยข่าวปลอมเอง ปม อสม.พิษณุโลก  
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4082293
 
ร้อง ปปช. สอบ พุทธิพงษ์-ศูนย์เฟกนิวส์ ปล่อยข่าวปลอมเอง ปม อสม.พิษณุโลก
 
วันที่ 7 พ.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏว่า พี่น้อง อสม.ใน จ.พิษณุโลก ไม่ได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติงานเต็มจำนวน 240 บาท ตามที่กำหนดไว้ ในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 จนนำไปสู่การร้องเรียนตามข่าวที่ปรากฏในสื่อสาธารณะต่าง ๆ และขณะนี้ยังไม่ทราบความชัดเจนว่าจะได้รับ เงินค่าตอบแทนเต็มจำนวน 240 บาท หรือได้รับแค่ 120 บาทนั้น
 
แต่ปรากฏว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (ศูนย์ต่อต้านเฟกนิวส์) ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือ ดีอี นำเสนอระบุว่า เรื่องดังกล่าวมีเนื้อหาไม่ตรงกับความจริงหรือเป็นข่าวบิดเบือน ในขณะที่ อสม. ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ในเวลานี้นั้นคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
 
จนมี อสม.จำนวนมากออกมาบุกศาลากลางเพื่อยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกเมื่อวันที่ 5 พ.ค.63 ที่ผ่านมา การสื่อสารในลักษณะดังกล่าวได้ก่อให้เกิด ความสับสนและหลายฝ่ายโดยเฉพาะเครือข่าย อสม. ทราบแล้วไม่สบายใจ ซึ่งถือได้ว่า ศูนย์ฯดังกล่าวมีเจตนาที่จะทำลายความเชื่อถือของ อสม. และสร้างข่าวบิดเบือนเพื่อเอาใจฝ่ายราชการหรือรัฐบาลด้วยกันเอง
 
โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายที่หน่วยงานของตนพึงปฏิบัติเสียเอง นั่นคือ การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนด้วยข้อความอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ อสม. หรือประชาชน อันเป็นความผิดตาม ม.14 แห่ง พรบ.ว่าด้วยการกระทำผิดต่อคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2560 อันถือได้ว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่โดยตรงด้วย
 
กรณีที่เกิดขึ้น “นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ในฐานะ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ เพราะได้ออกมาสร้างผลงานแถลงข่าวจับกุมผู้สร้างข่าวปลอมหลายต่อหลายครั้ง
 
แต่เมื่อหน่วยงานของตนเองสร้างข่าวบิดเบือนเสียเอง กลับเงียบเฉยปล่อยผ่านไปเสียนั้น ย่อมไม่ใช่วิสัยของผู้บริหารที่มีหน้าที่กำกับดูแลศูนย์ฯดังกล่าว ซึ่งควรต้องตั้งกรรมการมาสอบเอาผิดผู้ที่สร้างข่าวปลอมขึ้นมาในศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของดีอีหรือของรัฐบาลเสียเอง
 
ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จำต้องนำความดังกล่าวไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนและเอาผิด รมว.ดีอีและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมดังกล่าวในวันที่ 8 พ.ค.63 เวลา 10.30 น. ณ สำนักงาน ป.ป.ช. นนทบุรี
 
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1880519982072805&id=285420741582745
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่