JJNY : พิชัยแนะเลิกยุทธศาสตร์20ปี/ชูศักดิ์ห่วงระบบตรวจสอบเงินกู้/3พรรคร่วมจี้อุตตมแจงใช้เงินพ.ร.ก./อุทธรณ์เยียวยาไม่ผ่าน

พิชัย แนะ นายกฯ ยกเลิก ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หากอยากฟื้นเศรษฐกิจ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_3983825
 

 
“พิชัย” ห่วง “บิ๊กตู่” ไม่สามารถรับมือวิกฤตเศรษฐกิจหนัก ชี้ หมดทางต้องขอ 20 เศรษฐีช่วย และเรื่องแจกเงินยังถูกด่าเละ แนะ 9 แนวทาง ยกเลิกยุทธศาสตร์ 20 ปี
 
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในการแถลงข่าวของสภาที่ 3 ว่า 
  
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดหนัก โดยล่าสุดไอเอ็มเอฟได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะถดถอยและติดลบถึง -6.7% ซึ่งหนักกว่าที่แบงก์ชาติคาดการณ์ และเอกชนยังคาดการณ์ว่าจะมีคนตกงานถึงกว่า 10 ล้านคน
 
ซึ่งหนักหนาสาหัสมาก ขนาดตอนนี้ยังมีข่าวการฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาก ห่วงว่าถ้าปัญหาเศรษฐกิจหนักกว่านี้คนจะยิ่งทนกันไม่ไหวจะมีฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นไปอีก อีกทั้งอาชญากรรมจะเพิ่มมากขึ้น
 
ทั้งนี้ เป็นห่วงว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์จะไม่สามารถรับมือกับเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ลงไปอีกได้ ขนาดในช่วงที่เศรษฐกิจโลกดีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ยังบริหารได้ย่ำแย่ และล่าสุด พลเอกประยุทธ์ยังประกาศออกสื่อว่าได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง 20 มหาเศรษฐีขอความช่วยเหลือ
 
ซึ่งแสดงความหมดหนทาง ทั้งที่แจ้งกันส่วนตัวก็ได้ ทำให้หลายคนห่วงว่าจะมีการเอื้อประโยชน์กันภายหลังหรือไม่ และหากจำได้พลเอกประยุทธ์ก็เคยเรียกกลุ่มเศรษฐีนี้เข้าพบแล้วก่อนที่จะประกาศโครงการประชารัฐ ผลคือทำให้คนจนยิ่งจนลง แต่กลับทำให้เศรษฐีรวยขึ้นจนติดอันดับเศรษฐีโลกกันเป็นแผง
 
แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆอย่างการแจกเงินเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 5,000 บาท ยังทำได้ย่ำแย่ สับสนและวุ่นวาย อ้างว่ามีการใช้ Ai คัดกรอง แต่คนทำเพจกลับบอกไม่ใช่Ai ทำให้ผู้ได้รับความเดือดร้อนจริงกลับไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดต้องไปบุกกระทรวงการคลังเพื่อทวงถาม ปรากฏภาพประชาชนที่ลำบากร้องไห้สะเทือนใจออกมามาก
 
เท่านั้นยังไม่พอ พลเอกประยุทธ์ออกมาพูดว่า 5000 บาทได้แค่เดือนเดียว จะให้ 3 เดือนต้องกู้ 1 ล้านล้านก่อน เหมือนกับตั้งใจผูกความลำบากของคนกับเงินกู้ก้อนมหาศาลนี้ ประชาชนออกมาด่ากันเต็มโซเชียล จนต้องส่งโฆษกรัฐบาล และ รมว.คลังออกมาแก้ตัวและยืนยันว่า จ่าย 3 เดือน แน่พร้อมเจ้าตัวออกมาขอโทษว่า สื่อสารผิด
 
ขนาดเรื่องแจกเงินที่ต้องได้คะแนนกลับทำจนเละเทะได้ขนาดนี้ อีกทั้งประชาชนยังสงสัยว่าที่บอกจะกู้ 200,000 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ เพื่อมาแจก ตกลงยังจะกู้อยู่ไหม ถ้ารวมไปแล้วก็บอกประชาชนด้วย จะได้ทราบว่าหนี้ประเทศจะเพิ่มเท่าไหร่ การสื่อสารเรื่องนี้จึงยังสับสนและแสดงถึงวิธีคิดที่ไม่รอบคอบ
 
นอกจากนี้รัฐบาลยังทำประชาชนสิ้นหวัง โดยมีการตั้งนายทหาร 10 กว่าคน รวมทั้งพลเอกปรีชา จันทร์โอชา เป็นกรรมาธิการท่องเที่ยว ทั้งที่การท่องเที่ยวต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ เข้ามาฟื้นฟูในภาวะที่ย่ำแย่นี้
 
และประชาชนแปลกใจกันมากว่า รัฐบาลไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจที่จะมาอธิบายโต้แย้งทางแนวคิดแล้วหรือ ถึงได้ส่งคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีเครดิด แถมต้นทุนทางสังคมยังติดลบ ออกมาตอบโต้แบบไร้ปัญญาและไม่มีวุฒิภาวะ ซึ่งกลายเป็นภาพพจน์ของรัฐบาลทางด้านลบไปแล้ว
 
ทั้งนี้ แม้ว่าดูเหมือนไทยจะสามารถควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสได้แล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งต้องขอชมเชยบุคคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่ความล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลทำให้ความไว้ใจของประชาชนลดลงจนแทบไม่เหลือ ประชาชนไม่เชื่อว่าการกู้จำนวนมหาศาลจะทำให้ช่วยเหลือได้จริงๆ
 
ดังนั้นจึงอยากขอเสนอแนวทาง 9 ข้อ ดังนี้
 
1. การช่วยเหลือเยียวยาต้องกระจายอย่างทั่วถึง ผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ต้องได้รับการเยียวยาทุกคนที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม และต้องทำให้เร็วที่สุดเพราะคนที่เดือดร้อนไม่สามารถจะรอได้ อีกทั้งรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือคนส่วนใหญ่ให้ทั่วถึง ก่อนที่จะไปช่วยนายทุนเจ้าสัว
 
2. การจ่ายเงินประกันสังคมแก่ประชาชนที่ตกงานต้องกระทำอย่างเร่งด่วน และรัฐบาลต้องชี้แจงเรื่องการกู้ยืมจากกองทุนประกันสังคมว่ามีจริงหรือไม่ หากจำกันได้ พลเอกประยุทธ์เคยพูดเรื่องการกู้ยืมเงินประกันสังคมนี้และถูกตำหนิกันอย่างมาก ถ้ายังคงทำก็ต้องนับว่าผิดปกติแล้ว
  
3. การให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เข้าซื้อตราสารหนี้เองโดยไม่ช่วยเหลือผ่านธนาคารรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ ธปท. ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะยอมถอยแล้วแต่กลัวเสียหน้า โดยได้เพิ่มเงื่อนไขให้ทำได้ยากแล้ว ซึ่งหาก ธปท. ยังคงดันทุรัง ธปท. คงต้องตอบคำถามดังนี้
 
• 3.1 ธปท. ใช้เงิน 4 แสนล้านบาท ซื้อตราสารหนี้ที่มีอยู่กว่า 3.6 ล้านล้านบาท ธปท. จะเลือกซื้อตราสารหนี้ของบริษัทใดที่จะไม่ถูกหาว่าเลือกปฏิบัติ Investmest Grade ในแต่ละช่วงเวลาอาจจะต่างกัน หากซื้อของนายทุนเจ้าสัวที่สนับสนุนรัฐบาลที่กำลังจะถึงกำหนดจำนวนมาก ธปท. จะถูกข้อครหาหรือไม่
 
• 3.2 หากมีการผิดนัดชำระเงิน ธปท. จะต้องฟ้องร้องเอกชนเองใช่หรือไม่ ถึงแม้เป็นกองทุนก็ถือหุ้น 100% โดย ธปท. ก็เท่ากับ ธปท. ฟ้องเอง ใช่หรือไม่?
 
• 3.3 ในกรณีฟ้องร้อง ธปท. จะเข้าไปยึดทรัพย์สินของเอกชนเองได้หรือไม่ หรือ เข้าไปควบคุมการเงินของเอกชนได้หรือไม่ นี่เป็น 3 คำถามเบื้องต้นง่ายๆว่าทำไม ธปท. จึงควรช่วยผ่านธนาคารรัฐหรือธนาคารพาณิชย์มากกว่าที่จะเข้าไปดำเนินการเอง เพราะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการผิดชำระเงินของตราสารหนี้ของเอกชนในภาวะวิกฤตนี้ จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจซึ่งจะก่อให้เกิดหนี้เสียที่จะต้องขอลดดอกเบี้ยและลดเงินต้นได้ในอนาคตตามบทเรียนที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งนี้ไม่อยากให้เห็นว่าพลเอกประยุทธ์เรียก 20 เศรษฐี เข้าพบ และสุดท้ายจะมีการตอบแทนกันเรื่องการซื้อตราสารหนี้นี้
 
4. ในด้านพลังงานรัฐบาลยังสับสนอย่างมากเหมือนกับคนตาบอดคลำช้าง นโยบายพลังงานยังสะเปะสะปะหาแนวทางไม่พบ ดังนั้นจึงอยากให้ปฏิบัติดังนี้
 
• 4.1 ยกเลิกการใช้ E20 และ E 85 และถ้าจำเป็นก็ควรยกเลิก E10 ด้วยเพราะปัจจุบันราคาเอทานอลสูงกว่าราคานำ้มันกลั่นแล้วถึงกว่า 4 เท่า จะใช้ผสมน้ำมันทำไมถ้าผสมแล้วทำให้ราคาแพงขึ้น และหากสามารถนำเอทานอลไปปรับเปลี่ยนใช้ในการทำแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันและปัญหาไวรัสโควิด-19ได้หมด ก็ไม่ต้องผสมน้ำมันแล้ว
 
• 4.2 ปรับลดราคาน้ำมันทุกชนิดให้ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงมาก และลดสัดส่วนการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้เป็นไปตามราคาน้ำมันที่ลดลง เพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่ยังคงเก็บอยู่ควรนำแยกออกมาต่างหากเพื่อมาช่วยเหลือประชาชนในช่วงลำบากนี้ หากแยกออกมาไม่ได้ก็ยกเลิกการเก็บไปเลย เพราะรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะใช้เงินอย่างสะเปะสะปะ นอกจากนี่ยังควรต้องปรับราคาหน้าโรงกลั่นด้วย
 
• 4.3 คนบ่นค่าไฟฟ้าแพง ดังนั้น ต้องยกเลิกการอนุญาตการผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูงเพิ่ม อย่าทำให้ประเทศมีต้นทุนไฟฟ้าสูงเกินจำเป็น อีกทั้งปัจจุบันกำลังผลิตไฟฟ้าของไทยมีล้นกว่าความต้องการใช้ถึง 32% แถมปีนี้เศรษฐกิจไทยจะติดลบมาก การใช้ไฟฟ้าก็จะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจด้วย
 
5. เปิดให้มีการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 50% โดยรักษาระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดขอวไวรัสด้วย
 
6. ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะพิสูจน์แล้วว่าตกยุคไม่ทันสมัยตามโลกไม่ทัน และที่ผ่านมารัฐบาลเองทำผิดยุทธศาสตร์ชาติมาโดยตลอด
 
7. เตรียมแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังวิกฤตการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่จะต้องปรับประเทศเข้ากับสภาวะของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงภายหลังวิกฤตการณ์ ซึ่งอาจจะต้องมีการอัดฉีดเงินอีกเป็นจำนวนมาก โดยมุ่งเน้นการสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน
 
8. จัดสรรงบประมาณในอนาคตใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
 
9. การปรับปรุงระบบราชการทั้งหมดให้เป็นระบบออนไลน์โดยประชาชนติดต่อราชการได้สะดวกโดยไม่ต้องไปเองและเพิ่มประสิทธิภาพ
 
นี่เป็นเพียงหลักคิดเบื้องต้นที่อยากแนะนำ โดยอยากให้รัฐบาลได้คิดล่วงหน้าและป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิด ไม่ใช่ตามแก้ปัญหาตลอดเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยห่วงว่าปัญหาเศรษฐกิจจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเกินกว่ารัฐบาลและพลเอกประยุทธ์จะรับมือได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส
 

  
ชูศักดิ์ ห่วงระบบตรวจสอบเงินกู้ 1 ล้านล้าน ให้อำนาจนายกฯคนเดียวตั้ง 5 ผู้ทรงคุณวุฒิ
https://www.matichon.co.th/politics/news_2148469
  
“ชูศักดิ์” ห่วงการตรวจสอบปมออก พ.ร.ก.กู้เงิน ชี้ให้ดูบทเรียน ปรส. แนะใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท รายงานรัฐสภาทุกไตรมาส
 
เมื่อวันที่ 20 เมษายน นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พ.ศ.2563 ว่า สาระสำคัญของพ.ร.ก.ฉบับนี้ คือ ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจกู้เงินจำนวนไม่เกินหนึ่งล้านล้านบาทภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 เพื่อนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้โดยการกู้เงินดังกล่าวให้ถือเป็นการกู้เงินตามมาตรา 53 แห่งพ.ร.บ.วินัยการการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 กล่าวคือ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบและเงื่อนไขตามพ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะและเงินที่ได้รับจากการกู้นี้ให้กระทรวงการคลังเก็บรักษาไว้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐเบิกไปใช้จ่ายตามแผนงานหรือโครงการตามที่พ.ร.ก.นี้ได้กำหนดไว้ โดยไม่ต้องนำส่งคลัง ส่วนการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้นั้น พ.ร.ก.ฉบับนี้ กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ โดยมีเลขาสภาพัฒน์เป็นประธานกรรมการ โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะมีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการบริหารและจัดการกู้เงิน การเบิกจ่ายเงินกู้ การชำระหนี้ สำหรับการรายงานนั้นพ.ร.ก.ก็ได้กำหนดไว้เพียงว่า ภายใน 60 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณให้กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดนี้ที่ได้กระทำ ในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วให้รัฐสภาทราบ สรุปก็คือ รายงานให้ทราบปีละหนึ่งครั้ง และเป็นการรายงานการกู้เงินเท่านั้น ไม่ใช่รายงานการใช้จ่ายเงิน
 
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาในหลักการถึงเหตุผลและความจำเป็นในการออกพ.ร.ก.ก็เป็นที่เข้าใจและยอมรับได้ แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันไปบ้างในแนวทางปฏิบัติ ทั้งนี้เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะแก้วิกฤติจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในด้านต่างๆ ตนมีข้อห่วงใยว่า เมื่อวงเงินกู้ตามที่ให้อำนาจไว้มีจำนวนสูงถึงหนึ่งล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารกู้เงินไว้สูงมาก แต่เมื่อพิจารณาระบบการตรวจสอบและการรายงานการใช้จ่ายเงินที่ได้กำหนดไว้ ที่ให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นหัวหน้าส่วนราชการ 6 คนและผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวนไม่เกิน 5 คน จะเห็นได้ว่าสัดส่วนของภาครัฐกับผู้ทรงคุณวุฒิที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง มีจำนวนใกล้เคียงกันมาก ส่วนคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่ได้กำหนด วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งก็ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว แทนที่จะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กลับให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเพียงลำพังในการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 5 คน ทั้งที่ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ต้องมาพิจารณาเรื่องที่มีความสำคัญมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่