JJNY : อนุสรณ์ชี้ปชช.ระแวง-ไม่ไว้วางใจ/ชำนาญ จันทร์เรือง:รัฐบาลไร้กึ๋น/เทพไทชี้เราไม่ทิ้งกันมีช่อง/ปีนี้ไข้เลือดออกแรง

“อนุสรณ์” ชี้ ปชช.ระแวง-ไม่ไว้วางใจ รัฐบาลส่งจดหมายถึงมหาเศรษฐี
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2146954

 

“อนุสรณ์” ชี้ ปชช.ระแวง-ไม่ไว้วางใจ รัฐบาลส่งจดหมายถึงมหาเศรษฐี อยากให้รับฟังความคิดเห็นของทุกคนมากกว่า
 
เมื่อวันที่ 19 เมษายน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศจะส่งจดหมายเทียบเชิญ “มหาเศรษฐีไทย” 20 อันดับ ให้มาร่วมมือกันฝ่าวิกฤติโควิด-19 ว่า การออกจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐี เปรียบเสมือนการคายฟันยาง สารภาพแล้วว่า รัฐบาลหมดหนทางในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หมดปัญญาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่จะตามมาหรือไม่
 
ทั้งนี้การแก้เกี้ยวว่า ไม่ได้มีเจตนาจะไปขอเงิน แต่อยากเปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกคนโดยตรงมากกว่านั้น อาจฟังไม่ขึ้น เพราะพล.อ.ประยุทธ์ ใช้คำว่าจะร่วมมือหรือลงมือทำได้อย่างไรจากเศรษฐีนั้น คำว่า ลงมือ กับลงขัน มันใกล้คียงกันมาก พอนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเสนอแนะความคิดเห็น ถูกเรียกมาปรับทัศนคติ แต่ มหาเศรษฐีใช้คำว่าเชิญมาระดมความคิดเห็น ความจริงรัฐบาลฟังความเห็นได้จากหลายสภาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสภาเจ้าสัวให้ประชาชนหวาดระแวง ว่า จะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน
 
นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า เมื่อรัฐบาลได้รับการช่วยเหลือจากมหาเศรษฐีแล้ว รัฐบาลต้องเอื้อประโยชน์สิ่งใดเป็นการตอบแทนหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง นักธุรกิจที่เสียเปรียบมาโดยตลอดและเป็นผู้ที่ไม่ได้รับเชิญ จะเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น เป็นการเลือกปฏิบัติ รัฐบาลกำลังสร้างความเหลื่อมล้ำขึ้นมาเสียเอง ถ้าต้องการรับฟังความคิดเห็นจริงๆ ไม่ควรจำเพาะเจาะจงเฉพาะมหาเศรษฐี ฟังจากนักวิชาการ ผู้มีความรู้ เจ้าของธุรกิจรายเล็กรายกลาง รวมถึงประชาชนที่เดือดร้อนเข้าไม่ถึงการเยียวยา 5000 บาท แค่เปิดประตูใช้หัวใจฟัง อย่าปิดประตูใส่ชาวบ้านที่เดือดร้อน รัฐบาลก็จะได้ความคิดเห็นที่หลากหลาย
 
“พล.อ.ประยุทธ์ จะกลอนพาไป พูดไปเรื่อย หรือใครเขียนให้พูด ก็ตาม แต่ประชาชนหวาดระแวง ที่จะขอความช่วยเหลือจากมหาเศรษฐี เพราะดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของรัฐบาล ดูแล้วก็ไม่น่าไว้วางใจ” นายอนุสรณ์ กล่าว
 

 
ชำนาญ จันทร์เรือง: รัฐบาลไร้กึ๋น จะแก้โควิด-19 แต่สร้างปัญหาอื่นตามมาเป็นขบวน 
https://prachatai.com/journal/2020/04/87263
 
ทวีศักดิ์ เกิดโภคา: สัมภาษณ์/เรียบเรียง
 
ชำนาญ จันทร์เรือง อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประเมินการทำงานของรัฐบาลสืบทอดอำนาจในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ชี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และการเคอร์ฟิว ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาโรคระบาด รังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบมาช้า มีปัญหาหลายจุด แทนที่จะสร้างความพอใจให้ประชาชนกลับกลายเป็นการทำให้คนเจ็บใจ เชื่อรัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต่ออีกหนึ่งเดือน หวังผ่อนปรนให้คนได้ทำมาหากิน ย้ำหลังหมดโควิด รัฐบาลหนีความรับผิดชอบไม่พ้น พร้อมสวนกลับมายาคติ ‘อำนาจนิยม’ เป็นที่สุดของการแก้ปัญหา
 
ผ่านมา 25 วันแล้ว สำหรับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อจัดการสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายการนำของรัฐบาลสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตรการต่างๆ ที่มีการบังคับใช้ไม่ว่าจะเป็นการประกาศสั่งปิดกิจการต่างๆ ชั่วคราว ชะลอการเคลื่อนย้ายประชากร ห้ามประชาชนออกจากเคหสถาน ฯลฯ เป็นไปอย่างเข้มข้น ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อภายในประเทศในช่วงหลังได้ลดลงเหลือผู้ติดเชื้อเพิ่มรายวันเพียงหลักสิบ แต่ยังไม่สามารถอ้างได้ว่าเกิดจากมาตรการที่เข้มข้นนี้ทั้งหมด
 
ขณะที่ปัญหาทางเศรษฐกิจ ประชาชน คนเล็กคนน้อย คนหาเช้ากินค่ำกำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ ส่วนหนึ่งที่สำคัญเกิดขึ้นจากมาตรการของรัฐบาลอย่างชัดเจน และหากเทียบระยะเวลาในการรับมือกับสถานการณ์นับตั้งแต่มีผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศไทย จนถึงวันที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากกรณีของสนามมวย และสถานบันเทิง ช่วงเวลาระหว่างนั้นกลับไม่มีการดำเนินมาตรการที่เข้มงวดตามที่ พ.ร.บ.โรคต่อติดให้อำนาจไว้ จนที่สุดนำมาซึ่งการใช้ยาแรงอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ควบอำนาจเบ็ดเสร็จให้อยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหา ซึ่งในหลายแง่มุมได้สร้างผลกระทบและปัญหาอื่นๆ ตามมา
 
เราพูดคุยกับ ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการและสมาชิกคณะก้าวหน้า อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และอดีตประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ถึงสถานการณ์วิกฤตอันเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการอันเข้มข้นของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงมาตรการเยียวยาที่เหมือนเป็นการซ้ำเติมผู้คนให้เจ็บใจยิ่งกว่าเดิม
 
000000
 
ภาวะเสพติดวิธีแก้ปัญหาแบบอำนาจนิยม ของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ
 
ชำนาญมองว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของรัฐบาลประยุทธ์ และการใช้อำนาจบังคับออกมาตรการต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา หลายกรณีดูเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล และไม่ได้สัดส่วนกับปัญหา อีกทั้งการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ จะต้องใช้อำนาจเท่าที่จำเป็น ใช้ในเวลาที่จำกัดและสอดคล้องกับความจำเป็นตามหลักความได้สัดส่วน ไม่ใช้ว่านึกจะห้ามคนทำอะไร ก็ห้ามไปทุกอย่าง
 
เขาชี้ว่า พ.ร.บ.โรคติดต่อ ที่ประเทศไทยมีอยู่นั้น มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถทำได้เหมือน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การมีข้อยกเว้นการรับผิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ อันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้การควบคุมดูแลสถานการณ์ อย่างไรก็ตามมีหลายประเทศทั่วโลกที่ปัจจุบันนี้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ได้มีมาตรการที่รุนแรงเหมือนกับไทย เช่น ญี่ปุ่น ไม่ได้ห้ามคนออกจากบ้าน แต่ให้ระมัดระวังรักษาระยะห่างทางสังคม พร้อมทั้งดำเนินการมาตรการต่างๆ อย่างเป็นระบบ มีเหตุมีผล
 
การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ครั้งนี้ สำหรับชำนาญ มองว่า มีลักษณะเป็นการยึดอำนาจรัฐมนตรีบางกระทรวง เข้ามารวมอยู่ที่นายกรัฐมนตรีทั้งหมด และแต่งตั้งปลัดกระทรวงขึ้นมาทำหน้าที่แทนรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมือง
 
“ทั้งหมดนี้มันสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลสืบทอดอำนาจยังมีวิธีในการแก้ไขปัญหาแบบการบังคับ หรือใช้อำนาจนิยมเป็นตัวตั้ง อาจจะด้วยความที่เขามาจาการรัฐประหาร และสืบอำนาจ จึงถนัดที่จะใช้วิธีการแบบบังคับมากกว่า วิธีการอื่นๆ แต่ในวิกฤติครั้งยังถือว่ามีเรื่องดีอยู้อย่างหนึ่งคือ นายกรัฐมนตรีไม่มีความรู้ด้านการสาธารณสุขเลย จึงจำเป็นต้องฟังหมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ คงไม่ฟัง แต่ถึงอย่างนั้นเราต้องไม่ลืมว่า การแก้ไขสถานการณ์โควิ-19 เราใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์อย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง และมีองค์ความรู้ที่ต้องเขามาบูรณาการแก้ไขปัญหา ทั้งเศษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ มนุยวิทยา สังคมวิทยา” ชำนาญ กล่าว
 
ชำนาญ กล่าวด้วยว่า แพทย์แม้จะสำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมดของการแก้ไขปัญหา หลายประเทศมีการชั่งตวงวัดประเมินอย่างรอบด้านว่าจะจัดการปัญหาโรคระบาดอย่างไรเพื่อไม่สร้างปัญหาเรื่องอื่นๆ ให้เกิดขึ้นมาอีก สำหรับประเทศไทยเองก็มีการแถลงทุกวันว่า แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงหลักแค่หลักสิบต่อวัน แต่ก็ขอให้ประชาชนอย่าประมาท ยังต้องดำเนินมาตรการที่เข้มข้นต่อไป คำถามคือ ถ้าความพังทลายของเศรษฐกิจ ความพังทลายของบ้านเมืองเกิดจะมีสุขภาพที่ดีไปทำไม?
 
ชำนาญกล่าวในฐานะสมาชิกกลุ่มรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน(ASEAN Parliamentarians for Human Rights – APHR)  เมื่อไม่กี่วันก่อน สมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพิ่งมีการประชุมทางออนไลน์ สมาชิกหลายรายรับไม่ได้กับคำพูดของนายกรัฐมนตรีที่ว่าจะต้องเอา สุขภาพมาก่อนเสรีภาพ เพราะเขามองว่าทั้งสองเรื่องไปควบคู่กันได้ ไม่จำเป็นต้องจำกัดเสรีภาพมากขนาดนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามจำกัดเสรีภาพประชาชนเลย แต่ควรทำเท่าที่จำเป็น และต้องมีเหตุผล และได้สัดส่วนกับปัญหา อย่างการประกาศเคอร์ฟิว ต้องใช้เจ้าหน้าที่เท่าไหร่ ในการควบคุมประชาชน หรือเรื่องของการจำกัดเสรีภาพในการสื่อสาร ทำไมผู้สื่อข่าวจึงไม่สามารถออกไปทำหน้าที่ช่วงเคอร์ฟิวได้ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียก็มีการดำเนินคดี เช่นการตั้งข้อหากับ ดนัย อุสมา  ศิลปินที่จังหวัดภูเก็ตที่แสดงความเห็นเรื่องการตรวจคัดกรองโรคที่สนามบิน หลังจากที่เขาเดินทางกลับจากประเทศสเปน ซึ่งเป็นประเทศหัวตารางของจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลก โดยที่ไม่มีการตรวจคัดกรองเมื่อช่วงสิ้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
 
เสถียรภาพของรัฐบาลสำคัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ภาวะผู้นำ วิสัยทัยทัศน์ และความเข้าใจประชาชน
 
ขำนาญ ระบุด้วยว่า ความขาดเสถียรภาพของรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองหลายพรรค เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่กระนั้นก็ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา สิ่งที่สำคัญกว่าอื่นใดคือ ภาวะความเป็นผู้นำที่ดี มีวิสัยทัศน์ เข้าใจประชาชน และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่ต้องตัดสินใจ ยกตัวอย่างเช่น เยอรมนีเองรัฐบาลก็มีสภาพเสียงปริมน้ำไม่ต่างจากของประเทศไทย แต่ผู้นำมีวิสัยทัศน์ มีประสบการณ์ มีการจัดการกับปัญหาที่ดี และกล้าตัดสินใจ หรือกรณีของไต้หวัน เห็นได้ชัดว่าผู้นำมีความกล้าตัดสินใจ ประเมินสถานการ์ได้อย่างถูกต้อง มีความรู้เรื่อง IT และหยิบนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน แต่สำหรับประเทศไทยในช่วงก่อนเกิดการระบาดที่มากขึ้น ผู้นำไม่กล้าตัดสินใจ ชักเข้าชักออก ทั้งเรื่องการจำกัดการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีน การตรวจคัดกรองที่สนามบินที่กลับไปกลับมา ขาดความชัดเจน
 
ขณะเดียวกัน ชำนาญเห็นว่า โครงสร้างของระบบราชการแบบเดิมของไทยมีปัญหาอยู่เยอะมาก ประกอบกับปัญหาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น แต่โชคดีของไทยคือ การมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เข้มแข็ง ส่วนกรณีที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือกับสถานการณ์นั้น แท้จริงแล้วจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตามมาด้วยอุทัยธานี ก่อนที่มหาดไทยจะแก้เกี้ยวด้วยการให้อำนาจจังหวัดดำเนินการเอง กระนั้นก็ตามการให้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ในครั้งแท้จริงแล้วไม่ใช่การกระจายอำนาจ แต่เป็นเรื่องของการปัดความรับผิดชอบ หรือพูดภาษาลุงทุ่งคือ ปัดสวะ
 
“อย่างการล็อคดาวน์กรุงเทพฯ โดยผู้ว่า กทม. สุดท้ายแล้วก็ทำให้คนฮือกันออกไปต่างจังหวัดจำนวนมาก ทีนี้กลายเป็นว่าทำให้เกิดแพร่กระจายเชื้อเพิ่มมากขึ้นไปอีก จากเดิมที่เคยอยู่ที่กรุงเทพ ก็กระจายออกไปตามต่างจัดหวัด เกิดผลกระทบที่ตามมาอีกมากมาย ขณะเดียวกันตอนประกาศล็อคดาวน์รัฐบาลก็ยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือคนที่ต้องหยุดงานหรือตกงาน” ชำนาญ กล่าว
 
อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ชี้ว่า หลังจากวิกฤตครั้งนี้ ควรจะมีการสังคายนาระบบราชการ และการกระจายอำนาจกันใหม่ และที่สำคัญจากประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมาของโลก หลังวิกฤตทางเศรษฐกิจใหญ่จะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเมืองครั้งสำคัญเสมอ และครั้งนี้นอกจากเรากำลังเจอกับวิกฤตโรคระบาดแล้ว เรายังเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงยิ่งกว่าปี 2540 แต่รุนแรงพอๆ กับ The Great Depression ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างไทยเราสิ่งที่ตามมาหลัง The Great Depression ก็คือการเปลี่ยนการปกครอง 2475 หลายประเทศก็เช่นกัน และครั้งนี้ก็เชื่อว่า หลังวิกฤติโควิด-19 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้น เพราะเศรษฐกิจกับการเมืองเป็นเรื่องที่หนีกันไม่พ้น และเชื่อว่ามากกว่าการเปลี่ยนรัฐบาล เพราะประชาชนเห็นชัดแล้วว่าโครงสร้างการเมืองแบบนี้รองรับกับวิกฤตใหญ่แบบนี้ไม่ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่