[CR] "Leh Ladakh" Diary - - Episode 2 : 'U' is Keyword

9 กรกฎาคม 2560

...อีกนิดเดียวก็จะได้เจอกันแล้ว จะรักหรือจะเกลียดกัน ก็ยังไม่รู้...


เซอร์ไพรส์เล็กๆเริ่มตั้งแต่เช้า....เมื่อรถที่เรานัดกับทางโรงแรมเพื่อไปส่งที่สนามบิน มีการเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนไปจากเมื่อคืน ทำให้ล้อหมุนไม่ตรงเวลา เราเลยต้องเร่งสปีดตัวเองแทน แต่ก็ยังอุ่นใจได้ว่า สนามบินอยู่ใกล้ และแถวเช็คอินไม่ยาวเท่าไหร่



ระหว่างรอเช็คอิน หน้าตาผู้ร่วมทริปยังไม่ตื่นนอนดี



ตอนเช็คอินเรารีเควสท์ที่นั่งฝั่งซ้าย เพราะทุกรีวิวย้ำว่า วิวก่อนเครื่องลงที่เลห์ 15 นาที สวยมากกกกก สวยชนิดที่ไม่ควรหลับบนเครื่องแม้จะง่วงแค่ไหน เจ้าหน้าที่ยิ้มให้แบบแปลกๆ ก่อนที่จะจัดให้ตามความต้องการ พร้อมกับบอกว่า Gate เราอยู่ไกลมาก ให้รีบไปเลยเดี๋ยวไม่ทัน

ร่างกายและจิตใจตอนนั้นต้องการกาแฟในระดับโหยหา โค้งสุดท้ายพอเห็น Gate ตัวเองไกลๆ มีร้านกาแฟอยู่ตรงหน้า ดูนาฬิกาเหลือเวลาอีก 20 นาที...ทันน่า ใกล้แค่นี้...เราเลยบอกสิตูน ปุ๊ก เต้ ว่า แวะซื้อกาแฟเหอะ...แต่นี่มันรวมตัวอาถรรพ์เลยนะ เราควรจะเอะใจอะไรบางอย่างก่อนหยุดเดิน...เพราะในขณะที่เรากำลังออร์เดอร์ แต่ไม่ทันจะจ่ายตังค์ ก็เห็นพูมพยายามโบกมือส่งสัญญาณให้ แว่บแรกยังคิดว่าทักทายธรรมดา แต่ทำไมพูมหน้าตาตื่นจัง...

...อ๋ออออออ เครื่องจะออกแล้ว!!!...

ตอนนั้น 4 คนที่เหลือ โกยแน่บ วิ่งเร็วเท่าที่จะหอบสภาพร่างได้...ในที่สุดก็ทันแบบฉิวเฉียด นี่ยังไม่ทันถึงเลห์ อากาศก็ยังปกติ พวกเราก็หาเรื่องให้อะดรีนาลีนสูบฉีดแล้ว...นั่นไง ทริปนี้สนุกแน่...

และแล้ว...ปริศนารอยยิ้มแสนแปลกของเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ถูกไขกระจ่าง...ภายใต้ที่นั่งฝั่งซ้ายตามคำขอ คือตำแหน่งของปีกเครื่องบินพอดี!! วิวพันล้านที่เฝ้ารอ เจอปีกบังเต็มๆ...ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนจดจำยิ่งกว่ารอยยิ้มโมนาลิซา...


นี่คือวิวที่เราควรได้เห็น

เรามาถึงสนามบินเลห์ตอนเจ็ดโมงเช้า...เหนืออื่นใดทั้งปวง พวกเราต้องลุ้นกันว่า Travel Agent ชื่อ Sam ที่น้องเอติดต่อมาตลอด มีตัวตนจริงมั้ย เพราะ Sam ดูชิลมาก ไม่เรียกเก็บเงินมัดจำ ไม่อะไรทั้งนั้น เราไม่รู้แม้แต่ชื่อที่พักที่เราจะอยู่ พอใกล้วันเดินทางน้องเอถามรายละเอียดเพิ่ม ก็บอกแต่ว่า ไม่ต้องห่วง...แต่ห่วงพวกเราหน่อยก็ดีนะ เราเจอคำสาปกันมาเยอะแล้ว

เดินลากกระเป๋าออกมานอกสนามบิน ก็เจอกลุ่มคนถือป้ายชื่อ รออยู่ด้านนอกเต็มไปหมด เราเดินรี่เข้าไปหา เห็นป้ายชื่อ Sasipim ชื่อจริงของน้องเอทันที... แซมมีตัวตนจริงสินะ แซมไม่หลอกเรา คืนนี้เรามีที่นอนแล้ว ><

คนที่มารับเรามี 2 คน คนแรกพูดภาษาอังกฤษได้ ชื่อ “ลูลู่” เหมือนเป็นพนักงานออฟฟิศฝ่ายประสานงาน อีกคนชื่อ “โดลเช” คนนี้เป็นคนขับรถและจะเป็นอีกหลายๆอย่างของพวกเราตลอดทริปนี้



ด้านหน้าสนามบิน รถรับนักท่องเที่ยวจอดเรียงราย



รถคันนี้นี่ล่ะ...ที่จะพาเราไปทุกที่ตลอดทั้งทริป



ด้านบนรถ ที่ขนกระเป๋าอยู่นี้ คือ “โดลเช”

ถึงแม้โดลเชจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่โดลเชบริการเราด้วยหัวใจ และพยายามทำทุกอย่างตามที่เราขอจริงๆ .... วันแรกที่เจอพวกเราไม่รู้เลยว่า เราโชคดีขนาดไหนที่มี “โดลเช” เป็นเพื่อนร่วมทางอีกคน

ที่พักของพวกเราเป็นเกสต์เฮาส์ขนาดเล็ก สัญญาณ wi-fi ก็ดูจะจำกัดตามขนาดไปด้วย...ในเวลาปกติจึงเกิดการแย่งชิงสัญญาณ wi-fi ขึ้น พวกเราเลยถูกตัดขาดจากโลกโซเชียลไปโดยปริยาย เวลาที่ดีที่สุดในการเล่นเนท คุยไลน์ เข้าเฟส อัพไอจี เช็คเมล คือตอนเช้าก่อนที่ทุกคนจะตื่น...นกที่ตื่นเช้า ย่อมจับหนอนได้ก่อนสินะ...



บรรยากาศที่พัก ระหว่างรอเข้าห้องพัก



โปรแกรมวันนี้ช่วงเช้าให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัย ตอนเที่ยงกินข้าวที่ห้องอาหาร ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอนพัก ปรับสภาพร่างกาย ให้คุ้นกับพื้นที่สูงตามคำแนะนำ...พวกเราเลยมีนัดกันอีกทีตอนสี่โมงเย็น


รวมตัวเม้ามอยก่อนแยกย้าย


ห้องแต๊กเปิดเป็นสหกรณ์อาหารแห้งและขนมนานาชนิด


หน้าตาอาหารมื้อแรกในเลห์ “โมโม่” มีลักษณะและรสชาติคล้ายๆ เกี๊ยวนึ่งบ้านเรา รวมๆแล้วก็โอเค


Street Fashion Set หน้าที่พัก


ก่อนสี่โมงนิดนึง “โดลเช” คนขับของพวกเราก็พารถคู่ใจมารอหน้าเกสต์เฮาส์แล้วเรียบร้อย วันนี้พวกเราจะเที่ยวในตัวเมือง ระยะทางใกล้ๆ นั่งรถแป๊ปเดียวก็ถึง

เริ่มจาก

1. เจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) - เจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก อีกสัญลักษณ์ของเมืองเลห์

2. วัดนัมเกล เซโม (Namgyal Tsemo Monastery) - ในอดีตเคยเป็นพระตำหนักที่ประทับของกษัตริย์ซิงเก นัมเกล ปัจจุบันเป็นสำนักงานของหน่วยอนุรักษ์โบราณสถานของรัฐบาลอินเดียสาขาลาดักห์

3. พระราชวังเลห์ (Leh Palace) - อดีตเป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์แห่งลาดักห์


1. เจดีย์สันติภาพ (Shanti Stupa) – สำหรับเราภาพจำของที่นี่คือ ลมแรงมากกกกกกกก เดินถ่ายรูปได้รอบๆเพลินๆ ไม่เหนื่อยมาก



วิวจากด้านบน Shanti Stupa


ลมแรงเบอร์ 10




ประเดิมห้องน้ำสาธารณะ...มันก็โอเคนะ แค่มีผ้าปิดปากนิดหน่อยก็รอดแล้ว

2. วัดนัมเกล เซโม (Namgyal Tsemo Monastery) – บันไดอันไม่รู้จบ เดินจนร่างแหลก หน้าหมดสภาพ

เย็นแล้วแต่แดดยังแรงอยู่เลย


กับธงมนต์ สิ่งแรกๆที่หลายคนนึกถึง เมื่อพูดถึงเลห์


“ปัท” ผู้แข็งแกร่งที่สุดของทริป กับ “น้องเอ” สาวอึดผู้ไม่ย่อท้อ


นั่งพักทุกจังหวะที่นั่งได้ 5555

....แต่!!! เรื่องเซอร์ไพรส์มักรอเราอยู่เสมอ....

คนขับหวังดี เพราะเห็นว่าใกล้มืดแล้ว อยากให้มีเวลาอยู่ที่ Leh Palace ที่สุดท้ายได้นานๆ เลยแนะนำเราว่า ลองเดินลงเนินไปกันเองมั้ย น่าจะเร็วกว่านั่งรถไป เพราะเดินตัดไปเลยแป๊ปเดียวถึง แต่ขับรถต้องอ้อม เดี๋ยวเขาจะขับไปรับพวกเราตอนหลัง

...เราเดินไปชะเง้อตามที่เขาบอก...เออ ก็ไม่ไกลนะ ลมเย็นๆ อากาศดีๆ เดินลงเนิน น่าจะสบาย เห็นหลังคา Leh Palace อยู่ลิบๆละ...หลังจากประมวลผลในหัวตัวเองเสร็จสรรพ ก็เลยหันไปบอกเพื่อนๆว่า เดินลงเนินกันเหอะ เดินได้ ไม่ไกล...ไม่รู้ไปเอาอะไรมามั่นใจในศักยภาพตัวเอง

ในขณะที่ทุกคนตกลงจะร่วมทางกันเดินลงเนิน มีอาร์ทที่ขอทำตัวเหงาๆ แยกทางไปกับรถ...ตอนนั้นไม่มีใครคิดเลยว่า อาร์ท คือคนที่ฉลาดสุดในกลุ่ม และกำลังจะได้รับการสถาปนาให้เป็น “ท่านผู้นำจิรสิน”


เริ่มลังเล ตอนจะเริ่มเดินจริง



ทางเดินลงเนินน่ะ ไม่ไกลจริงๆนั่นแหละ...แต่มันชัน ที่สำคัญพื้นออกจะเป็นแนวทรายๆ...ด้วยรองเท้าที่ไร้การเกาะยึดของเรา ทำให้เดินแล้วลื่นแทบทุกก้าว จากภาพที่คิดในหัวว่า เดินชมวิวลงมาสวยๆ กลายเป็นเดินสั่นลงมารั้งท้าย วิวข้างทางไม่ได้มองหรอก มองแต่พื้นที่จะเหยียบไปข้างหน้า...กลายเป็นคนมองการณ์ใกล้มากๆ ช่างแตกต่างจากจิรสินที่มองการณ์ไกลยิ่งนัก

ก่อนที่เราซึ่งเป็นคนสุดท้ายของขบวน จะก้าวเท้าแตะพื้นราบ...รถของพวกเรา ก็ขับมาถึงก่อนเรียบร้อยแล้ว ><

แม้จะอ่านมากี่สิบรีวิว...ก็ยังไม่เคยเห็นรีวิวไหน ต้องเดินลงเนินเองเหมือนแก๊งเรา...อะไรที่ไม่คิดไม่ฝัน ก็เกิดขึ้นได้เมื่อพวกเรารวมตัวกันสินะ

3. พระราชวังเลห์ (Leh Palace) – ลงมาถึงที่ Leh Palace ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ที่นี่มีหลายชั้น ไหนๆมาถึงแล้ว ก็ต้องเดินขึ้นกันต่อ ข้างในเริ่มมืดแบบมองไม่เห็นอะไรแล้ว บรรยากาศมีความสะพรึงเบาๆ ต้องใช้แสงไฟจากมือถือแทนไฟฉาย เราจำไม่ได้ว่ามีทั้งหมดกี่ชั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองขึ้นมาถึงชั้นอะไร บนสุดหรือยัง...รู้แต่มันคล้ายๆดาดฟ้าแล้วล่ะ



ยืนดูวิวจากดาดฟ้า เห็นได้ไกลทั่วเมืองเลห์ พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า เสียงสวดมนต์ลอยมาเบาๆ ที่จริงทุกอย่างตอนนั้นมันดีมากเลยนะ ถ้าไม่นับเสียงท้องร้องที่คลอมาด้วย ผสมกับอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ จนหนาวเบาๆ และความมืดที่เริ่มปกคลุมมากขึ้นทุกที...เราเลยอยู่บนนั้นกันไม่นาน ก่อนที่จะสามัคคีกันกลับมาที่รถ

คืนนั้นเรากลับมากินข้าวเย็นกันที่โรงแรม เต้เริ่มมีไข้ เลยขอตัวนอนพัก เราเลยเอาข้าวเย็นขึ้นไปให้ทานที่ห้อง ไม่รู้เพราะหิวหรือว่าอร่อย...เต้ทานหมดเกลี้ยง เราก็ใจชื้น แสดงว่ายังไม่เป็นอะไรมาก ถ้าจะทานข้าวหมดจานขนาดนี้



จบไปอีกหนึ่งวันแล้วสินะ แค่วันแรกที่เลห์เองนะเนี่ย แค่เริ่มต้นก็ทำให้เราคิดถึงหลายคำในภาษาอังกฤษ ที่ล้วนขึ้นต้นด้วยตัว U

Unpredictable – Unexpected – Unplanned

โดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่า ทั้งหมดมันจะพาเราไปสู่ U ตัวสำคัญ นั่นคือ

‘Unforgettable’

...หนึ่งวันอันยาวนาน และความทรมานที่ยังไม่เริ่มขึ้นจริง...
 
...................................................................................
ตอนก่อนหน้า
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 0.5 : Before We Go
https://pantip.com/topic/39788043
"Leh Ladakh" Diary - - Episode 1 : ‘10’ is a Perfect Number
https://pantip.com/topic/39788073
ชื่อสินค้า:   เลห์ ดาลักห์ อินเดีย
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่