สวัสดีค่ะ วันนี้ จขกท ขออนุญาตมารีวิว Leh in May
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือเป็นทริปที่พาพ่อแม่ไปเที่ยวในที่ที่คิดว่าไม่น่าจะไปได้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่า มันเป็นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากๆบ้าง
อากาศเบาบาง อาหารการกินลำบาก ไม่สะดวกไม่สบายเหมือน ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ยุโรป
ระวังอาการแพ้ความสูง ฯลฯ วันนี้เราได้ทำทริปนี้สำเร็จและกลับมาด้วยรอยยิ้ม ความสนุก
ความทรงจำที่ดี คิดว่าพอจะเป็นแนวทางให้เพื่อนๆที่สนใจได้

อันนี้แปะลิงก์ไฟล์วิดีโอจากโดรนไว้ให้เพื่อนๆรับชม มีทั้งหมด 3 parts ด้วยกัน
part 1 :

part 2 :

part 3 :

ครั้งแรกสุด จขกท จะขอไปเที่ยวกับน้องชายแค่สองคน
แต่พ่อแม่ไม่ยอม และเป็นห่วงมาก เขาก็ถาม ไปที่ไหน คือที่ไหน
น่าไปยังไง จขกท ก็ present ยิ่งกว่านำเสนองานสมัยเรียนอีกค่ะ
มันจะสวยแบบนี้นะ มันจะน่าไปมากๆ พ่อกับแม่ว่าไง สนใจไหม
แรกๆก็มีคำถามเยอะค่ะ อินเดียมีหิมะเหรอ?? มีแต่เครื่องเทศ เราจะกินอะไร??
แขกมีกลิ่นตัวนะ?? จะสกปรกรึเปล่า เราก็เปิดรูปรัวๆค่ะ บิ้วท์สุดๆ
ว่าโอ้โห มันดีมาก มันสวยมาก เราต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง ฯลฯ
สรุป พ่อแม่ตกลงยินยอม ทริปนี้จึงได้เกิดขึ้น
วันที่ 5-10 May 2017
การเดินทาง : เดินทางด้วย Jet Airways ตลอดทั้งสี่เที่ยว
วีซ่า : เนื่องจากกรุ๊ปของ จขกท ไม่สะดวกจะเดินทางไปทำวีซ่า
จึงได้ขอวีซ่าเป็นแบบ e-visa : สะดวก รวดเร็วมากทีเดียว แปะลิงก์ไว้ให้สำหรับเพื่อนๆที่สนใจ e-visa
อัพเดท ตอนนี้ e-visa ได้วีซ่าเป็น multiple สำหรับเข้าออกภายใน 60 วัน
http://www.orientavista.com/index.php/visa-th/181-india-tourist-visa
แพลนท่องเที่ยวเป็นดังนี้
5 May 2017 : Bangkok-New Delhi (พักค้างเดลี 1 คืน)
6 May 2017 : New Delhi-Leh
- พักผ่อนครั้งวัน เริ่มท่องเที่ยวตอนบ่าย
- Leh Palace พระราชวังเลห์
- Shanti Stupa เจดีย์สันติภาพ
7 May 2017 :
- Hemis Monastery วัดเฮมิส
- Thiksey Monastery วัดติ๊กเซย์
- Shey Palace พระราชวังเชย์
8 May 2017 :
- Pangong Lake ทะเลสาบปันกอง (1 day)
9 May 2017 :
- Confluence of 2 rivers จุดตัดแม่น้ำสองสาย
- Magnetic Hill ภูเขาแมกเนติก
10 May 2017 :
- ออกเดินทางจาก Leh-New Delhi / New Delhi-Bangkok
สมาชิกในทริปประกอบไปด้วย :
จขกท, พ่อแม่และน้องชาย + เพื่อนของน้องชายอีก 2 คน
สรุปสมาชิกมีจำนวน 6 คน

จขกท เดินทางด้วยสายการบิน Jet Airways ช่องทางการไปจอง มีรีวิวเยอะอยู่แล้ว
จะขออนุญาตข้ามไป แต่จะมาเล่าประสบการณ์แทน
1. เก้าอี้นั่งโดยสาร กว้างพอประมาณ สำหรับคนขาสั้นคือยืดขาได้สบายๆ
2. อาหารที่เสริฟบนเครื่อง ที่ออกจากต้นทางประเทศไทย กรุงเทพฯของเรา อร่อยเลิศ
ดีงามพระรามแปดมากกก เพราะเป็นผัดไทยกุ้งสด 555
อีกเมนูเป็นออมเล็ต เพื่อนน้องชายบอกว่า รสชาติไม่ไหวจะเคลียร์ คาวไข่
ถือเป็นคราวเคราะห์ของเพื่อนน้องชายที่ผัดไทยหมดพอดี
3. แอร์โฮสเตส ในภาพที่คิดจะต้องแบบว่า บริการอ่อนหวาน แต่ในความจริงจะ hardcore หน่อย
เสริฟแบบกระแทกๆไป พูดเร็วจี๋ด้วยสำเนียงอินตระเดีย กัปตันก็เช่นกัน
คือถ้าหากเกิดปัญหาอะไร จะฟังไม่ออกเลย พูดด้วยสำเนียงลิ้นรัวระดับ 10
4. ค่าตั๋วไปกลับ 4 เที่ยว จขกท จองได้ 14,000 บาท ประมาณนี้
จองล่วงหน้า 5 เดือนค่ะ
แปะหน้าตาอาหารบนเครื่อง ขาไป Bangkok-New Delhi

ไปถึงสนามบิน เราก็ต้องไปช่อง e-visa เข้าคิวยาวนิดหน่อยค่ะ
เตรียมเอกสารไปพร้อมมาก แต่ ตม.ไม่ได้ถามอะไร
ทำหน้าดุๆ ให้แสกนลายนิ้วมือ แล้วก็ปั๊มเข้าเมืองให้เลยค่ะ
แต่ทางที่ดีควรเตรียมเอกสารไปให้ครบจะดีกว่าค่ะ จะได้ไม่มีปัญหา
ผ่าน ตม.มาปุ๊ป รับกระเป๋าเรียบร้อย ก็ออกมาด้านนอก ตามหาป้ายชื่อตัวเองค่ะ
จขกท พักค้างที่นิวเดลี 1 คืน โดยพักที่ โรงแรม Holiday Inn International Airport
ค่าโรงแรมรวมรถ-ส่ง สนามบิน ไม่ไกลจากสนามบินค่ะ ราวๆ 2 กิโลกว่าๆเท่านั้นเอง
จะมีเจ้าหน้าที่มารับตรงทางออก หลังจากที่ทักทายกับคนที่มารับเรียบร้อย
เราก็หันไปเห็นร้านขายยาค่ะ สืบเนื่องจากการที่อ่านข้อมูลมา
เราควรต้องกินยา Diamox เพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับคนที่จะไปที่สูง
แต่บุญทำกรรมแต่ง หาซื้อในร้านยาที่ไทยไม่ได้เลย ไม่มีเวลา
พอไปจ๊ะเอ๋ ร้านยาในสนามบิน เราก็ดีใจกันมาก ปรี่เข้าไปถามหายา Diamox
เภสัชหล่อค่ะ แต่หน้าตาไม่รับแขก ยาราคาแผงละ 62 รูปี แน่นอนค่ะ เพิ่งแลกเงินไป
จ่ายแบงก์ใหญ่ 2,000 รูปี คุณเภสัชบอก ไม่มีเงินทอน ให้รูดบัตร
**ตรงนี้แปะข้อมูลสำคัญไว้ให้ หลายๆที่ในอินเดีย รูดบัตร credit card ต้องใช้ pin นะคะ**
แต่ที่โรงแรมเรารูดแบบไม่ต้องใช้ pin ได้ ซึ่งอาจจะแล้วแต่สถานที่
สรุปเพื่อนน้องชายต้องไปซื้อน้ำ ขนมจากร้านด้านข้าง เพื่อเอาแบงก์ย่อยมาซื้อยา Diamox
หน้าตายา Diamox ประมาณนี้ค่ะ เราซื้อแค่ 2 แผง โดยกินครั้งละครึ่งเม็ด ทุก 12 ชม.
พยายามอย่าให้หลุดโดสยานะคะ เดี๋ยวจะมาเล่าในตอนท้าย เพราะมีเพื่อนน้องชายแพ้ความสูง


ป.ล. เริ่มกินยา Diamox ตั้งแต่วันที่อยู่นิวเดลีเลยค่ะ
ไปถึงโรงแรมก็นอนพักผ่อน ออกมาเดินห้างฝั่งตรงข้ามตอนเย็นๆ
อากาศร้อนเว่อวังอลังการมาก ลมร้อนพัดผ่านตลอดเวลา คิดในใจว่า อู้ววว ร้อนคล้ายนรกรึเปล่า
ล้อเล่นค่ะ 555 แต่ร้อนจริงๆ ลมร้อนปะทะผิวหน้า แสบเอาเรื่องค่ะ
มื้อเย็นวันแรก เราไปจบที่ food court อาหารพอกินได้ ราคาพอๆกับไทยเรา
ต้องรีบกลับไปนอนพักผ่อน เพราะวันรุ่งขึ้นไฟลท์ไป Leh เช้ามากกกก
ไฟลท์เราจะออกจากเดลี 5.40 น. แน่นอนว่า ต้องตื่นตั้งแต่ตีสองจ่ะ
ไม่ต้องถามว่าง่วงไหม ตอบเลยว่าง่วงมากกกก 55555
ผ่านกระบวนการทุกอย่างปุ๊ป ขึ้นมานั่งง่วงอยู่ในเครื่อง
แอร์โฮสเตสก็มาเสริฟของว่างค่ะ ลักษณะเป็น พายกระหรี่ไก่
แป้งแข็งมากกก กัดปุ๊ป แป้งร่วงกราวววว ฮาาาา


ใช้เวลาบินเพียงแค่ 1 ชม. 20 นาทีเท่านั้นเอง มีคนบอกว่า ไฟลท์ไป Leh
ห้ามพลาดวิวข้างหน้าต่างเด็ดขาด เราก็เลือกที่นั่งไปค่ะ จองฝั่งขวา
คิดในใจว่า ฉันจะต้องได้วิวที่ชิคๆ ภูเขาหิมะสวยๆอย่างในรีวิวอะไรงี้
แท่น แท๊นนน แดดค่ะ แสงแดดสาดส่องทะลุทะลวงมากกกกก
หยีตาดูวิวตลอดทาง และก็ขอคนอื่นไปแทรกตัวถ่าย
ทุกคนแบ่งปันกันค่ะ ไม่ต้องกังวล อยากถ่ายก็ขอคนที่นั่งติดหน้าต่างได้
ถามว่าสวยไหม ตอบเลยว่า สวยมากกก สวยจนลืมหายใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง
พอ landing ปุ๊ป เจ้าหน้าที่มาต้อนให้เรารีบขึ้นบัสค่ะ
จะยกกล้องขึ้นถ่ายรูป เขาจะดุและไม่ให้ถ่าย
เข้าใจว่าเป็นพื้นที่ restricted area มีความอ่อนไหวสูง ยังไงก็ปฎิบัติตามคำสั่งดีกว่า
วิวสวยมากจริงๆ ภูเขาหิมะใหญ่โต สุดลูกลูกตา เป็นความประทับใจแรกที่สายตาได้เห็น
สำหรับที่พักตลอดทริปของเราในทริปนี้ก็คือ The Pangong Hotel
โรงแรมปันกอง วิธีการของเราคือ อีเมลไปหาโรงแรมค่ะ
จัดแพลนเที่ยว บอกรายละเอียดว่า เราจะไปที่ไหนกี่วัน อะไรบ้าง
ทางโรงแรมน่ารักมาก จัดมาให้ ค่าที่พัก+อาหารทุกมื้อ+guideที่เป็นคนขับรถด้วย
+inner permit fee ราคาอยู่ในเรทที่รับได้ เลยตกลงปลงใจจะใช้บริการโรงแรมนี้ค่ะ
ใครต้องการข้อมูลก็หลังไมค์มาได้ค่ะ
หน้าโรงแรมปันกอง+รถ innova ตลอดทริปของเรา

เราได้พักชั้น 4 นี่คือวิวจากห้องน้ำ

ภายในห้องนอน เรา request ว่าขอพักรวมสี่คน 1 ห้อง เขาก็จัดการให้ค่ะ
อีกห้องนึงเพื่อนน้องชายพัก 2 คน

วิวตรงดาดฟ้าชั้น 4 ที่เราพัก

ไปถึงโรงแรมปุ๊ป อันดับแรก เขาจะให้เราทานอาหารเช้าค่ะ
กระเป๋านี่ขนให้เราเรียบร้อย
แล้วก็ต้องนอนพักค่ะ หลับยาวไปเลยครึ่งวัน ทำอะไรช้าๆ
เดินช้าๆ เพราะอากาศเบาบาง ร่างกายจะเหนื่อยง่ายมาก
ตอนบ่ายสองตื่นมากินมื้อเที่ยง และเตรียมตัวออกไปเที่ยวตามโปรแกรม
บ่ายวันแรก เราจะไป Leh Palace และ Shanti Stupa กันค่ะ
ที่เที่ยวไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก
จากพระราชวัง Leh เราจะไปต่อกันที่ Shanti Stupa : เชิญต่อ Part 2 ค่ะ
https://pantip.com/topic/36509543
[CR] ^*Leh in May 2017*^ แบกเป้พาพ่อแม่เที่ยว มันก็จะสนุกหน่อยๆ Part 1
และที่พิเศษไปกว่านั้นคือเป็นทริปที่พาพ่อแม่ไปเที่ยวในที่ที่คิดว่าไม่น่าจะไปได้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่า มันเป็นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากๆบ้าง
อากาศเบาบาง อาหารการกินลำบาก ไม่สะดวกไม่สบายเหมือน ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ยุโรป
ระวังอาการแพ้ความสูง ฯลฯ วันนี้เราได้ทำทริปนี้สำเร็จและกลับมาด้วยรอยยิ้ม ความสนุก
ความทรงจำที่ดี คิดว่าพอจะเป็นแนวทางให้เพื่อนๆที่สนใจได้
อันนี้แปะลิงก์ไฟล์วิดีโอจากโดรนไว้ให้เพื่อนๆรับชม มีทั้งหมด 3 parts ด้วยกัน
ครั้งแรกสุด จขกท จะขอไปเที่ยวกับน้องชายแค่สองคน
แต่พ่อแม่ไม่ยอม และเป็นห่วงมาก เขาก็ถาม ไปที่ไหน คือที่ไหน
น่าไปยังไง จขกท ก็ present ยิ่งกว่านำเสนองานสมัยเรียนอีกค่ะ
มันจะสวยแบบนี้นะ มันจะน่าไปมากๆ พ่อกับแม่ว่าไง สนใจไหม
แรกๆก็มีคำถามเยอะค่ะ อินเดียมีหิมะเหรอ?? มีแต่เครื่องเทศ เราจะกินอะไร??
แขกมีกลิ่นตัวนะ?? จะสกปรกรึเปล่า เราก็เปิดรูปรัวๆค่ะ บิ้วท์สุดๆ
ว่าโอ้โห มันดีมาก มันสวยมาก เราต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง ฯลฯ
สรุป พ่อแม่ตกลงยินยอม ทริปนี้จึงได้เกิดขึ้น
วันที่ 5-10 May 2017
การเดินทาง : เดินทางด้วย Jet Airways ตลอดทั้งสี่เที่ยว
วีซ่า : เนื่องจากกรุ๊ปของ จขกท ไม่สะดวกจะเดินทางไปทำวีซ่า
จึงได้ขอวีซ่าเป็นแบบ e-visa : สะดวก รวดเร็วมากทีเดียว แปะลิงก์ไว้ให้สำหรับเพื่อนๆที่สนใจ e-visa
อัพเดท ตอนนี้ e-visa ได้วีซ่าเป็น multiple สำหรับเข้าออกภายใน 60 วัน
http://www.orientavista.com/index.php/visa-th/181-india-tourist-visa
แพลนท่องเที่ยวเป็นดังนี้
5 May 2017 : Bangkok-New Delhi (พักค้างเดลี 1 คืน)
6 May 2017 : New Delhi-Leh
- พักผ่อนครั้งวัน เริ่มท่องเที่ยวตอนบ่าย
- Leh Palace พระราชวังเลห์
- Shanti Stupa เจดีย์สันติภาพ
7 May 2017 :
- Hemis Monastery วัดเฮมิส
- Thiksey Monastery วัดติ๊กเซย์
- Shey Palace พระราชวังเชย์
8 May 2017 :
- Pangong Lake ทะเลสาบปันกอง (1 day)
9 May 2017 :
- Confluence of 2 rivers จุดตัดแม่น้ำสองสาย
- Magnetic Hill ภูเขาแมกเนติก
10 May 2017 :
- ออกเดินทางจาก Leh-New Delhi / New Delhi-Bangkok
จขกท, พ่อแม่และน้องชาย + เพื่อนของน้องชายอีก 2 คน
สรุปสมาชิกมีจำนวน 6 คน
จขกท เดินทางด้วยสายการบิน Jet Airways ช่องทางการไปจอง มีรีวิวเยอะอยู่แล้ว
จะขออนุญาตข้ามไป แต่จะมาเล่าประสบการณ์แทน
1. เก้าอี้นั่งโดยสาร กว้างพอประมาณ สำหรับคนขาสั้นคือยืดขาได้สบายๆ
2. อาหารที่เสริฟบนเครื่อง ที่ออกจากต้นทางประเทศไทย กรุงเทพฯของเรา อร่อยเลิศ
ดีงามพระรามแปดมากกก เพราะเป็นผัดไทยกุ้งสด 555
อีกเมนูเป็นออมเล็ต เพื่อนน้องชายบอกว่า รสชาติไม่ไหวจะเคลียร์ คาวไข่
ถือเป็นคราวเคราะห์ของเพื่อนน้องชายที่ผัดไทยหมดพอดี
3. แอร์โฮสเตส ในภาพที่คิดจะต้องแบบว่า บริการอ่อนหวาน แต่ในความจริงจะ hardcore หน่อย
เสริฟแบบกระแทกๆไป พูดเร็วจี๋ด้วยสำเนียงอินตระเดีย กัปตันก็เช่นกัน
คือถ้าหากเกิดปัญหาอะไร จะฟังไม่ออกเลย พูดด้วยสำเนียงลิ้นรัวระดับ 10
4. ค่าตั๋วไปกลับ 4 เที่ยว จขกท จองได้ 14,000 บาท ประมาณนี้
จองล่วงหน้า 5 เดือนค่ะ
ไปถึงสนามบิน เราก็ต้องไปช่อง e-visa เข้าคิวยาวนิดหน่อยค่ะ
เตรียมเอกสารไปพร้อมมาก แต่ ตม.ไม่ได้ถามอะไร
ทำหน้าดุๆ ให้แสกนลายนิ้วมือ แล้วก็ปั๊มเข้าเมืองให้เลยค่ะ
แต่ทางที่ดีควรเตรียมเอกสารไปให้ครบจะดีกว่าค่ะ จะได้ไม่มีปัญหา
ผ่าน ตม.มาปุ๊ป รับกระเป๋าเรียบร้อย ก็ออกมาด้านนอก ตามหาป้ายชื่อตัวเองค่ะ
จขกท พักค้างที่นิวเดลี 1 คืน โดยพักที่ โรงแรม Holiday Inn International Airport
ค่าโรงแรมรวมรถ-ส่ง สนามบิน ไม่ไกลจากสนามบินค่ะ ราวๆ 2 กิโลกว่าๆเท่านั้นเอง
จะมีเจ้าหน้าที่มารับตรงทางออก หลังจากที่ทักทายกับคนที่มารับเรียบร้อย
เราก็หันไปเห็นร้านขายยาค่ะ สืบเนื่องจากการที่อ่านข้อมูลมา
เราควรต้องกินยา Diamox เพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับคนที่จะไปที่สูง
แต่บุญทำกรรมแต่ง หาซื้อในร้านยาที่ไทยไม่ได้เลย ไม่มีเวลา
พอไปจ๊ะเอ๋ ร้านยาในสนามบิน เราก็ดีใจกันมาก ปรี่เข้าไปถามหายา Diamox
เภสัชหล่อค่ะ แต่หน้าตาไม่รับแขก ยาราคาแผงละ 62 รูปี แน่นอนค่ะ เพิ่งแลกเงินไป
จ่ายแบงก์ใหญ่ 2,000 รูปี คุณเภสัชบอก ไม่มีเงินทอน ให้รูดบัตร
**ตรงนี้แปะข้อมูลสำคัญไว้ให้ หลายๆที่ในอินเดีย รูดบัตร credit card ต้องใช้ pin นะคะ**
แต่ที่โรงแรมเรารูดแบบไม่ต้องใช้ pin ได้ ซึ่งอาจจะแล้วแต่สถานที่
สรุปเพื่อนน้องชายต้องไปซื้อน้ำ ขนมจากร้านด้านข้าง เพื่อเอาแบงก์ย่อยมาซื้อยา Diamox
พยายามอย่าให้หลุดโดสยานะคะ เดี๋ยวจะมาเล่าในตอนท้าย เพราะมีเพื่อนน้องชายแพ้ความสูง
ป.ล. เริ่มกินยา Diamox ตั้งแต่วันที่อยู่นิวเดลีเลยค่ะ
ไปถึงโรงแรมก็นอนพักผ่อน ออกมาเดินห้างฝั่งตรงข้ามตอนเย็นๆ
อากาศร้อนเว่อวังอลังการมาก ลมร้อนพัดผ่านตลอดเวลา คิดในใจว่า อู้ววว ร้อนคล้ายนรกรึเปล่า
ล้อเล่นค่ะ 555 แต่ร้อนจริงๆ ลมร้อนปะทะผิวหน้า แสบเอาเรื่องค่ะ
มื้อเย็นวันแรก เราไปจบที่ food court อาหารพอกินได้ ราคาพอๆกับไทยเรา
ต้องรีบกลับไปนอนพักผ่อน เพราะวันรุ่งขึ้นไฟลท์ไป Leh เช้ามากกกก
ไม่ต้องถามว่าง่วงไหม ตอบเลยว่าง่วงมากกกก 55555
ผ่านกระบวนการทุกอย่างปุ๊ป ขึ้นมานั่งง่วงอยู่ในเครื่อง
แอร์โฮสเตสก็มาเสริฟของว่างค่ะ ลักษณะเป็น พายกระหรี่ไก่
แป้งแข็งมากกก กัดปุ๊ป แป้งร่วงกราวววว ฮาาาา
ใช้เวลาบินเพียงแค่ 1 ชม. 20 นาทีเท่านั้นเอง มีคนบอกว่า ไฟลท์ไป Leh
ห้ามพลาดวิวข้างหน้าต่างเด็ดขาด เราก็เลือกที่นั่งไปค่ะ จองฝั่งขวา
คิดในใจว่า ฉันจะต้องได้วิวที่ชิคๆ ภูเขาหิมะสวยๆอย่างในรีวิวอะไรงี้
แท่น แท๊นนน แดดค่ะ แสงแดดสาดส่องทะลุทะลวงมากกกกก
หยีตาดูวิวตลอดทาง และก็ขอคนอื่นไปแทรกตัวถ่าย
ทุกคนแบ่งปันกันค่ะ ไม่ต้องกังวล อยากถ่ายก็ขอคนที่นั่งติดหน้าต่างได้
ถามว่าสวยไหม ตอบเลยว่า สวยมากกก สวยจนลืมหายใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง
พอ landing ปุ๊ป เจ้าหน้าที่มาต้อนให้เรารีบขึ้นบัสค่ะ
จะยกกล้องขึ้นถ่ายรูป เขาจะดุและไม่ให้ถ่าย
เข้าใจว่าเป็นพื้นที่ restricted area มีความอ่อนไหวสูง ยังไงก็ปฎิบัติตามคำสั่งดีกว่า
วิวสวยมากจริงๆ ภูเขาหิมะใหญ่โต สุดลูกลูกตา เป็นความประทับใจแรกที่สายตาได้เห็น
สำหรับที่พักตลอดทริปของเราในทริปนี้ก็คือ The Pangong Hotel
โรงแรมปันกอง วิธีการของเราคือ อีเมลไปหาโรงแรมค่ะ
จัดแพลนเที่ยว บอกรายละเอียดว่า เราจะไปที่ไหนกี่วัน อะไรบ้าง
ทางโรงแรมน่ารักมาก จัดมาให้ ค่าที่พัก+อาหารทุกมื้อ+guideที่เป็นคนขับรถด้วย
+inner permit fee ราคาอยู่ในเรทที่รับได้ เลยตกลงปลงใจจะใช้บริการโรงแรมนี้ค่ะ
ใครต้องการข้อมูลก็หลังไมค์มาได้ค่ะ
เราได้พักชั้น 4 นี่คือวิวจากห้องน้ำ
ภายในห้องนอน เรา request ว่าขอพักรวมสี่คน 1 ห้อง เขาก็จัดการให้ค่ะ
อีกห้องนึงเพื่อนน้องชายพัก 2 คน
วิวตรงดาดฟ้าชั้น 4 ที่เราพัก
ไปถึงโรงแรมปุ๊ป อันดับแรก เขาจะให้เราทานอาหารเช้าค่ะ
กระเป๋านี่ขนให้เราเรียบร้อย
แล้วก็ต้องนอนพักค่ะ หลับยาวไปเลยครึ่งวัน ทำอะไรช้าๆ
เดินช้าๆ เพราะอากาศเบาบาง ร่างกายจะเหนื่อยง่ายมาก
ตอนบ่ายสองตื่นมากินมื้อเที่ยง และเตรียมตัวออกไปเที่ยวตามโปรแกรม
บ่ายวันแรก เราจะไป Leh Palace และ Shanti Stupa กันค่ะ
ที่เที่ยวไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก
Leh Palace พระราชวังเลห์ ตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากจัตุรัสกลางเมืองเลห์
พระราชวังเลห์สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 มีทั้งหมด 9 ชั้น
ในอดีตเป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์แห่งลาดักห์ จนกระทั้งถึงย้ายพระราชฐานมาที่ stok palace ในปี ค.ศ. 1830
ปัจจุบันพระราชวังเลห์กำลังได้รับการบูรณะซ่อมแซมและเปิดให้เข้าชมทุกวัน
พ่อกับแม่ จขกท ไม่เดินขึ้นมาแล้วค่ะ เหนื่อยเล็กน้อย เลยนั่งรอตรงชั้น 1
เจอลามะ ก็เหมือนเจอดาราค่ะ ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
จากพระราชวัง Leh เราจะไปต่อกันที่ Shanti Stupa : เชิญต่อ Part 2 ค่ะ https://pantip.com/topic/36509543