ต่อจากกะทู้แรกนะคะ :
https://pantip.com/topic/36508686
ภาพ Leh Palace จากโดรน เราใช้เวลาอยู่ที่พระราชวังราวๆเกือบๆสองชม.
หลังจากนั้นก็ลงมา เตรียมตัวไป Shanti Stupa กันต่อ

จากพระราชวังเลห์ ใช้เวลาราวๆ 20 นาที ก็มาถึง Shanti Stupa
คนขับรถและเป็นทั้งไกด์ของเรา ชื่อ Nurbu เป็นชาวลาดักห์โดยกำเนิด
บอกว่า Shanti Stupa ควรไปเยี่ยมตอนเย็นๆ จะได้ชมพระอาทิตย์ตก
Shanti Stupa หรือ เดีย์สันติภาพ เป็นเจดีย์สีขาวอยู่บนยอดเขา Chanspa ในเลห์
สร้างในปี 1991 โดยชาวพุทธญี่ปุ่น ภายในฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ที่นี่จึงเป็นจุดที่ชาวพุทธที่มาเยือนเลห์ต้องแวะสักการะบูชา
และมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะเมื่อปี ค.ศ.1985
ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นตัวเมืองเลห์ได้
จริงๆอากาศยังถือว่าค่อนข้างหนาวสำหรับคนไทย
มนุษย์เมืองร้อนอย่างพวกเราๆ คุณนายแม่ของเราบ่นหนาวตลอดเวลา
ส่วนคุณพ่อก็ถ่ายรูปรัวๆ จนเมมเต็มค่ะ 5555
กลับจาก Shanti Stupa ก็ได้เวลาอาหารมื้อค่ำค่ะ
อาหารจะเป็นบุฟเฟ่ต์ มีหลากหลาย แต่ไม่มีเนื้อสัตว์ค่ะ
เป็นพวกแกงกะหรี่ เครื่องเทศ อะไรทำนองนี้ค่ะ ต้มกับถั่ว มันฝรั่ง
แต่ทางโรงแรมดีมากๆ พยายามทำอาหารจานเสริมเข้ามาให้ตลอด
เช่น ซุปเนื้อไก่ฉีก ไข่เจียว ไข่ต้ม ข้าวต้มหมู ผัดผัก ฯลฯ
บริการดูแลดีมาก จนเหมือนจะป้อนข้าวเราด้วย 5555
ห้องอาหารทุกมื้อของเราในโรงแรม

ตัวอย่างอาหาร

แต่สิ่งที่เราเคยอ่านเจอมาว่า ระวังนะ ถุงจะระเบิด จะบวม
ตอนก่อนไปนึกภาพไม่ออกค่ะ แต่พอไปถึงเลห์ เปิดกระเป๋าปุ๊ป
เราพบว่าอาหารแห้งที่เตรียมไปหลายๆอย่าง บวมจนเหมือนจะระเบิด
นี่คือตัวอย่างค่ะ มาม่ากระป๋อง

บิสกิต

ซองกาแฟ

และเราอยากจะเม้าท์อาหารชนิดนึงที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ค่ะ
เจ้าของโรงแรมลงทุนมานำเสนอสุดๆ บอกว่านี่คือของหวานที่อร่อยมาก
ที่ป้ายเขียนว่า Carrot pudding นึกภาพตามนะคะ
มันควรจะเป็นพุดดิ้งนิ่มๆมีเนื้อแครอทโปะอยู่ด้านบนใช่ไหมคะ
ผิดคาดค่ะ แท่น แท๊นนนน แครอทพุดดิ้งที่นี่ ฉีกทุกกฎเกณฑ์พุดดิ้งที่เราได้เคยกินในโลกใบนี้
5555 รสชาติมันแย่มากจริงๆค่ะ เหมือนเอาแครอทมาสับละเอียด
ใส่เนยใส่นมแล้วนึ่ง ออกมาเป็น แครอทพุดดิ้ง 5555 ชิมคำเดียวค่ะ
แล้วส่งยิ้มอ่อนให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า อร่อยดี แต่ฉันอิ่มแล้ว 5555

เสร็จจากมื้อค่ำ เราก็พักผ่อน นอนตื่นสายๆใช้ชีวิต slow life อีก 1 วัน
เพื่อปรับตัวกับความสูง เราพักชั้น 4 เดินขึ้นบันไดคือหอบมาก เหนื่อยมาก
ต้องค่อยๆเดิน ฮีทเตอร์จะเปิดให้ในห้องตอน 21.30 น. น้ำร้อนก็เปิดปิดเป็นเวลาค่ะ
คนที่นี่ประหยัดน้ำประหยัดไฟมากๆ
สำหรับทริปวันที่ 2 ของเราก็ยังคงเที่ยวใกล้ๆตัวเมืองเลห์
เนื่องจาก ต้องปรับตัวกับระดับความสูง ค่อยๆไต่ระดับไป
ทริปวันที่ 2 :
- Hemis Monastery วัดเฮมิส
- Thiksey Monastery วัดติ๊กเซย์
- Shey Palace พระราชวังเชย์
ที่เที่ยว 3 ที่นี้ไปทางเดียวกันค่ะ โดยเราจะไปที่ไกลสุดของวันก่อน นั่นก็คือ วัดเฮมิส Hemis Monastery
วัดเฮมิส เป็นวัดพุทธตันตระนิกายหมวกแดง ซึ่งเป็นนิกายดั้งเดิมของศาสนาพุทธสายทิเบต
ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 45 กิโลเมตร
เลาะเลียบแม่น้ำสินธุลงไปทางใต้ เป็นวัดโบราณที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในดาลักห์
ถูกสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 ได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลกในปี ค.ศ. 1998
วัดเฮมิสมีความสำคัญอีกประการคือ เป็นที่ประดิษฐานรูปทังก้าพระปทุมสมภพ (Thanka)
หรือที่เรียกกันว่า ผ้าพระบฎ ซึ่งเป็นของเก่าแก่ที่สำคัญมากสำหรับชาวพุทธตันตระนิกายหมวกแดง
โดยเฉพาะภาพมัณฑลา (Mandala) ในสมัยศตวรรษที่ 17 ซึ่งวาดขึ้นด้วยสีผสมทองคำแท้
เห็นบันไดเตี้ยๆแบบนี้ เดินเหนื่อยเหมือนกันค่ะ
แต่คุณนายแม่บอกว่า ในบรรดาที่เที่ยวห้องน้ำที่นี่สะอาดที่สุดค่ะ
ทางเข้าลามะจะมาตั้งโต๊ะเก็บค่าตั๋ว
ภายในวัด ถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก
ด้านในห้ามถ่ายรูป


ตรงประตูมีผ้าสีๆผูกอยู่ ให้ฟีลลิ่งเกาหลีนิดๆ

ลานจอดรถ

เราบอกแม่ว่า การหมุนกงล้อมนตรา 1 รอบ = สวดมนต์ 1,000 จบ
แม่เราหมุนทุกอันค่ะ ทุกวัด 55555
ตอนขากลับ บอกคนขับรถว่า พวกเราขอแวะตรงนี้
ถ่ายรูปกับสะพานที่มีธงมนต์ปลิวไสว

วัดถัดมา ย้อนกลับมาทางเข้าเมืองเลห์คือ วัดติ๊กเซย์ Thiksey Monastery
ภาพจากโดรน

วัดทิกเซ่ เป็นวัดที่มีอายุยาวนานเก่าแก่มากกว่า 500 ปี สร้างขึ้นโดยมีพระราชวังโปตาลา
ในทิเบตเป็นต้นแบบ ตั้งอยู่บนความสูงราว 3,600 เมตรของหุบเขาอินดัส
วัดแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ราวพุทธศตวรรษที่ 1953-1983 เป็นวัดใน “นิกายหมวกเหลือง”
ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของลาดักที่มีความสำคัญมาก

Nurbu จอดรถให้เราถ่ายรูปตรงทางขึ้นค่ะ
พอขึ้นไปด้านบน ซื้อตั๋วเรียบร้อย ก็เจอลามะ พวกเรายกมือไหว้โดยอัตโนมัติค่ะ 5555
จะถ่ายรูปกับลามะ ตื่นเต้นเล็กน้อย ถามลามะว่า นั่งติดกันได้ไหม
ท่านบอกว่าได้ ก็เลยถ่ายกัน ลามะที่นี่ชิคๆมากค่ะ ขี่มอเตอร์ไซต์
ใส่แว่นกันแดด เราเซย์ฮัลโหล แนะนำตัวนิดหน่อย ว่ามาจากไทยแลนด์แดนพุทธ

จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปอีกชั้นนึงค่ะ วิวหลักล้านมากๆ
สวยงาม ภูเขาสูงใหญ่เบื้องหน้า ฟ้าสีฟ้าสดใส

วิวสวยมากจริงๆ

เราไม่ได้เดินขึ้นไปต่อด้านบนนะคะ เหนื่อย 555
วันนี้มีแพลนไปตลาดในเมืองเลห์ ก็เลยข้าม Shey Palace ไปค่ะ
เพราะลักษณะของ Shey Palace จะเหมือนกับ Leh Palace
แต่มีขนาดเล็กกว่า เราก็กลับโรงแรมไปทานอาหาร พักผ่อน เดินเล่น
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปทะเลสาบปันกองในวันรุ่งขึ้น
ทริปวันที่ 3 : ทะเลสาบปันกอง Pangong Lake
วันนี้เราออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะ Nurbu บอกว่าควรออกตอนเช้า
จะได้ไปถึงเร็วหน่อย และกลับมาไม่ค่ำมากนัก
โดยมื้อเที่ยงของเราวันนี้ ทางโรงแรมจะแพ็คอาหารใส่กล่องไปให้ค่ะ
ทะเลสาบปันกองห่างจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 4-5 ชั่วโมง
โดยเส้นทางมายังทะเลสาบปันกองต้องผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางเรียกว่า Chang La Pass
ที่ความสูงประมาณ 5,360 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางหรือถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลก
การเดินทางเข้ามายังทะเลสาบปันกองจะต้องมีการทำใบอนุญาต permit เข้าพื้นที่
ทะเลสาบปันกอง มีความยาวราว 130 กิโลเมตร กว้าง 6-7 กิโลเมตร
โดยมีพื้นที่ 30 % ของทะเลสาบอยู่ในเขตของประเทศอินเดีย และ พื้นที่อีก 70 % อยู่ในเขตประเทศจีน
ทะเลสาบปันกองเป็นทะเลสาบน้ำเค็มแต่ก็ไม่ได้เค็มจัดค่ะ แค่กร่อยๆ
ความสูงของทะเลสาบปันกองประมาณ 4,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ระหว่างการเดินทางสู่ทะเลสาบปันกองเราสามารถพบเห็นสัตว์อนุรักษ์คือตัวมอมอต
คล้ายกระรอกตัวโต มอมอต จะปรากฏออกมาให้เราเห็นในช่วงฤดูร้อน
ระหว่างทางไปทะเลสาบปันกอง
เราจะต้องนั่งรถผ่าน เส้นทางไต่ไหล่เขาที่คดเคี้ยว
เสียวมากกกกกก ถึงมากที่สุด 5555

ถนนที่เราขึ้นมาค่ะ

นาทีนี้ คุณแม่ของเราถึงกับบอกว่า ถ้ารู้ว่าทางเป็นอย่างนี้ Ku จะไม่มา 55555
จากที่ราบ ค่อยๆไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ
ก็จะเริ่มเห็นหิมะตามถนนและภูเขา

ใช้เวลาราวๆสามชั่วโมงเราก็จะเดินทางมาจุดที่เรียกว่า Changla Pass


ตรงนี้เราจะได้พักเข้าห้องน้ำแปปนึงค่ะ รถทหารเต็มไปหมด
ซึ่งทำให้การจราจรติดขัดเพราะรถทหารคันใหญ่ เราต้องค่อยๆแซงไปค่ะ
ใช้เวลากว่าห้าชั่วโมง เราจึงมาถึงที่ลุ่มบนภูเขาสูงอีกครั้ง
ระหว่างทาง จะมีสัตว์มากมาย เช่น ม้า แพะภูเขา แกะ สุนัขต้อนแกะ

เจ้าตัวนี้คือ White horse ซึ่ง Nurbu คนขับรถบอกเราแบบนี้
แต่มันมีสีขาวเฉพาะใต้ท้องนะคะ 5555

และสิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคือ เจ้าตัวมอมอต ก็ออกมาปรากฎตัวให้เราเห็นด้วย
ทั้งๆที่สัตว์ชนิดนี้จะออกมาในหน้าร้อน แต่ช่วงที่เราไปคือปลายฤดูหนาว
Nurbu รีบจอดรถแล้วบอกว่านั่นไง นั่นคือ มอมอต
มอมอต น่ารักมากค่ะ
มีป้ายห้ามเข้าและห้ามให้อาหาร เราก็ไม่ได้ฝ่าฝืนนะคะ
ถ่ายรูปอยู่ห่างๆแปปนึง แล้วขึ้นรถต่อ
เพื่อมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบปันกอง
ตอนนี้พ่อแม่เริ่มบ่นแล้วค่ะ เพราะนั่งรถมานาน มีแต่ภูเขา หิมะ ก้อนหิน
ทางวิบากกกก 5555 ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของทะเลสาบ
ได้แต่ปลอบใจกันเอง ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ Part 3 :
https://pantip.com/topic/36509932
[CR] ^*Leh in May 2017*^ แบกเป้พาพ่อแม่เที่ยว มันก็จะสนุกหน่อยๆ Part 2
หลังจากนั้นก็ลงมา เตรียมตัวไป Shanti Stupa กันต่อ
จากพระราชวังเลห์ ใช้เวลาราวๆ 20 นาที ก็มาถึง Shanti Stupa
คนขับรถและเป็นทั้งไกด์ของเรา ชื่อ Nurbu เป็นชาวลาดักห์โดยกำเนิด
บอกว่า Shanti Stupa ควรไปเยี่ยมตอนเย็นๆ จะได้ชมพระอาทิตย์ตก
สร้างในปี 1991 โดยชาวพุทธญี่ปุ่น ภายในฐานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ที่นี่จึงเป็นจุดที่ชาวพุทธที่มาเยือนเลห์ต้องแวะสักการะบูชา
และมีการทำพิธีเปิดโดยองค์ดาไลลามะเมื่อปี ค.ศ.1985
ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นตัวเมืองเลห์ได้
มนุษย์เมืองร้อนอย่างพวกเราๆ คุณนายแม่ของเราบ่นหนาวตลอดเวลา
ส่วนคุณพ่อก็ถ่ายรูปรัวๆ จนเมมเต็มค่ะ 5555
กลับจาก Shanti Stupa ก็ได้เวลาอาหารมื้อค่ำค่ะ
อาหารจะเป็นบุฟเฟ่ต์ มีหลากหลาย แต่ไม่มีเนื้อสัตว์ค่ะ
เป็นพวกแกงกะหรี่ เครื่องเทศ อะไรทำนองนี้ค่ะ ต้มกับถั่ว มันฝรั่ง
แต่ทางโรงแรมดีมากๆ พยายามทำอาหารจานเสริมเข้ามาให้ตลอด
เช่น ซุปเนื้อไก่ฉีก ไข่เจียว ไข่ต้ม ข้าวต้มหมู ผัดผัก ฯลฯ
บริการดูแลดีมาก จนเหมือนจะป้อนข้าวเราด้วย 5555
แต่สิ่งที่เราเคยอ่านเจอมาว่า ระวังนะ ถุงจะระเบิด จะบวม
ตอนก่อนไปนึกภาพไม่ออกค่ะ แต่พอไปถึงเลห์ เปิดกระเป๋าปุ๊ป
เราพบว่าอาหารแห้งที่เตรียมไปหลายๆอย่าง บวมจนเหมือนจะระเบิด
เจ้าของโรงแรมลงทุนมานำเสนอสุดๆ บอกว่านี่คือของหวานที่อร่อยมาก
ที่ป้ายเขียนว่า Carrot pudding นึกภาพตามนะคะ
มันควรจะเป็นพุดดิ้งนิ่มๆมีเนื้อแครอทโปะอยู่ด้านบนใช่ไหมคะ
ผิดคาดค่ะ แท่น แท๊นนนน แครอทพุดดิ้งที่นี่ ฉีกทุกกฎเกณฑ์พุดดิ้งที่เราได้เคยกินในโลกใบนี้
5555 รสชาติมันแย่มากจริงๆค่ะ เหมือนเอาแครอทมาสับละเอียด
ใส่เนยใส่นมแล้วนึ่ง ออกมาเป็น แครอทพุดดิ้ง 5555 ชิมคำเดียวค่ะ
แล้วส่งยิ้มอ่อนให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า อร่อยดี แต่ฉันอิ่มแล้ว 5555
เสร็จจากมื้อค่ำ เราก็พักผ่อน นอนตื่นสายๆใช้ชีวิต slow life อีก 1 วัน
เพื่อปรับตัวกับความสูง เราพักชั้น 4 เดินขึ้นบันไดคือหอบมาก เหนื่อยมาก
ต้องค่อยๆเดิน ฮีทเตอร์จะเปิดให้ในห้องตอน 21.30 น. น้ำร้อนก็เปิดปิดเป็นเวลาค่ะ
คนที่นี่ประหยัดน้ำประหยัดไฟมากๆ
สำหรับทริปวันที่ 2 ของเราก็ยังคงเที่ยวใกล้ๆตัวเมืองเลห์
เนื่องจาก ต้องปรับตัวกับระดับความสูง ค่อยๆไต่ระดับไป
ทริปวันที่ 2 :
- Hemis Monastery วัดเฮมิส
- Thiksey Monastery วัดติ๊กเซย์
- Shey Palace พระราชวังเชย์
ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 45 กิโลเมตร
เลาะเลียบแม่น้ำสินธุลงไปทางใต้ เป็นวัดโบราณที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในดาลักห์
ถูกสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17 ได้รับการประกาศให้เป็น มรดกโลกในปี ค.ศ. 1998
วัดเฮมิสมีความสำคัญอีกประการคือ เป็นที่ประดิษฐานรูปทังก้าพระปทุมสมภพ (Thanka)
หรือที่เรียกกันว่า ผ้าพระบฎ ซึ่งเป็นของเก่าแก่ที่สำคัญมากสำหรับชาวพุทธตันตระนิกายหมวกแดง
โดยเฉพาะภาพมัณฑลา (Mandala) ในสมัยศตวรรษที่ 17 ซึ่งวาดขึ้นด้วยสีผสมทองคำแท้
แต่คุณนายแม่บอกว่า ในบรรดาที่เที่ยวห้องน้ำที่นี่สะอาดที่สุดค่ะ
ด้านในห้ามถ่ายรูป
แม่เราหมุนทุกอันค่ะ ทุกวัด 55555
ถ่ายรูปกับสะพานที่มีธงมนต์ปลิวไสว
วัดถัดมา ย้อนกลับมาทางเข้าเมืองเลห์คือ วัดติ๊กเซย์ Thiksey Monastery
ในทิเบตเป็นต้นแบบ ตั้งอยู่บนความสูงราว 3,600 เมตรของหุบเขาอินดัส
วัดแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ราวพุทธศตวรรษที่ 1953-1983 เป็นวัดใน “นิกายหมวกเหลือง”
ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของลาดักที่มีความสำคัญมาก
จะถ่ายรูปกับลามะ ตื่นเต้นเล็กน้อย ถามลามะว่า นั่งติดกันได้ไหม
ท่านบอกว่าได้ ก็เลยถ่ายกัน ลามะที่นี่ชิคๆมากค่ะ ขี่มอเตอร์ไซต์
ใส่แว่นกันแดด เราเซย์ฮัลโหล แนะนำตัวนิดหน่อย ว่ามาจากไทยแลนด์แดนพุทธ
สวยงาม ภูเขาสูงใหญ่เบื้องหน้า ฟ้าสีฟ้าสดใส
เราไม่ได้เดินขึ้นไปต่อด้านบนนะคะ เหนื่อย 555
วันนี้มีแพลนไปตลาดในเมืองเลห์ ก็เลยข้าม Shey Palace ไปค่ะ
เพราะลักษณะของ Shey Palace จะเหมือนกับ Leh Palace
แต่มีขนาดเล็กกว่า เราก็กลับโรงแรมไปทานอาหาร พักผ่อน เดินเล่น
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปทะเลสาบปันกองในวันรุ่งขึ้น
ทริปวันที่ 3 : ทะเลสาบปันกอง Pangong Lake
วันนี้เราออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะ Nurbu บอกว่าควรออกตอนเช้า
จะได้ไปถึงเร็วหน่อย และกลับมาไม่ค่ำมากนัก
โดยมื้อเที่ยงของเราวันนี้ ทางโรงแรมจะแพ็คอาหารใส่กล่องไปให้ค่ะ
ทะเลสาบปันกองห่างจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเลห์ประมาณ 4-5 ชั่วโมง
โดยเส้นทางมายังทะเลสาบปันกองต้องผ่านจุดสูงสุดของเส้นทางเรียกว่า Chang La Pass
ที่ความสูงประมาณ 5,360 เมตร จากระดับน้ำทะเล
ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางหรือถนนที่สูงเป็นอันดับสามของโลก
การเดินทางเข้ามายังทะเลสาบปันกองจะต้องมีการทำใบอนุญาต permit เข้าพื้นที่
ทะเลสาบปันกอง มีความยาวราว 130 กิโลเมตร กว้าง 6-7 กิโลเมตร
โดยมีพื้นที่ 30 % ของทะเลสาบอยู่ในเขตของประเทศอินเดีย และ พื้นที่อีก 70 % อยู่ในเขตประเทศจีน
ทะเลสาบปันกองเป็นทะเลสาบน้ำเค็มแต่ก็ไม่ได้เค็มจัดค่ะ แค่กร่อยๆ
ความสูงของทะเลสาบปันกองประมาณ 4,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ระหว่างการเดินทางสู่ทะเลสาบปันกองเราสามารถพบเห็นสัตว์อนุรักษ์คือตัวมอมอต
คล้ายกระรอกตัวโต มอมอต จะปรากฏออกมาให้เราเห็นในช่วงฤดูร้อน
ระหว่างทางไปทะเลสาบปันกอง
เราจะต้องนั่งรถผ่าน เส้นทางไต่ไหล่เขาที่คดเคี้ยว
เสียวมากกกกกก ถึงมากที่สุด 5555
จากที่ราบ ค่อยๆไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ
ก็จะเริ่มเห็นหิมะตามถนนและภูเขา
ซึ่งทำให้การจราจรติดขัดเพราะรถทหารคันใหญ่ เราต้องค่อยๆแซงไปค่ะ
ใช้เวลากว่าห้าชั่วโมง เราจึงมาถึงที่ลุ่มบนภูเขาสูงอีกครั้ง
ระหว่างทาง จะมีสัตว์มากมาย เช่น ม้า แพะภูเขา แกะ สุนัขต้อนแกะ
แต่มันมีสีขาวเฉพาะใต้ท้องนะคะ 5555
ทั้งๆที่สัตว์ชนิดนี้จะออกมาในหน้าร้อน แต่ช่วงที่เราไปคือปลายฤดูหนาว
Nurbu รีบจอดรถแล้วบอกว่านั่นไง นั่นคือ มอมอต
มอมอต น่ารักมากค่ะ
ถ่ายรูปอยู่ห่างๆแปปนึง แล้วขึ้นรถต่อ
เพื่อมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบปันกอง
ตอนนี้พ่อแม่เริ่มบ่นแล้วค่ะ เพราะนั่งรถมานาน มีแต่ภูเขา หิมะ ก้อนหิน
ทางวิบากกกก 5555 ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของทะเลสาบ
ได้แต่ปลอบใจกันเอง ติดตามต่อตอนหน้าค่ะ Part 3 : https://pantip.com/topic/36509932