'สุดารัตน์' ของบกลางสนับสนุนการทำงานหมอ-พยาบาล
https://voicetv.co.th/read/eaP5ofXp4
ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้กำลังใจทีมแพทย์-พยาบาล-สธ. ขอรัฐบาลใช้งบกลางช่วยเหลืออุปกรณ์การแพทย์และเพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัย เตือนรัฐบาลใช้ยาแรง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องจบไว หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-สุขภาพจิตประชาชน
"
ต้องขอขอบพระคุณจากหัวใจ ขอคารวะแพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน ทุกท่าน เราเคยทำงานด้วยกันตั้งแต่สมัยซาร์ส หวัดนก แม้แต่สึนามิ สาธารณสุขก็มีบทบาทสำคัญมาก เรารู้ว่าทุกท่านมีความสามารถ เรารู้ว่าทุกท่านทุ่มเทเสียสละอย่างยิ่ง ท่านเป็นฮีโร่ในหัวใจของตัวดิฉันเอง และประชาชนทั้งประเทศมาโดยตลอด ในยามนี้ท่านต้องออกศึกอีกครั้งหนึ่ง ให้กำลังใจท่านและจะพยายามทำทุกวิถีทางทั้งการขอร้องรัฐบาลที่จะช่วยขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ทั้งตัวเราเอง อะไรที่จะช่วยสนับสนุนท่านได้ อะไรที่จะช่วยให้ท่านมีกำลังใจ เราจะช่วยทำทุกวิถีทาง"
คำกล่าวให้กำลังใจจากผู้ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในภาวะวิกฤตโรคระบาด คุณหญิง
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้กำลังใจ เริ่มต้นก่อนการเปิดบทสนทนากับทีมข่าว '
วอยซ์ ออนไลน์' โดยคุณหญิง
สุดารัตน์ เสนอเป็นข้อเรียกร้องผ่านสื่อไปยังรัฐบาล ให้ใช้งบประมาณกลางในการสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาล แม้จะมีการตัดมาให้ 1,500 ล้านบาทจากงบประมาณกลางทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่เพียงพอ
อีกทั้งยังขอให้เพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัยคนที่ทำงานเป็น 2 เท่า ตั้งแต่ทีมแพทย์ไปจนไปถึง อสม. อย่างไรก็ตาม คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งถือเป็นนักรบหน้าด่าน ด้วยการจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นชุด PPE, หน้ากาก, น้ำยาฆ่าเชื้อ , เวชภัณฑ์และยา ไม่ใช่ต้องใช้ถุงพลาสติกคลุมตัวเองหรือต้องดัดแปลงสารพัดอุปกรณ์มาช่วยสร้างการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรคจากคนไข้เช่นทุกวันนี้ เนื่องจากมีรายงานว่าแพทย์ติดโรคแล้วหลายคน ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้อีก มันจะเหมือนกับว่ากองทัพส่งทหารไปรบ แต่ให้เดินตัวเปล่าไปรบกับรถถัง สุดท้ายก็ตายลูกเดียว
เตือนรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เจ็บแต่ต้องจบเร็ว
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จริงๆ แล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ Endgame ที่จะบอกว่ามี พ.ร.ก. แล้วจบ แต่ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มันคือเครื่องมือการบริหารของรัฐบาล ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ดังนั้นรัฐบาลก็จะต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง แล้วก็มีการตัดสินใจที่ดี ออกมาตรการที่แม่นยำ และเป็นมาตรการที่จะสามารถดักปัญหาก่อนที่จะลุกลาม ไม่ใช่ตามปัญหา แม้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จะให้อำนาจเต็มที่กับรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะส่งผลกระทบ ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวจนเกินไป จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้ังเศรษฐกิจและสุขภาพจิตของประชาชน
"
เหมือนกับเราป่วย เราไม่ใช้ยารักษา เราตัดสินใจผ่าตัด แปลว่าเราไม่ต้องการให้โรคเรื้อรัง ตัดออกไปเลย ก็ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องสยบโรคได้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าใช้ พ.ร.ก.แล้วยังอมโรคเลื่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผลเสียหายจะมี จะมีต่อ หนึ่ง ควบคุมโรคไม่ได้ไม่พอจะไปเพิ่มความเครียดความกังวลของคนและที่สำคัญ มันจะซ้ำเติมเศรษฐกิจอย่างมาก"
อีกทั้ง การห้ามการเดินทาง การที่ร้านค้ายังต้องปิดอยู่ การที่ยังกลับมาใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ เรื่องเหล่านี้มันทำลายทั้งเรื่องของสุขภาพจิต ทำลายทั้งเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจที่จะขออำนาจจากประชาชนในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องทำให้โรคสยบให้เร็วทีสุด นี่คือหัวใจใหญ่สำคัญ
ทั้งนี้คุณหญิง
สุดารัตน์ เสนอมาตรการ หลักจากใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ได้แก่
• มาตรการปูพรม 21 วัน ตรวจหาผู้ติดเชื้อให้จบ หากทำได้เร็วก็ไม่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินถึง 30 วัน ถ้าหยิบหาคนติดเชื้อเข้าระบบได้มากเท่าไหร่ นั่นแปลว่าคนที่อยู่ภายนอกปลอดภัยมากเท่านั้น
• มีการสั่งการแบบเบ็ดเสร็จเหมือนกันทั่วประเทศ ไม่ใช่ว่าทำเป็นจุดๆ ตามแต่ละจังหวัด เช่น จังหวัดนี้ปิดสถานประกอบการ จังหวัดนี้ยังเปิดได้ แล้วใช้ทหารไปกันไม่ให้เดินทาง ซึ่งมาตรการที่ไม่เท่ากันทุกคนยังไม่สยบอยู่กับที่ แล้วจัดโซนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากเป็นสีแดง มีผู้ติดเชื้อน้อยเป็นสีส้ม แล้วกำหนดมาตรการให้เหมือนกันตามสี
• จัดการกับสินค้าที่ขาดแคลน เช่น หน้ากาก, ไข่ไก่, เจลล้างมือ แต่ต้องหาของมาให้แพทย์พอใช้ก่อน ให้ประชาชนพอใช้ก่อน และหาคนกระทำผิดมาลงโทษ
• ทะลุทะลวงคอขวด ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เช่น หน้ากากไม่พอ ชุดป้องกันโรคไม่พอ ชุดทดสอบเชื้อไม่พอ อุปกรณ์ต่างๆ นำเข้ามาไม่ได้ เพราะติดอยู่ที่สาธารณสุขกำหนดให้องค์การเภสัชกรรมเอาเข้าได้รายเดียว อีกทั้งใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามไม่ให้ส่งออกสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้
• บังคับหน่วยงานเลยให้ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น โดยตั้งเป้า 80,000-100,000 ล้านบาท เช่น งบซื้ออาวุธ อย่างเรือดำน้ำปีนี้ต้องซื้อสองลำ สองหมื่นกว่ากว่าล้านให้ชะลอไปก่อน งบดูงานต่างประเทศซึ่งปัจจุบันนี้ไปไม่ได้แล้ว งบเช่ารถประจำตำแหน่ง เป็นต้น
"
เรายังไม่ได้รบกับใคร วันนี้เรารบกับเชื้อโรคตัวเล็กๆ แล้วคนที่ไปรบคือหมอไม่ใช่ทหาร"
• สุดท้ายการจะกักประชาชนไม่ให้เดินทางให้เดินทาง จากบทเรียนที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา กทม. ปิดธุรกิจประมาณ 28-29 ประเภท แล้วไม่มีมาตรการออกมารองรับ แล้วก็ไม่ได้ปรากาศห้ามคนออกจากกรุงเทพฯ ไม่มีการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ทำให้คนแห่ออกต่างจังหวัดเหมือนเป็นการส่งเชื้อออกไปทั่วประเทศ แต่ถ้าสั่งปิด แล้วให้เงินเบี้ยยังชีพและสั่งห้ามเดินทาง อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินก็ได้ ประชาชนจะให้ความร่วมมือแน่นอน
"
เพราะตัดสินใจผ่าตัด ผ่าตัดเจ็บไหม เจ็บเพื่อให้หายเร็ว ไม่ใช่ผ่าตัดแล้วเจ็บไม่พอยังระบมไปเรื่อยๆ ไม่หายสักที นานเข้าๆ ตายกันหมดนะคะ ไม่ทราบว่าจะเป็นโควิดตาย หรืออาจจะอดตายก่อน" คุณหญิง
สุดารัตน์ กล่าวย้ำ
'ศิริกัญญา' แนะตัดงบไม่จำเป็นช่วยสาธารณสุขสู้โควิด-19 จี้ 'สมคิด' อธิบายปม 'ไอเอ็มเอฟ'
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2099003
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมพิจารณาออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน วงเงิน 2 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ความจริงแล้วมาตรการนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ทางพรรคก้าวไกลเคยเสนอ เราทราบดีว่าขณะนี้ภาวะทางการคลังค่อนข้างมีปัญหาเพราะไม่มีเงินงบประมาณมากพอที่จะใช้พยุงเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงเศรษฐกิจนี้ไปได้ แต่ก่อนที่จะกู้เงินก็อยากจะขอความร่วมมือจากรัฐบาลให้เริ่มจากการตัดค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ไม่จำเป็นจากกระทรวงต่างๆ โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณ แล้วนำมารวมไว้ที่งบกลาง
ทั้งนี้ในส่วนของรายจ่ายประจำมีการเบิกจ่ายไปแล้วประมาณ 40% ซึ่งเป็นรายจ่ายบุคลากรและเงินเดือนข้าราชการ สำหรับงบลงทุนขณะนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 12% เท่ากับว่าเรายังพอมีช่องที่จะโอนย้ายมาใช้ก่อนได้ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องมาจัดลำดับความสำคัญเรื่องการใช้งบประมาณใหม่ เพราะในช่วงวิกฤตนี้ กระทรวงสาธารณสุขควรจะต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่ม เพราะต้องใช้ในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ การโอนงบในส่วนนี้คาดว่าจะได้รวมจำนวนทั้งหมด 8 หมื่นล้าน – 1 แสนล้านบาท
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวเพิ่มว่า สำหรับงบกลาง ซึ่งช่วงที่ผ่านมาประชาชนตั้งข้อสงสัยว่างบกลางหายไปไหน ขณะนี้เรามีงบกลางทั้งหมด 5.2 แสนล้านบาท โดยเมื่อพิจารณาดูที่เอกสารรายละเอียด ก็จะพบว่ามีการวางการจัดสรรงบไปใช้ในเรื่องต่างๆ ไว้แล้ว ซึ่งไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ และบำเหน็จบำนาญข้าราชการ อย่างไรก็ตามก็มีส่วนที่สามารถดึงมาใช้ได้ทันที ที่เรียกว่า เงินสำรองฉุกเฉินจำเป็น ที่มีอยู่ 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจนถึงปัจจุบันรัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว 9.4 หมื่นล้านบาท และล่าสุดก็ดึงงบออกอีก 1.5 พันล้านบาทไปใช้ซื้อยาและเวชภัณฑ์จากประเทศจีน จึงเท่ากับว่าเงินในส่วนนี้เกือบจะไม่มีเหลือใช้จ่ายอีก
หากจะต้องปิดยาวไปจนถึงเดือนเมษายน ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ยังไม่เห็นความชัดเจนว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะนำเราไปสู่อะไร จะเป็นการล็อกดาวน์ให้ทุกคนทำงานจากที่บ้านหรือไม่ ในส่วนนี้รัฐก็ต้องเตรียมเม็ดเงินไว้ใช้ในการพยุงเศรษฐกิจและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ภายหลัง เราจึงเสนอว่าถ้าจะต้องออก พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม หรือที่เรียกว่า งบกลางปี รัฐบาลก็ต้องทำการกู้เงินก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีรายได้
ส่วนกรณีที่นาย
สมคิด จตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) พร้อมสนับสนุนไทยนั้น ในส่วนนี้มีนัยยะอย่างไร น.ส.
ศิริกัญญา เปิดเผยว่า ตนฟังแล้วก็รู้สึกตระหนกเล็กน้อย เพราะมีการกล่าวถึงวิกฤตต้มยำกุ้ง คือเมื่อปี 2540 ประชาชนยังสามารถกลับภูมิลำเนาและทำการเกษตรได้ แต่วิกฤตครั้งนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะมีภัยแล้ง ดูแล้วก็อาจจะเลวร้ายกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่จะถึงขั้นที่ไอเอ็มเอฟจะเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะการที่ไอเอ็มเอฟเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น จะต้องมาพร้อมกับเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้อาจจะทำให้ประชาชนรู้สึกตกใจได้ อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ทางการคลัง ทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลไทยหรือหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการกันภายในได้ ยกเว้นแต่ว่านายสมคิดจะชี้แจงว่า ความจริงแล้วสถานการณ์ตอนนี้วิกฤตอยู่ในระดับใด ต้องการเม็ดเงินเท่าไหร่และเราไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เราจึงต้องขอความช่วยเหลือไปที่ไอเอ็มเอฟ ประเด็นนี้จึงต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจน
JJNY : 4in1 สุดารัตน์ของบกลางสนับสนุนหมอ-พยาบาล/ศิริกัญญาแนะตัดงบไม่จำเป็น/เทพไทจี้ดูแลผู้บริโภค/หยุดซื้ออาวุธชั่วคราว!'
https://voicetv.co.th/read/eaP5ofXp4
ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้กำลังใจทีมแพทย์-พยาบาล-สธ. ขอรัฐบาลใช้งบกลางช่วยเหลืออุปกรณ์การแพทย์และเพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัย เตือนรัฐบาลใช้ยาแรง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องจบไว หวั่นกระทบเศรษฐกิจ-สุขภาพจิตประชาชน
"ต้องขอขอบพระคุณจากหัวใจ ขอคารวะแพทย์พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน ทุกท่าน เราเคยทำงานด้วยกันตั้งแต่สมัยซาร์ส หวัดนก แม้แต่สึนามิ สาธารณสุขก็มีบทบาทสำคัญมาก เรารู้ว่าทุกท่านมีความสามารถ เรารู้ว่าทุกท่านทุ่มเทเสียสละอย่างยิ่ง ท่านเป็นฮีโร่ในหัวใจของตัวดิฉันเอง และประชาชนทั้งประเทศมาโดยตลอด ในยามนี้ท่านต้องออกศึกอีกครั้งหนึ่ง ให้กำลังใจท่านและจะพยายามทำทุกวิถีทางทั้งการขอร้องรัฐบาลที่จะช่วยขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ทั้งตัวเราเอง อะไรที่จะช่วยสนับสนุนท่านได้ อะไรที่จะช่วยให้ท่านมีกำลังใจ เราจะช่วยทำทุกวิถีทาง"
คำกล่าวให้กำลังใจจากผู้ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ในภาวะวิกฤตโรคระบาด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้กำลังใจ เริ่มต้นก่อนการเปิดบทสนทนากับทีมข่าว 'วอยซ์ ออนไลน์' โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เสนอเป็นข้อเรียกร้องผ่านสื่อไปยังรัฐบาล ให้ใช้งบประมาณกลางในการสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาล แม้จะมีการตัดมาให้ 1,500 ล้านบาทจากงบประมาณกลางทั้งหมดกว่า 400,000 ล้านบาท แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่เพียงพอ
อีกทั้งยังขอให้เพิ่มเบี้ยเสี่ยงภัยคนที่ทำงานเป็น 2 เท่า ตั้งแต่ทีมแพทย์ไปจนไปถึง อสม. อย่างไรก็ตาม คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งถือเป็นนักรบหน้าด่าน ด้วยการจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นชุด PPE, หน้ากาก, น้ำยาฆ่าเชื้อ , เวชภัณฑ์และยา ไม่ใช่ต้องใช้ถุงพลาสติกคลุมตัวเองหรือต้องดัดแปลงสารพัดอุปกรณ์มาช่วยสร้างการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดโรคจากคนไข้เช่นทุกวันนี้ เนื่องจากมีรายงานว่าแพทย์ติดโรคแล้วหลายคน ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้อีก มันจะเหมือนกับว่ากองทัพส่งทหารไปรบ แต่ให้เดินตัวเปล่าไปรบกับรถถัง สุดท้ายก็ตายลูกเดียว
เตือนรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เจ็บแต่ต้องจบเร็ว
อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จริงๆ แล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ Endgame ที่จะบอกว่ามี พ.ร.ก. แล้วจบ แต่ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มันคือเครื่องมือการบริหารของรัฐบาล ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ดังนั้นรัฐบาลก็จะต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง แล้วก็มีการตัดสินใจที่ดี ออกมาตรการที่แม่นยำ และเป็นมาตรการที่จะสามารถดักปัญหาก่อนที่จะลุกลาม ไม่ใช่ตามปัญหา แม้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จะให้อำนาจเต็มที่กับรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะส่งผลกระทบ ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยาวจนเกินไป จะมีผลกระทบอย่างมาก ทั้ังเศรษฐกิจและสุขภาพจิตของประชาชน
"เหมือนกับเราป่วย เราไม่ใช้ยารักษา เราตัดสินใจผ่าตัด แปลว่าเราไม่ต้องการให้โรคเรื้อรัง ตัดออกไปเลย ก็ถ้าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องสยบโรคได้เร็วที่สุด ไม่ใช่ว่าใช้ พ.ร.ก.แล้วยังอมโรคเลื่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผลเสียหายจะมี จะมีต่อ หนึ่ง ควบคุมโรคไม่ได้ไม่พอจะไปเพิ่มความเครียดความกังวลของคนและที่สำคัญ มันจะซ้ำเติมเศรษฐกิจอย่างมาก"
อีกทั้ง การห้ามการเดินทาง การที่ร้านค้ายังต้องปิดอยู่ การที่ยังกลับมาใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ เรื่องเหล่านี้มันทำลายทั้งเรื่องของสุขภาพจิต ทำลายทั้งเศรษฐกิจ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลตัดสินใจที่จะขออำนาจจากประชาชนในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว หน้าที่ของรัฐบาลคือต้องทำให้โรคสยบให้เร็วทีสุด นี่คือหัวใจใหญ่สำคัญ
ทั้งนี้คุณหญิงสุดารัตน์ เสนอมาตรการ หลักจากใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ได้แก่
• มาตรการปูพรม 21 วัน ตรวจหาผู้ติดเชื้อให้จบ หากทำได้เร็วก็ไม่ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินถึง 30 วัน ถ้าหยิบหาคนติดเชื้อเข้าระบบได้มากเท่าไหร่ นั่นแปลว่าคนที่อยู่ภายนอกปลอดภัยมากเท่านั้น
• มีการสั่งการแบบเบ็ดเสร็จเหมือนกันทั่วประเทศ ไม่ใช่ว่าทำเป็นจุดๆ ตามแต่ละจังหวัด เช่น จังหวัดนี้ปิดสถานประกอบการ จังหวัดนี้ยังเปิดได้ แล้วใช้ทหารไปกันไม่ให้เดินทาง ซึ่งมาตรการที่ไม่เท่ากันทุกคนยังไม่สยบอยู่กับที่ แล้วจัดโซนจังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากเป็นสีแดง มีผู้ติดเชื้อน้อยเป็นสีส้ม แล้วกำหนดมาตรการให้เหมือนกันตามสี
• จัดการกับสินค้าที่ขาดแคลน เช่น หน้ากาก, ไข่ไก่, เจลล้างมือ แต่ต้องหาของมาให้แพทย์พอใช้ก่อน ให้ประชาชนพอใช้ก่อน และหาคนกระทำผิดมาลงโทษ
• ทะลุทะลวงคอขวด ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เช่น หน้ากากไม่พอ ชุดป้องกันโรคไม่พอ ชุดทดสอบเชื้อไม่พอ อุปกรณ์ต่างๆ นำเข้ามาไม่ได้ เพราะติดอยู่ที่สาธารณสุขกำหนดให้องค์การเภสัชกรรมเอาเข้าได้รายเดียว อีกทั้งใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามไม่ให้ส่งออกสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้
• บังคับหน่วยงานเลยให้ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น โดยตั้งเป้า 80,000-100,000 ล้านบาท เช่น งบซื้ออาวุธ อย่างเรือดำน้ำปีนี้ต้องซื้อสองลำ สองหมื่นกว่ากว่าล้านให้ชะลอไปก่อน งบดูงานต่างประเทศซึ่งปัจจุบันนี้ไปไม่ได้แล้ว งบเช่ารถประจำตำแหน่ง เป็นต้น
"เรายังไม่ได้รบกับใคร วันนี้เรารบกับเชื้อโรคตัวเล็กๆ แล้วคนที่ไปรบคือหมอไม่ใช่ทหาร"
• สุดท้ายการจะกักประชาชนไม่ให้เดินทางให้เดินทาง จากบทเรียนที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา กทม. ปิดธุรกิจประมาณ 28-29 ประเภท แล้วไม่มีมาตรการออกมารองรับ แล้วก็ไม่ได้ปรากาศห้ามคนออกจากกรุงเทพฯ ไม่มีการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ทำให้คนแห่ออกต่างจังหวัดเหมือนเป็นการส่งเชื้อออกไปทั่วประเทศ แต่ถ้าสั่งปิด แล้วให้เงินเบี้ยยังชีพและสั่งห้ามเดินทาง อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินก็ได้ ประชาชนจะให้ความร่วมมือแน่นอน
"เพราะตัดสินใจผ่าตัด ผ่าตัดเจ็บไหม เจ็บเพื่อให้หายเร็ว ไม่ใช่ผ่าตัดแล้วเจ็บไม่พอยังระบมไปเรื่อยๆ ไม่หายสักที นานเข้าๆ ตายกันหมดนะคะ ไม่ทราบว่าจะเป็นโควิดตาย หรืออาจจะอดตายก่อน" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวย้ำ
'ศิริกัญญา' แนะตัดงบไม่จำเป็นช่วยสาธารณสุขสู้โควิด-19 จี้ 'สมคิด' อธิบายปม 'ไอเอ็มเอฟ'
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2099003
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมพิจารณาออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน วงเงิน 2 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจและลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ความจริงแล้วมาตรการนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ทางพรรคก้าวไกลเคยเสนอ เราทราบดีว่าขณะนี้ภาวะทางการคลังค่อนข้างมีปัญหาเพราะไม่มีเงินงบประมาณมากพอที่จะใช้พยุงเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงเศรษฐกิจนี้ไปได้ แต่ก่อนที่จะกู้เงินก็อยากจะขอความร่วมมือจากรัฐบาลให้เริ่มจากการตัดค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ไม่จำเป็นจากกระทรวงต่างๆ โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณ แล้วนำมารวมไว้ที่งบกลาง
ทั้งนี้ในส่วนของรายจ่ายประจำมีการเบิกจ่ายไปแล้วประมาณ 40% ซึ่งเป็นรายจ่ายบุคลากรและเงินเดือนข้าราชการ สำหรับงบลงทุนขณะนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 12% เท่ากับว่าเรายังพอมีช่องที่จะโอนย้ายมาใช้ก่อนได้ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องมาจัดลำดับความสำคัญเรื่องการใช้งบประมาณใหม่ เพราะในช่วงวิกฤตนี้ กระทรวงสาธารณสุขควรจะต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่ม เพราะต้องใช้ในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ การโอนงบในส่วนนี้คาดว่าจะได้รวมจำนวนทั้งหมด 8 หมื่นล้าน – 1 แสนล้านบาท
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวเพิ่มว่า สำหรับงบกลาง ซึ่งช่วงที่ผ่านมาประชาชนตั้งข้อสงสัยว่างบกลางหายไปไหน ขณะนี้เรามีงบกลางทั้งหมด 5.2 แสนล้านบาท โดยเมื่อพิจารณาดูที่เอกสารรายละเอียด ก็จะพบว่ามีการวางการจัดสรรงบไปใช้ในเรื่องต่างๆ ไว้แล้ว ซึ่งไม่สามารถดึงออกมาใช้ได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ และบำเหน็จบำนาญข้าราชการ อย่างไรก็ตามก็มีส่วนที่สามารถดึงมาใช้ได้ทันที ที่เรียกว่า เงินสำรองฉุกเฉินจำเป็น ที่มีอยู่ 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจนถึงปัจจุบันรัฐบาลใช้จ่ายไปแล้ว 9.4 หมื่นล้านบาท และล่าสุดก็ดึงงบออกอีก 1.5 พันล้านบาทไปใช้ซื้อยาและเวชภัณฑ์จากประเทศจีน จึงเท่ากับว่าเงินในส่วนนี้เกือบจะไม่มีเหลือใช้จ่ายอีก
หากจะต้องปิดยาวไปจนถึงเดือนเมษายน ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ยังไม่เห็นความชัดเจนว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะนำเราไปสู่อะไร จะเป็นการล็อกดาวน์ให้ทุกคนทำงานจากที่บ้านหรือไม่ ในส่วนนี้รัฐก็ต้องเตรียมเม็ดเงินไว้ใช้ในการพยุงเศรษฐกิจและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ภายหลัง เราจึงเสนอว่าถ้าจะต้องออก พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม หรือที่เรียกว่า งบกลางปี รัฐบาลก็ต้องทำการกู้เงินก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีรายได้
ส่วนกรณีที่นายสมคิด จตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) พร้อมสนับสนุนไทยนั้น ในส่วนนี้มีนัยยะอย่างไร น.ส.ศิริกัญญา เปิดเผยว่า ตนฟังแล้วก็รู้สึกตระหนกเล็กน้อย เพราะมีการกล่าวถึงวิกฤตต้มยำกุ้ง คือเมื่อปี 2540 ประชาชนยังสามารถกลับภูมิลำเนาและทำการเกษตรได้ แต่วิกฤตครั้งนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะมีภัยแล้ง ดูแล้วก็อาจจะเลวร้ายกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่จะถึงขั้นที่ไอเอ็มเอฟจะเข้ามาช่วยเหลือหรือไม่ก็ไม่ทราบ เพราะการที่ไอเอ็มเอฟเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น จะต้องมาพร้อมกับเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งในส่วนนี้อาจจะทำให้ประชาชนรู้สึกตกใจได้ อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์ทางการคลัง ทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลไทยหรือหนี้สาธารณะต่อจีดีพีก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการกันภายในได้ ยกเว้นแต่ว่านายสมคิดจะชี้แจงว่า ความจริงแล้วสถานการณ์ตอนนี้วิกฤตอยู่ในระดับใด ต้องการเม็ดเงินเท่าไหร่และเราไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เราจึงต้องขอความช่วยเหลือไปที่ไอเอ็มเอฟ ประเด็นนี้จึงต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจน