84,000 สังคายนามาเกือบ 3,000 ปี วัดนาลันทาถูกเผาไปหลายที สัจจะจะมีเหลือสักกี่ตัว?

กระทู้สนทนา
อนุสัย นิสัยสันดานพฤติกรรมเดิมๆที่ทำเป็นประจำ แม้นจะพิจารณาโดยแยบคายให้เข้าใจถึงเหตุและผลจนรู้แจ้งแทงตลอดแล้ว ถ้ายังไม่ถึงนิพพาน ก็ไม่สามารถตัดให้ขาดหรือทำได้โดยฉับพลัน ต้องฝึกทำซ้ำๆไปจนกว่ามันจะเบาบางและหายไปเอง ถึงต้องมี ทมะ การข่มใจ ขันติ ความอดทนอดกลั้น  การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ 

การจะเข้าสภาวะเอกัคคตาก็เช่นกัน แม้นธรรมทั้งปวงก็เป็นอนัตตา คือก่อนขึ้นฝั่งได้ก็ต้องทิ้งเรือ มิได้แบกเรือขึ้นไปด้วย (ทำปัญญา) คือต้องวางความคิด (ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ แล้วแลอยู่) มิฉะนั้นจิตจะรวมเป็นหนึ่งไม่ได้ ถ้าเข้าเอกัคคตาไม่ได้ ก็เข้านิพพานไม่ได้ แล้วเถระผู้รู้ผู้สอน จะอธิบายถึงธรรมได้อย่างไร?
ก็เป็นแค่การจำการท่อง (ของจริงต้องรู้ได้ด้วยตนเอง) (ตั๊กม๊อ ผู้รู้มีมาก ผู้ปฏิบัติมีน้อย ผู้แสดงธรรมมีมากกว่าผู้ที่เข้าถึงหลักธรรมโดยแท้) 

40 วิธีปฏิบัติ สุดท้ายต้องมาเข้าที่ อาณาปานสติสมถกรรมฐาน เข้าตรงเอกัคคตา เข้ามรรค สำเร็จผล บรรลุนิพพาน 

ประกาศธรรม ทรงค้นพบอริยสัจ 4 ทุกข์เกิดจากจิตส่งออก มรรคจิตไม่ส่งออก สงบ สุข นิพพาน 

ให้ธรรมอันเป็นเอกผุดมีขึ้น คือนั่งเข่าคู้ ทำสมถถี่ๆ จนวันหนึ่ง น้ำผุดมีขึ้นที่สะดือ ดันน้ำนั้นขึ้นไปปิดหูทั้งสองข้าง เสียงก็จะดับไป (เข่าจึงเสื่อมเร็ว รับใช้โลกได้แค่อายุ 80 ปี) เอกัคคตาคือจิตรวมเป็นหนึ่งที่ลม อินทรีย์ 5 จึงมีพละกำลังทั้ง 5 แก่กล้า ใครเข้าได้ก็จะเข้าใจ ก็จะมีรางวัลและบททดสอบ สามารถเห็นไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ เห็นเลือดพุ่งไปทั่วร่างกาย มีความร้อนพุ่งออกมาจากฝ่ามือฝ่าเท้า เห็นด้วยตาเปล่าในชีวิตประจำวัน มิได้นั่งสมาธิ เห็นคนละครั้งคนละวันกัน เห็นพญามารในตัวเรา เห็นหลังจากที่เข้าเอกัคคตาได้ ทุกคน  ถ้าเห็นเป็นอย่างอื่น มิใช่เอกัคคตา (ปัจจัตตังเป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) คือ ญาณทัศนะอันวิเศษ ควรแก่พระอริยะเจ้า อันเป็นธรรมอันยิ่งที่เราได้ถึงแล้ว มีอยู่หรือไม่ เราจะไม่เป็นผู้เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนสพรหมจารีย์ด้วยกัน ถามในกาลภายหลัง (ธรรม 10 ประการ) 

ยอดมนต์คาถากันคนมืดบอด หลงทาง งมงาย ศรัทธาแบบพาณิชย์ กาลามชนท่านใดพึงอย่าเชื่อโดยสักแต่ว่า ตำรา อาจารย์ ผู้น่าเชื่อ เสียงหมู่มาก ฯลฯ พระศาสดา สอนให้เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์แล้ว ลองแล้ว ถ้าดีก็นำไปใช้ ไม่ดีก็โยนทิ้งไป 

กิจที่ต้องทำก็ทำได้สำเร็จแล้ว (พระนิพพาน) ตอนสำเร็จแล้วก็ได้สอนนางสุชาดาและบริวาร คงไม่เนรคุณที่จะไม่สอนคนที่ให้ข้าวให้น้ำ ให้ขันทองไปลอยน้ำ ระหว่างทางที่ออกตามหา โกณทัญญะ กี่เดือน กี่ปี ? ก็คงสอน สมณะ ฤาษี ชีไพร นักพรต พราหมณ์ ก็ไม่มีใครเข้าใจหรือสนใจ แถมยังถูกด่าว่าเนรคุณ เป็นศิษย์ไม่มีครูได้อย่างไร (ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง) จึงต้องเป็น โกณทัญญะ อาจารย์ผู้สอนลมปราณ เชี่ยวชาญการเล่นลมวิธีต่างๆ จึงจะสำเร็จ ได้อาจารย์เป็นศิษย์คนแรก

การกินข้าวมธุปายาสแล้วมากำหนดเส้นตายว่า คืนนี้ถ้านั่งทำไม่สำเร็จ เราจะไม่ลุกขึ้นอีกเลย เราจะขอยอมตาย การกระทำอย่างนี้ เป็นสัมมาทิฐิ เป็นโยนิโสมนสิการ เป็นวิปัสสนา ตรงไหน? การข่มขู่ว่าจะยอมตาย มันทำให้ตรัสรู้ได้จริงหรือ? 

แสดงว่าท่านเคยเข้าเอกัคคตาได้ แต่กลัวตายจึงต้องถอยออกมา เพราะมันไม่หายใจนานมาก จึงตัดสินใจครั้งสุดท้าย เป็นไงเป็นกัน (ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ แล้วแลอยู่) กิจที่ต้องทำจึงสำเร็จ

พระศาสดาสอนทั้งหลักเหตุผลและหลักการสั่งจิต (สะกดจิต) ยุคนั้นไม่มีไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ ภาษาก็มีขีดจำกัดในการรับใช้มนุษย์ จึงพูดเรื่องสมองและการหลั่งสารเคมีในสมอง ต่อร่างกายและจิตใจไม่ได้ เช่น ก็อปปี้ ทำซ้ำ เมมโมรี บันทึกข้อมูล รีเพล ย้อนหลัง เช่น อดีตก็ละไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มาถึง เป็นเชิงอธิบาย จริงๆให้ตัด อดีต  อนาคต แต่ให้อยู่กับปัจจุบันอย่างตื่นรู้อยู่ทุกลมหายใจ สมองจะได้ไม่ติดจินตนาการ ปรุงแต่ง เสพข้อมูลต่างๆ สมองจะบันทึกไว้หมด ข้อมูลจะถูกส่งไปส่งกลับ เตือนอยู่ตลอดเวลา จิตไม่ว่าง ทำสมถะไม่ได้ เพราะเราเสพอะไรมันก็ติด เสพยาก็ติดยา เสพเหล้าบุหรี่ก็ติดเหล้าบุหรี่ เสพกามก็ติดกาม เสพความคิดก็ติดคิด เสพอาจารย์พูดเก่งก็ติดฟัง เมื่อเสพอะไรแล้วก็จะเกิด ความพอใจ ไม่พอใจ สุข ทุกข์ (ถอนความพอใจ ไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้) อารมณ์ก็จะเกิด สารเคมีในสมองก็จะหลั่ง เช่น โกรธจัด จะเป็นโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน  ขี้โกรธ หงุดหงิด บ่นจู้จี้ จะเป็นโรคประสารท บ้ากาม เป็นโรคจิต วิตถาร ฯลฯ สมองส่วนหน้า กลาง หลัง ก็จะบันทึกและส่งกลับมาเตือนเราอยู่ตลอดเวลา จิตจึงหยุดคิด หยุดอารมณ์ไม่ได้ ทำให้ป่วยง่ายเป็นโรคต่างๆ การทำสมถ จึงไม่มีใครทำได้ และพอตำราบอกว่า ของอุทกดาบสไปไม่ถึงนิพพาน เพราะท่านไปติดอยู่ที่ความสงบ (สุข) แต่พระศาสดาทรงเข้าใจในอริยะสัจ 4 คือการทำงานของสมองที่ตอบสนองอารมณ์ต่างๆ ท่านจึงไปต่อ คือละสุข จึงทำได้สำเร็จ ความเจริญก้าวหน้าและภาษาในยุคนั้น มีอยู่แค่นั้นจริงๆ พุทธวัจนะของท่านจึงออกมาอย่างนั้น ตามยุคสมัยของท่าน 

ส่วนผมค้นพบและทำได้ แต่ไปไม่สุดทาง เพราะตกใจกลัวตาย จึงแปลออกมาอย่างนี้ ควรไม่ควรแล้วแต่จะพิจารณา จะได้ไม่หลงทาง เสียเวลามานานมากแล้ว ถ้าดีก็นำไปใช้ ไม่ดีก็โยนทิ้งไป แชร์แบ่งปันประสบการณ์จริงๆ มิได้อยากล่วงเกินพระไตรปิฎก หรือสร้างลัทธิใหม่ เพื่อทำลายพระพุทธศาสนา 

การจะเข้าถึงนิพพานได้ ต้องจัดกระบวนการทางความคิด และพฤติกรรมทางสังคม ให้เหมาะกับการประพฤติพรหมจรรย์ให้ได้ก่อน (มรรค 8) 

อมยิ้ม50การเจริญอาณาปานสติสมถกรรมฐาน มือกะลม และหูฟังลม ต้องจับสติ 3 ตัวนี้ไปพร้อมกัน จิตจะดิ้นหลุดยาก ไม่หลับ หลุดก็เห็น (กายเคลื่อนใจรู้ จิตเคลื่อนจิตเห็น) เอาใหม่ ฝึกทำไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ร่างกายและจิตใจพร้อม มีสมาธิอย่างต่อเนื่อง มันจะเข้าสภาวะเอกัคคตาของมันเอง ร่างกายจะตอบสนอง จัดท่าของมันเอง มันจะเริ่มหยุดทุกอย่าง ทีละทวาร จนสงบนิ่งไม่ไหวติง ท่านั่งสมาธิมือวางบนตัก เป็นท่าสุดท้ายที่จะเข้าพระนิพพาน ร่างกายมันจัดของมันเอง มันรู้ธรรมชาติของมันว่า จิตจะรวมเป็นหนึ่งได้ ร่างกายต้องทำอย่างไร (สติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม จิตรับรู้กายตามธรรมชาติ) แต่ทุกท่านเอามาเป็นท่าแรก จึงเข้าเอกัคคตากันไม่ได้ ตกภวังค์ หลับใน อยู่ในห้วงอารมณ์คนจะหลับครับ ผิด 100% ท่านี้จิตรวมเป็นหนึ่งไม่ได้ เพราะมันคือท่าสุดท้ายของการเข้าพระนิพพาน (เข้าสู่มรรค สำเร็จผล บรรลุนิพพาน)

(ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และการปฏิบัติ คือผู้ประเสริฐ) พระอยู่ที่ใจไม่ใช่เครื่องแบบ ทำได้ก็เป็น ทำไม่ได้ก็ไม่เป็น (เราไม่ขัดแย้งกับโลก แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา) (มันเป็นเช่นนี้เอง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่